ไม้พุ่ม เปลือกขรุขระ สีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลอ่อน แตกแขนงมากตั้งแต่ใกล้โคนต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียน บางครั้ง เรียงค่อนข้างแน่นใกล้ยอด รูปใบหอกหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน ช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่น ออกที่ยอด หรือใกล้ยอด ดอกสีม่วงเข้มแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนจนกลายเป็นสีขาว ผลแบบผลแห้งแตก รูปทรง เกือบกลมหรือทรงรูปไข่ เมล็ดทรงรูปไข่แกมรูปขอบขนาน สีน้ำตาลอมแดง ผิวเป็นช่องตาข่าย มี ๗-๑๐ เมล็ด
ดอกสองสีชนิดนี้เป็นไม้พุ่ม สูง ๐.๓-๒ ม. เปลือก ขรุขระ สีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลอ่อน แตกแขนงมาก ตั้งแต่ใกล้โคนต้น กิ่งสีน้ำตาลอมเหลือง เมื่ออ่อนมีขนยาว ประปรายหรือเกลี้ยง กิ่งที่แตกใหม่เรียว ตั้งตรง มีขนสั้น นุ่มแบบขนไร้ต่อมสีน้ำตาลอมเหลืองหนาแน่น
ใบเดี่ยว เรียงเวียน บางครั้งเรียงค่อนข้างแน่น ใกล้ยอด รูปใบหอกหรือรูปใบหอกแกมรูปขอบขนาน พบ น้อยที่เป็นรูปขอบขนานแกมรูปไข่กลับ กว้าง ๑-๔.๕ ซม. ยาว ๓-๑๓ ซม. ปลายแหลมถึงเรียวแหลม บางครั้งอาจ มน โคนรูปลิ่มถึงสอบแคบ ขอบเรียบ แผ่นใบบางถึง หนาคล้ายแผ่นหนัง ด้านบนสีเขียวเข้มกว่าด้านล่างมีขน ละเอียดหรือขนสาก ด้านล่างมักมีขนอุยสั้นประปราย ค่อนข้างหนาแน่นตามเส้นกลางใบ เส้นแขนงใบข้างละ ๖-๑๐ เส้น ก้านใบยาว ๑-๕ มม. มีขนละเอียดถึงขนอุย
ช่อดอกแบบช่อเชิงหลั่น ออกที่ยอดหรือใกล้ยอด เป็นช่อแน่นหรือเรียงกระจายหลวม ๆ ก้านช่อดอกยาว ๐.๒-๑ ซม. ปลายก้านหนาและเป็นข้อต่อเชื่อมกับก้าน ดอกมีขนอุยแบบขนไร้ต่อมสีสนิม สีน้ำตาลอมเหลือง หรือสีเหลือง แกนช่อยาว ๑-๒ ซม. มักแตกแขนง แต่ละ ช่อมีดอก ๑๐ ดอกขึ้นไป พบน้อยที่มี ๕ ดอก มีใบประดับ ๑-๓ ใบที่โคนก้านช่อ แต่ละใบมีขนาดเล็ก รูปใบหอก ยาว ๐.๒-๑.๕ ซม. มีขนสั้นนุ่ม ขอบมีขนครุยสั้น ร่วงง่าย ดอก เด่น สีม่วงเข้มแล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงอ่อนจนกลาย เป็นสีขาว ไร้กลิ่น ก้านดอกยาว ๒-๕ มม. ตั้งตรง มีขนสั้น นุ่มสีน้ำตาลอมเหลืองหรือสีเหลืองร่วมกับขนยาว ประปรายถึงขนอุยแบบขนไร้ต่อมประปราย ก้านดอกจะ อวบหนาขึ้นในระยะเป็นผล ใบประดับย่อยรูปใบหอก แกมรูปแถบ ยาว ๑-๒ มม. กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน เป็นหลอดคล้ายรูปทรงกระบอกหรือรูประฆังแคบ ยาว ๐.