Malta, Republic of

สาธารณรัฐมอลตา

​​​     สาธารณรัฐมอลตาเป็นประเทศในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนกลาง มีที่ตั้งเหมาะทางด้านยุทธศาสตร์ทางทหารและการค้าเพราะเชื่อมต่อระหว่างยุโรปกับแอฟริกาเหนือ และระหว่างดินแดนตะวันตกกับตะวันออก มอลตาจึงเป็นที่หมายปองของชาติต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. ๘๗๐ พวกอาหรับแย่งชิงมอลตาจากจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine)

และปกครองนานถึง ๒๒๐ ปีก่อนจะถูกพวกนอร์มันซึ่งมีเคานต์โรเจอร์แห่งซิซิลี (Count Roger of Sicily) ผู้นำของราชอาณาจักรซิซิลีเข้ายึดครองใน ค.ศ. ๑๐๙๐ ในช่วงเวลา ๔๔๐ ปีต่อมามอลตาซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรซิซิลีก็ถูกขายครั้งแล้วครั้งเล่าให้แก่ขุนนางและเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ ใน ค.ศ. ๑๕๓๐ จักรพรรดิชาร์ลที่ ๕ แห่งจักรวรรดิจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)* ทรงยกมอลตาให้กลุ่มอัศวินแห่งเซนต์จอห์นแห่งเยรูซาเลม (Knights of Saint John of Jerusalem) ซึ่งไม่มีที่อยู่อาศัยเนื่องจากถูกพวกเติร์กขับไล่ออกจากเกาะโรดส์ (Rhodes) ระหว่าง ค.ศ. ๑๕๒๒-๑๕๒๓ มอลตาซึ่งอยู่ใต้การปกครองของอัศวินแห่งมอลตา (Knights of Malta) นานถึง ๒๗๕ ปีจึงพัฒนาเจริญขึ้นเป็นศูนย์กลางการค้า ศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญของพวกคริสเตียน ใน ค.ศ. ๑๗๙๘ มอลตาถูกนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)* นำกองทัพฝรั่งเศสเข้ายึดครอง แต่อังกฤษสนับสนุนให้มอลตาเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจการปกครองของฝรั่งเศสได้สำเร็จใน ค.ศ. ๑๘๐๐ มอลตาจึงสมัครใจเข้าเป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษ ใน ค.ศ. ๑๘๑๔ ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาปารีสมอลตากลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษอย่างเป็นทางการ และได้รับเอกราชเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๖๔ โดยยังคงรวมอยู่กับเครือจักรภพ (Commonwealth of Nations)*
     มอลตาประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ ได้แก่ เกาะมอลตาซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตอนกลาง โกโซ (Gozo) โคมิโน (Comino) โคมินอตโต (Cominotto) และฟิลฟลา (Filfla) ซึ่งสองเกาะหลังไม่มีผู้คนอยู่อาศัย มอลตาตั้งอยู่ห่างจากเกาะซิซิลีของอิตาลีไปทางตอนใต้ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตรและห่างจากชายฝั่งของประเทศลิเบียในแอฟริกาเหนือ ๒๙๐ กิโลเมตร ทิศเหนือติดกับช่องแคบมอลตา ทิศตะวันออก ทิศใต้ และทิศตะวันตกติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีเนื้อที่ ๓๑๖ ตารางกิโลเมตรซึ่งไม่มีทั้งภูเขาและแม่น้ำ ร้อยละ ๗๘ เป็นพื้นดินและส่วนที่เหลือเป็นทะเล ภายใน มีพืชพรรณบางตา ภูมิอากาศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งร้อนและแห้งในฤดูร้อน ระหว่างเดือนเมษายนถึงกันยายนมีแดดจัดตลอดและอุณหภูมิสูง ในฤดูหนาวอากาศเย็นและฝนตก และเนื่องจากขาดแคลนน้ำจืดจึงมีการสร้างโรงงานกลั่นน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืด มอลตามีประชากรจำนวน ๔๐๓,๕๓๒ คน ( ค.