จำปาเป็นไม้ต้น สูง ๒๐-๓๕ ม. เส้นผ่านศูนย์กลาง ๐.๕-๑ ม. เปลือกหนา สีน้ำตาลปนเทา แตกเป็นร่องตามยาว มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว แตกกิ่งในระดับสูง ทรงพุ่มกลม โปร่ง กิ่งอ่อนมีขนนุ่ม กิ่งแก่เกลี้ยง มีช่องอากาศนูนเป็นขีดสั้น
ใบเดี่ยว เรียงเวียน รูปไข่แกมรูปขอบขนาน ยาว ๙-๒๓ ซม. ปลายแหลมและมีติ่งแหลมยาว โคนมนเรียว
ดอกเดี่ยว ออกตามซอกใบ กลิ่นหอมแรง มีกาบหุ้มดอก ๑-๔ กาบ มีขนสั้น ก้านดอกยาว ๐.๗-๑.๒ ซม.กลีบรวม ๑๒-๑๕ กลีบ สีเหลืองหรือสีเหลืองอมส้มลักษณะคล้ายกัน กลีบชั้นนอก ๔-๖ กลีบ รูปใบหอกแกมรูปไข่กลับหรือรูปช้อนแคบ กว้าง ๐.๘-๑.๔ ซม. ยาว ๔-๔.๕ ซม. กลีบชั้นในเรียวแคบและสั้นกว่ากลีบชั้นนอกเล็กน้อย เกสรเพศผู้มีจำนวนมาก ยาว ๗.๕-๘ มม. ก้านชูอับเรณูยาว ๑.๕-๒ มม. เรียงเป็นวงล้อมรอบโคนแกนฐานดอกรูปทรงกระบอก รังไข่อยู่เหนือวงกลีบมีประมาณ ๓๐ รังไข่ แยกจากกันเป็นอิสระ เรียงเวียนบนแกนฐานดอกรูปทรงกระบอก ยาว ๐.๗-๑.๒ ซม. แต่ละรังไข่มี ๑ ช่อง มีออวุล ๒-๖ เม็ด ก้านยอดเกสรเพศเมียสั้นมาก ยอดเกสรเพศเมียเป็นสันโค้ง
ผลแบบผลกลุ่ม เป็นช่อยาว ๑๐-๒๐ ซม. ก้านช่อผลยาว ๑-๓ ซม. ผลย่อยแบบผลแห้งแตกแนวเดียวแข็ง มี ๑๐-๓๐ ผล ก้านผลย่อยสั้นมาก ผลย่อยรูปทรงกลมหรือทรงรูปไข่ถึงรูปทรงรี กว้าง ๐.๗-๑.๒ ซม. ยาว ๑-๒ ซม. เปลือกสีน้ำตาลอมดำ มีช่องอากาศนูนเด่นสีขาว เมล็ดรูปทรงกลมรี กว้าง ๖-๘ มม. ยาว ๐.๘-๑ ซม.สีแสด มี ๑-๖ เมล็ด
จำปามีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศไทยทางภาคเหนือ ภาคตะวันตกเฉียงใต้ และภาคใต้ พบขึ้นตามป่าดิบชื้นจนถึงป่าดิบเขา ที่สูงจากระดับทะเล ๕๐-๑,๓๐๐ ม. ออกดอกเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม เป็นผลเดือนกันยายนถึงตุลาคม ในต่างประเทศพบที่ภูมิภาคอินโดจีนและภูมิภาคมาเลเซีย
ประโยชน์ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับและมีการคัดเลือกพันธุ์โดยลำดับให้มีทรงต้นเตี้ยลง ดอกดก สีเหลืองอมส้มเข้ม มีขนาดใหญ่ และออกดอกเกือบตลอดปี จนกระทั่งในปัจจุบันต้นที่ปลูกจากการเพาะเมล็ด มีความสูงเพียง ๒ ม. ก็ออกดอกได้สวยงาม.