กะเพราช้างเป็นไม้พุ่ม สูง ๑-๒ ม. ลำต้นเป็นสี่เหลี่ยมสีเขียวอมแดง มีร่องตรงกลาง มีขนสีขาวทั่วไป
ใบเดี่ยว เรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก รูปไข่หรือรูปรี กว้าง ๓-๕ ซม. ยาว ๕-๑๐ ซม. ปลายเรียวแหลม โคนสอบ ขอบหยักมนหรือจักฟันเลื่อย มีขนตามเส้นใบ ก้านใบยาว ๓-๕ ซม.
ช่อดอกแบบช่อฉัตร ยาว ๒๐-๒๕ ซม. ใบประดับมีขนาดเล็ก สีเขียวขอบสีแดง รูปไข่ ปลายเรียวแหลม กลีบเลี้ยงสีเขียวปนม่วงแดง มีขน โคนกลีบติดกันเป็นรูประฆังปลายแยกเป็น ๒ ส่วน ส่วนบนเป็นแฉกค่อนข้างกลม ส่วนล่างเป็นแฉกแหลม ๔-๖ แฉก กลีบดอกสีขาว รูปปากเปิด มีขนเล็ก ๆ สีขาว ด้านบนมี ๔ แฉก ปลายแฉกแหลม ด้านล่างมี ๑ แฉก ปลายม้วนพับลง ตรงกลางเว้าเป็นแอ่งตื้น ๆ เกสรเพศผู้ ๔ อัน สั้น ๒ อัน ยาว ๒ อัน โคนก้านชูอับเรณูมีขนรังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มี ๔ พู แต่ละพูมี ๑ ช่อง มีออวุล ๑ เม็ด ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น ๒ แฉก
ผลแบบผลแห้งแตก มี ๔ เมล็ด ค่อนข้างกลม ผิวไม่เรียบ
กะเพราช้างมีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วไปในเขตร้อน ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ปรุงอาหารได้ ในอินเดียใช้เป็นพืชสมุนไพร น้ำมันจากใบกะเพราช้างมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และฆ่ายุงได้ ใช้หยอดหูแก้อาการปวดหู ใช้ร่วมกับตัวยาอื่น ๆ เป็นยาแก้ไอและขับเสมหะ น้ำจากใบแก้อาการปวดท้อง เมล็ดใช้แก้ปวดศีรษะปวดประสาท และแก้โรคบิด (Burkill, 1966; Zaheer ed., 1966)