ศ. ๒๐๐๘) ประกอบด้วยพลเมืองเลือดผสมที่มีเชื้อสายอิตาลี อาหรับ ฝรั่งเศส และอังกฤษ ประชากรส่วนใหญ่ร้อยละ ๙๘ นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ภาษาอังกฤษและภาษามอลตีส (Maltese) ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของพวกอาหรับและเขียนด้วยตัวอักษรละตินเป็นภาษาราชการและภาษาพูดทั่วไป ภาษาอิตาลีก็นิยมพูดกันด้วย เมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ กรุงวัลเลตตา (Valletta) ตั้งอยู่บนเกาะมอลตา เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เมืองบิร์กิร์การา (Birkirkara) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับ ๒ เมืองมดีนา (Mdina) ซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศาสนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในสมัยโรมันและสมัยกลางหลงเหลืออยู่มากและเมืองสลีมา (Sliema) ซึ่งเป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ สกุลเงินของประเทศเรียกว่ามอลตีสลีรา (Maltese Lira - MTL)
     หลักฐานทางโบราณคดีระยะแรก ๆ ที่มีอยู่ในมอลตาระบุว่ามอลตาเดิมเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกฟินีเชีย (Phoenician) แต่การค้นพบหลักฐานโบราณคดีในปัจจุบันสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีผู้คนอยู่อาศัยในมอลตาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ประมาณ ๕,๒๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช โบสถ์และวัดที่สร้างด้วยหินสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่แสดงว่ามอลตาเคย เป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญมาตั้งแต่ ๓,๖๐๐ ปี ก่อนคริสต์ศักราชซึ่งเก่าแก่และเกิดขึ้นก่อนหน้าพวกซูเมอร์ (Sumer) ในเมโสโปเตเมียและอียิปต์ ทั้งถือได้ว่าเป็นโบราณสถานที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดของโลก ในช่วงต้นศตวรรษที่ ๗ หรือศตวรรษที่ ๘ ก่อนคริสต์ศักราชพวกฟินีเชียซึ่งควบคุมเส้นทางการค้าในแถบเมดิเตอร์เรเนียนได้ตั้งถิ่นฐานในมอลตาและเรียกชื่อเกาะว่า "มอลลัต" ซึ่งหมายถึง "ท่าเรือที่ปลอดภัย" (safe haven) ต่อมาพวกคาเทจิเนียน (Carthaginians) จากแอฟริกาเหนือ ได้จัดตั้งอ่าวจอดเรือและแหล่งค้าขายขึ้นบนเกาะรวมทั้งก่อสร้างวิหารซึ่งยังคงมีซากหลงเหลืออยู่ในระหว่างสงครามพิวนิก (Punic War) ครั้งที่ ๒ มอลตาถูกพวกโรมันยึดครองและผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐโรมันเมื่อ ๒๑๘ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกโรมันเรียกเกาะนี้ว่า เมลีตา (Melita) มีโบราณสถานสมัยโรมันหลงเหลืออยู่หลายแห่งในมอลตาซึ่งรวมทั้งลวดลายในกระเบื้องที่เมืองเมลีตา [ปัจจุบันคือมดีนา (Medina) และบางส่วนของเมืองราบัต (Rabat)] ใน