๗-๑.๕ ซม. เส้นผ่ า นศูนย์กลาง ๓-๘ มม. มีขนไร้ต่อม แบบขนอุยปะปนกับขนสั้นนุ่มหนาแน่นสีน้ำตาลอมเหลือง อาจพบขนยาวประปรายหรือไม่มีขนได้บ้าง ปลายหลอด แยกเป็น ๕ แฉก แต่ละแฉกคล้ายซี่ฟัน รูปสามเหลี่ยม ถึงรูปไข่ ปลายแหลม ยาว ๑-๕ มม. ตั้งตรง แต่อาจ โค้งงอออกในระยะเป็นผล มีรูปร่างโดยรวมคล้ายรูประฆัง ถึงรูปคนโท ผิวคล้ายแผ่นหนังและมีเส้นริ้ว กลีบดอกโคน เชื่อมติดกันเป็นหลอด ยาว ๑.๗-๒.๒ ซม. ยาวเป็น ๑.๕- ๒ เท่าของกลีบเลี้ยง เส้นผ่านศูนย์กลางหลอด ๑-๓ มม. มีขนยาวประปรายหรือเกลี้ยง ปากหลอดกลีบดอกหดตัว หนาเป็นรูปวงแหวน โคนสีม่วงอ่อน ใกล้ปากหลอดสีขาว ปลายแยกเป็น ๕ แฉก แผ่ตามแนวระนาบ เส้นผ่าน ศูนย์กลางดอก ๑.๖-๓ ซม. แต่ละแฉกเกือบเท่ากัน รูปเกือบกลม ปลายแฉกมนกลมกว้างถึงตัด เกสรเพศผู้ มี ๒ คู่ ยาวไม่เท่ากัน ติดอยู่ครึ่งบนด้านในของหลอด กลีบดอก ก้านชูอับเรณูปลายเรียวเล็ก โคนขยายกว้าง กว่าเล็กน้อย คู่ล่างยาว ๒-๔ มม. คู่บนยาว ๔-๕ มม. มีขนสั้นนุ่มที่โคน อับเรณูรูปไตแกมรูปขอบขนาน ยาว ประมาณ ๑ มม. แตกตามยาว รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูป กรวยแกมรูปไข่ ยาว ๑-๕ มม. สีเขียว มี ๒ ช่อง แต่ละช่อง มีออวุลจำนวนมาก ก้านยอดเกสรเพศเมียรูปคล้ายเส้น ด้าย สีเขียวสด ยาว ๑.๗-๑.๘ ซม. ยอดเกสรเพศเมีย ยาว ๑-๒ มม. สีเขียวสด ปลายแยกเป็นแฉกสั้น ๆ ๒ แฉก แฉกบนใหญ่กว่าเล็กน้อย
ผลแบบผลแห้งแตก รูปทรงเกือบกลมหรือทรง รูปไข่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๘-๑ ซม. ยาว ๐.๘-๑.๓ ซม. ปลายมีติ่งแหลมอ่อน ขั้วผลสีเขียวเข้ม มีกลีบเลี้ยงติดทน ผิวเกลี้ยง เรียบ เป็นมัน ผนังผลหนาประมาณ ๐.๕ มม. ลักษณะคล้ายกระดูกอ่อนหรือเปลือกกุ้ง เมื่อแก่แห้งแล้ว แตกเล็กน้อย สีน้ำตาลอมแดง เมล็ดทรงรูปไข่แกมรูปขอบ ขนาน เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๓ มม. ยาว ๔-๖ มม. อาจมีเหลี่ยมมุมบ้ า ง ผิวเป็นช่องตาข่าย มี ๗-๑๐ เมล็ด พบน้อยที่มี ๒ เมล็ด
ดอกสองสีชนิดนี้เป็นพรรณไม้ต่างประเทศ มี ถิ่นกำเนิดทางตะวันออกเฉียงใต้ของบราซิล นำเข้ามาปลูก เป็นไม้ประดับในประเทศไทยทั่วทุกภาค ออกดอกตลอด ปี แต่ไม่ติดผล ในต่างประเทศพบได้ทั่วไปในที่สูงใกล้ ระดับทะเลถึงประมาณ ๑,๔๐๐ ม.