กระดอม

Gymnopetalum chinense (Lour.) Merr.

ชื่ออื่น ๆ
ขี้กาดง, ขี้กาน้อย (สระบุรี); ขี้กาลาย (นครราชสีมา); ขี้กาเหลี่ยม (ตะวันออกเฉียงเหนือ); ผักแคบป่า (น
ไม้เถา มีมือพัน ใบเรียงเวียน รูปไต รูปเหลี่ยมหรือเป็นแฉก ผิวสาก ดอกแยกเพศร่วมต้น สีขาว ออกตามง่ามใบ ดอกเพศผู้รวมเป็นช่อ ส่วนดอกเพศเมียออกเดี่ยว ใบประดับขอบจักเป็นแฉกแหลม ผลแบบผลมีเนื้อหนึ่งถึงหลายเมล็ดรูปไข่แกมรูปขอบขนาน มี ๑๐ สัน ผลสุกสีแดง

กระดอมเป็นไม้เถา ลำต้นเป็นร่องและมีมือพัน

 ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปร่างต่าง ๆ กัน มีตั้งแต่รูปไตจนถึงรูปสามเหลี่ยม ห้าเหลี่ยม หรือเป็นแฉก กว้าง ๓-๑๐ ซม. ยาว ๔-๑๐ ซม. โคนใบเว้าลึกเป็นรูปหัวใจ สากคายทั้งด้านบนและด้านล่าง

 ดอกแยกเพศร่วมต้น ใบประดับยาว ๑.๕-๒ ซม. ขอบจักเป็นแฉกลึกแหลม ดอกเพศผู้ออกเป็นช่อ ก้านช่อยาว ๗-๑๕ ซม. กลีบเลี้ยงติดกันเป็นหลอดยาว ปลายแยกเป็นแฉกรูปใบหอก ๕ แฉก มีขนเป็นมันเลื่อม กลีบดอก ๕ กลีบ สีขาว โคนติดกันเล็กน้อย เกสรเพศผู้ ๓ อัน ดอกเพศเมียออกเดี่ยวกลีบเลี้ยงและกลีบดอกลักษณะเหมือนดอกเพศผู้ รังไข่อยู่ใต้วงกลีบ มี ๑ ช่อง ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น ๓ แฉก

 ผลแบบผลมีเนื้อหนึ่งถึงหลายเมล็ด รูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาว ๔-๕ ซม. ผิวสาก มีสัน ๑๐ สัน เนื้อสีเขียว ผลสุกสีแดง มีเมล็ดจำนวนมาก รูปรี กว้างประมาณ ๓ มม. ยาวประมาณ ๖ มม.

 กระดอมมีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทั่วทุกภาคขึ้นตามที่รกร้างทั่วไป ในต่างประเทศพบที่อินเดีย ศรีลังกา พม่า ภูมิภาคอินโดจีน และภูมิภาคมาเลเซีย

 ในอินเดียใช้รากแห้งบดผสมกับน้ำร้อนทาถูนวดกล้ามเนื้อบริเวณที่ปวดเมื่อย น้ำต้มจากใบกินเป็นยาถอนพิษของผลสุกที่กินเข้าไป เมล็ดต้มน้ำกินเป็นยาลดไข้ ขับน้ำลาย บำรุงธาตุ และช่วยย่อย.

ชื่อหลักหรือชื่อทางการ
กระดอม
ชื่อวิทยาศาสตร์
Gymnopetalum chinense (Lour.) Merr.
ชื่อสกุล
Gymnopetalum
คำระบุชนิด
chinense
ชื่อผู้ตั้งพรรณพืช
- Loureiro, João de
- Merrill, Elmer Drew
ช่วงเวลาเกี่ยวกับผู้ตั้งพรรณพืช
- Loureiro, João de (1717-1791)
- Merrill, Elmer Drew (1876-1956)
ชื่ออื่น ๆ
ขี้กาดง, ขี้กาน้อย (สระบุรี); ขี้กาลาย (นครราชสีมา); ขี้กาเหลี่ยม (ตะวันออกเฉียงเหนือ); ผักแคบป่า (น
ผู้เขียนคำอธิบาย
นางลีนา ผู้พัฒนพงศ์