ช่วงที่โรมันปกครองมอลตา เรือที่เซนต์ปอล (St. Paul) โดยสารซึ่งกำลังเดินทางกลับกรุงโรมเพื่อนำเซนต์ปอลและพวกคริสเตียนไปพิจารณาคดีเกิดอัปปางลงบริเวณอ่าวเซนต์ปอลในปัจจุบัน ในช่วงที่พักซ่อมแซมเรือเซนต์ปอลสามารถโน้มน้าวให้ชาวพื้นเมืองหันมานับถือคริสต์ศาสนา และต่อมามีการจัดตั้งชุมชนชาวคริสต์ขึ้นบนเกาะโดยบ้านที่ เซนต์ปอลเคยพักกลายเป็นโบสถแห่งแรกในมอลตา สถานที่เซนต์ปอลเคยพำนักในเวลาต่อมาได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งชาวคริสต์นิยมเดินทางมาจาริกแสวงบุญจนถึงปัจจุบัน
     ในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ พวกอนารยชนเผ่าแวนดัล (Vandals) และกอท (Goths) เผ่าอื่น ๆ เข้าปล้นมณฑลของจักรวรรดิโรมันในแอฟริกาเหนือรวมทั้งจักรวรรดิโรมันตะวันตก มอลตารอดพ้นจากการถูกรุกรานและต่อมาถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ในรัชสมัยจักรพรรดิจัสตีเนียน (Justinian) ใน ค.ศ. ๘๗๐ พวกอาหรับได้เข้ายึดครองมอลตาและปกครองเป็นเวลา ๒๒๐ ปี ในช่วงเวลาดังกล่าวมอลตาได้รับอิทธิพลทางด้านภาษาและวัฒนธรรมรวมทั้งด้านสถาปัตยกรรมของพวกอาหรับ พวกอาหรับได้นำเทคนิคการชลประทานมาใช้ซึ่งปัจจุบันในบางพื้นที่ของมอลตาก็ยังคงใช้กันอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง มีการก่อสร้างส่วนที่เป็นป้อมปราการของโรมันให้เป็นเมืองตามรูปแบบสถาปัตยกรรมอาหรับ เช่น เมืองมดีนาซึ่งเป็นเมืองหลวงของพวกอาหรับในมอลตา กล่าวกันว่าภาษามอลตีสก็มีที่มาจากภาษาอารบิกซึ่งต่อมาผสมผสานเข้ากับภาษาอิตาลีและภาษาอังกฤษโดยใช้อักษรละตินเป็นตัวเขียนใน ค.ศ. ๑๐๙๐ เคานต์โรเจอร์ที่ ๑ (Roger I) แห่งราชอาณาจักรซิซีลีซึ่งเป็นพวกนอร์มันพยายามแย่งชิงมอลตาจากพวกอาหรับเพื่อใช้มอลตาเป็นด่านป้องกันการขยายตัวของพวกอาหรับจากแอฟริกาเหนือสู่ซิซิลีสงครามระหว่างซิซิลีกับอาหรับที่ยืดเยื้อสิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๑๑๒๗ ในสมัยของโรเจอร์ที่ ๒ ผู้เป็นทายาท และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในมอลตาจากอิทธิพลวัฒนธรรมอาหรับมาเป็นวัฒนธรรมยุโรปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลอดช่วง ๔๔๐ ปีที่มอลตาเป็นของซิซิลี มอลตาถูกเปลี่ยนมือโดยการซื้อขาย เป็นสินสมรสมรดกตกทอด และบรรณาการให้แก่พวกขุนนางและเจ้าผู้ครองต่าง ๆ ตั้งแต่ราชวงศ์ซวาเบีย (Swabia) อากีแตน (Aquitaine) อาระกอน (Aragon) กาสตีล (Castile) และ ใน ค.ศ. ๑๔๗๙ ก็กลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิสเปน
     ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ พวกเติร์กแห่งจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire)* หรือตุรกีเริ่มขยายอำนาจเข้ามาทางตะวันออกเฉียงใต้ของยุโรปซึ่งเป็นการคุกคามกรุงโรม ใน ค.ศ. ๑๕๒๒ กองทัพเติร์กซึ่งมีสุลต่านสุไลมานที่ ๑ (Suleiman I ค.