ชงโค ๔

Bauhinia purpurea L.

ชื่ออื่น ๆ
กะเฮอ, สะเปซี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); เสี้ยวดอกแดง (เหนือ); เสี้ยวหวาน (แม่ฮ่องสอน)
ไม้พุ่มหรือไม้ต้น ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีกว้างหรือเกือบกลม ปลายแยกเป็น ๒ แฉก เว้าลงมาตามเส้นกลางใบประมาณหนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของความยาวแผ่นใบ ช่อดอกแบบช่อกระจะ ออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง ดอกสีชมพูหรือชมพูแกมม่วง ผลแบบผลแห้งแตกสองแนว เป็นฝักแบนรูปแถบ เมล็ดแบน รูปทรงค่อนข้างกลมหรือรูปทรงรี สีน้ำตาล

ชงโคชนิดนี่เป็นไม้พุ่มหรือไม้ต้น สูงได้ถึง ๑๐ ม. กิ่งอ่อนเกือบเกลี้ยง

 ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปรีกว้างหรือเกือบกลม กว้าง ๕-๑๕ ซม. ยาว ๑๖-๑๘ ซม. ปลายแยกเป็น ๒ แฉก ปลายสุดหยักมน เว้าลงมาตามเส้นกลางใบประมาณหนึ่งในสามหรือครึ่งหนึ่งของความยาวแผ่นใบ โคนกลมถึงรูปหัวใจ ขอบเรียบ แผ่นใบบางคล้ายกระดาษ ด้านบนเกลี้ยง ด้านล่างมีขนเล็กน้อย เส้นโคนใบ ๙-๑๑ เส้น นูนทางด้านล่างเส้นใบย่อยแบบร่างแห ก้านใบยาว ๒-๔ ซม. หูใบขนาดเล็ก รูปสามเหลี่ยม ยาว ๑-๒ มม.

 ช่อดอกแบบช่อกระจะ ยาว ๖-๓๐ ซม. ออกตามปลายกิ่งหรือตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง มี ๕-๑๒ ดอก ใบประดับและใบประดับย่อยรูปไข่ ปลายแหลมยาว ๑-๒ มม. ก้านดอกยาว ๑-๑.๕ ซม. ดอกตูมสีเขียวแกมเทา รูปกระบอง ยาว ๓-๕ ซม. มีขนอ่อนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ ตรงปลายมีสัน ๔-๕ สัน และบิดเล็กน้อย ฐานดอกยาว ๐.๗-๑.๒ ซม. กลีบเลี้ยง ๕ กลีบ สีเขียวแกมเทา รูปรี โคนเชื่อมติดกัน กว้าง ๓-๔ มม. ยาว ๑.๕-๒ ซม. เมื่อดอกบานแยกด้านเดียวคล้ายกาบ กลีบดอก ๕ กลีบ สีชมพูหรือสีชมพูแกมม่วง


รูปใบหอกแคบ รูปใบหอกกลับ หรือรูปใบหอกแกมรูปไข่กลับ กว้าง ๑.๒-๑.๗ ซม. ยาว ๔.๕-๗ ซม. ก้านกลีบยาว ๐.๕-๑ ซม. กลีบในสุดมีขนาดใหญ่กว่ากลีบอื่น ๆ เกสรเพศผู้ ๘-๙ เกสร ที่สมบูรณ์ ๓ เกสร ก้านชูอับเรณูยาว ๓-๔ ซม. โคนเชื่อมติดกันเล็กน้อย อับเรณูรูปขอบขนาน ยาว ๕-๗ มม. แตกตามยาวเกสรเพศผู้ที่เป็นหมัน ๕-๖ เกสร รูปคล้ายเส้นด้าย ยาว ๐.๖-๑ ซม. ก้านรังไข่ยาวประมาณ ๑ ซม. รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปขอบขนาน ยาวประมาณ ๑ ซม. มีขนอ่อนนุ่มคล้ายกำมะหยี่ มี ๑ ช่อง ออวุลหลายเม็ดก้านยอดเกสรเพศเมียสั้น ยอดเกสรเพศเมียแบนและเบี้ยว

 ผลแบบผลแห้งแตกสองแนว เป็นฝักแบนรูปแถบ ตรงหรือโค้งเล็กน้อย กว้าง ๑.๕-๒.๕ ซม. ยาว ๒๐-๓๓ ซม. ปลายมีติ่งแหลม โค้งเล็กน้อย เกลี้ยงเมล็ดแบน รูปทรงค่อนข้างกลมหรือรูปทรงรี กว้างประมาณ ๑.๕ ซม. สีน้ำตาล มี ๖-๑๐ เมล็ด

 ชงโคชนิดนี่มีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทั่วทุกภาค พบขึ้นได้ทั่วไปในเขตร้อน ออกดอกเกือบตลอดปี

 ประโยชน์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับ ในภูฏานใช้เปลือกย้อมสีและฟอกหนัง ใบใช้เป็นอาหารสำหรับวัวควาย ในอินเดียใช้เปลือกฟอกหนัง รักษาโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เป็นยาแก้พิษ ฝาดสมาน ขับลม ขับปัสสาวะ และแก้ท้องเสีย ใบใช้เป็นยาแก้ไอ ดอกเป็นยาระบาย ใบอ่อนกินได้ ใช้ใส่แกงและทำผักดองในมาเลเซียใช้ใบพอกรักษาฝีหรือรอยฟกช้ำ เปลือกและกิ่งมีเส้นใยเหนียวใช้ทำเชือก.

ชื่อหลักหรือชื่อทางการ
ชงโค ๔
ชื่อวิทยาศาสตร์
Bauhinia purpurea L.
ชื่อสกุล
Bauhinia
คำระบุชนิด
purpurea
ชื่อผู้ตั้งพรรณพืช
- Linnaeus, Carl
ช่วงเวลาเกี่ยวกับผู้ตั้งพรรณพืช
- (1707-1778)
ชื่ออื่น ๆ
กะเฮอ, สะเปซี (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน); เสี้ยวดอกแดง (เหนือ); เสี้ยวหวาน (แม่ฮ่องสอน)
ผู้เขียนคำอธิบาย
นายปิยชาติ ไตรสารศรี