ศ. ๑๕๒๐-๑๕๖๖) หรือสุลต่านสุไลมานผู้เกรียงไกร (Suleiman the Magnificent) เป็นผู้นำสามารถขับพวกอัศวินแห่งเซนต์จอห์นออกจากเกาะโรดส์ในทะเลเอเจียน (Agean) ซึ่งทำให้ด่านป้องกันกรุงโรมจากทางตอนใต้เสี่ยงต่อการคุกคาม จักรพรรดิชาร์ลที่ ๕ แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือพระเจ้าชาลล์ที่ ๑ แห่งสเปนทรงหวาดวิตกว่าหากกรุงโรมตกอยู่ใต้การยึดครองของพวกเติร์กดินแดนคริสเตียนยุโรปก็จะประสบความหายนะ พระองค์จึงยกมอลตาให้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มอัศวินแห่งเซนต์จอห์นและใช้เป็นด่านป้องกันทางทะเลเพื่อสกัดกั้นการคุกคามจากพวกเติร์ก กลุ่มอัศวินแห่งเซนต์จอห์นหรือที่เรียกกันทั่วไปในเวลาต่อมาว่า "อัศวินแห่งมอลตา" ซึ่งเป็นทั้งนักรบและนักเดินเรือที่เก่งกล้า จึงปกครองมอลตาเป็นเวลา ๒๗๕ ปี และสร้างมอลตาให้เป็นด่านป้องกันทางทะเลที่แข็งแกร่งรวมทั้งเป็นดินแดนที่เจริญและมั่งคั่งทางศิลปวัฒนธรรม
     นอกจากมอลตาจะเป็นด่านทางทหารที่เข้มแข็งแล้วยังกลายเป็นแหล่งที่ พักและศูนย์ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้แสวงบุญที่เดินทางไปดินแดนศักดิ์สิทธิ์ (Holy Land) ที่ใช้เส้นทางทะเลผ่านมอลตา รวมทั้งเป็นฐานกำลังทางทะเลในการโจมตีเรือของพวกเติร์ก อัศวินแห่งมอลตาได้สร้างป้อมปราการตามบริเวณชายฝั่งตั้งแต่เมืองบิร์กู (Birgu) ที่มีท่าเรืออันเหมาะสมไปจนถึงสุดปลายเกาะตรงป้อมเซนต์เอลโม (St. Elmo) ซึ่งปัจจุบันคือที่ตั้งของกรุงวัลเลตตา ใน ค.ศ. ๑๕๖๔ สุลต่านสุไลมานที่ ๑ สั่งให้นายพลมุสตาฟา ปาชา (Mustafa Pasha) เตรียมบุกและเข้ายึดมอลตา ในกลางเดือน พฤษภาคม ค.ศ. ๑๕๖๕ กองทัพเรือเติร์กซึ่งมีกำลังพล ๔๐,๐๐๐ คน ก็บุกเข้าโจมตีมอลตาโดยมีปาชาแห่งแอลเจียร์ (Algiers) ซึ่งเป็นคู่แข่งทางทะเลของมอลตาให้การสนับสนุน การโจมตีมอลตาเริ่มที่ป้อมเซนต์เอลโมเป็นจุดแรกเมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม และยึดครองได้เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน เหล่าอัศวินและชาวบ้านมอลตาที่ติดอาวุธรวม ๙,๐๐๐ คน ต่างยืนหยัดต่อต้านการบุกโจมตีอย่างเข้มแข็งและกล้าหาญและต่อมาได้รับการสนับสนุนทางทะเลจากกองเรือสเปนและซิซีลี จนท้ายที่สุดก็สามารถขับกองทัพเติร์กให้ถอนกำลังการยึดครองได้เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ค.ศ. ๑๕๖๕ ซึ่งต่อมากลายเป็นวันหยุดของชาติที่มีความหมายสำคัญที่สุดในปฏิทินของมอลตา ประมาณว่าฝ่ายมอลตาสูญเสียเกือบ ๓๐,๐๐๐ คน และเหลือรอดชีวิตเพียง ๖๐๐ คน หลังการถอนกำลังจากการยึดครองอันยืดเยื้อของพวกเติร์กในเหตุการณ์ที่ รู้จักกันดีในเวลาต่อมาว่า "การปิดล้อมครั้งใหญ่แห่งมอลตา" (Great Siege of Malta) พวกเติร์กก็ยุติการคุกคามทางทหารต่อยุโรป ส่วนสุลต่านสุไลมานก็สิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. ๑๕๖๖ ขณะทำสงครามในฮังการีซึ่งนับเป็นการสิ้นสุดของยุครุ่งโรจน์ในการขยายพรมแดนของจักรวรรดิออตโตมันด้วย
     หลังการถอนทัพของพวกเติร์ก มอลตาก็ได้รับการบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ มีการสร้างเมืองใหม่ที่มีป้อมปราการป้องกันโดยเรียกชื่อว่า วัลเลตตา ตามชื่อของ ชอง ปารีโซ เดอ ลา วาแลต (Jean Parisot de la Valette) ซึ่งเป็นแกรนด์มาสเตอร์ (Grand Master) ของกลุ่มอัศวินแห่งมอลตาในการต่อสู้กับพวกเติร์กจนมีชัยชนะ อย่างไรก็ตาม การที่พวกเติร์กไม่เคยกลับมาโจมตีอีกก็ทำให้ป้อมปราการที่สร้างขึ้นไม่เคยได้รับการทดสอบความแข็งแกร่งและกลายเป็นโบราณสถานสำคัญที่ปัจจุบันได้รับการอนุรักษ์ไว้ นอกจากป้อมปราการแล้วยังมีการก่อสร้างลาซาคราอินเฟอร์เมเรีย (La Sacra Infermeria) โรงพยาบาลขนาดใหญ่ซึ่งบรรจุคนป่วยได้เกือบ ๗๕๐ คน บริเวณนอกป้อมเซนต์เอลโม โรงพยาบาลนี้ได้ชื่อว่ามีห้องผู้ป่วยหลักที่ยาวที่สุดในยุโรปคือ ๑๕๕ เมตร

และมีเทคนิคการรักษาพยาบาลที่ทันสมัยที่สุดในยุโรปขณะนั้นเพราะมีการต้มเครื่องมือผ่าตัด ทั้งคนไข้ได้รับอาหารอย่างดีเสิร์ฟในจานเงิน กล่าวกันว่ามีการฆ่าไก่เป็นอาหารเฉลี่ยวันละ ๒๐๐ ตัว เหล่าอัศวินแห่งมอลตาต่างถือว่าเกาะมอลตาเป็นแผ่นดินบ้านเกิด พวกเขาจึงทุ่มเททรัพย์สินทุกสิ่งในการสร้างและพัฒนามอลตาให้เป็นดินแดนที่น่าอยู่อาศัยและงดงามด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะกรุงวัลเลตตาซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "เพชรน้ำเอก" ของมอลตา ระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ มอลตาโดยทั่วไปมีความสงบสุขและแทบจะไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการเมืองและการเปลี่ยนแปลงในยุโรป ปัญหาที่มอลตาเผชิญอยู่คือการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปกครองมอลตาของขุนนางและเหล่าอัศวินตระกูลต่าง ๆ ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าผู้ปกครองเหล่านี้ก็เหินห่างจากประชาชนและมักกดขี่เอารัดเอาเปรียบเพื่อเสริมสร้างความมั่งคงและอำนาจของตน ความนิยมของประชาชนต่อพวกอัศวินก็ลดน้อยลง
     ในช่วงที่สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars ค.ศ. ๑๗๙๒-๑๘๐๒)* กำลังขยายตัวไปทั่วทั้งยุโรปตลอดจนดินแดนโพ้นทะเลที่อยู่ในการปกครองของมหาอำนาจที่เป็นคู่สงครามกับฝรั่งเศสคณะกรรมการอำนวยการ (Directory)* ซึ่งเป็นรัฐบาลชุดสุดท้ายของสมัยการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789)* สนับสนุนให้นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ตยกทัพไปบุกอียิปต์เพื่อทำลายการค้าของอังกฤษในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและขัดขวางไม่ให้อังกฤษเข้าไปมีอำนาจในอินเดียได้อย่างมั่นคง ในระหว่างการเดินทางไปอียิปต์ใน ค.ศ. ๑๗๙๘ นโปเลียนจึงเห็นเป็นโอกาสเข้ายึดครองมอลตา และมีชัยชนะอย่างง่ายดายเพราะชาวมอลตาซึ่งเบื่อหน่ายผู้ปกครอง ของตนให้การสนับสนุนทั้งเห็นว่าฝรั่งเศสคือผู้ปลดปล่อยแต่ความชื่นชมต่อฝรั่งเศสและนโปเลียนก็เป็นช่วงเวลาอันสั้น เมื่อกองทหารฝรั่งเศสเริ่มปิดโบสถ์วิหารและยึดสมบัติและศิลปวัตถุที่มีค่าของศาสนจักรและพระราชวังกลับประเทศ นโปเลียนซึ่งพักอยู่ที่มอลตา ๑ สัปดาห์ ก่อนเดินทางต่อไปอียิปต์ก็นำดาบฝังเพชรของผู้ปกครองมอลตากลับไปด้วยและเหลือกองทหาร ๑,๐๐๐ คน ประจำการไว้ที่มอลตา ชาวมอลตาจึงรวมตัวกันต่อต้าน กองทหารฝรั่งเศสและแม้จะสามารถขับกองทหารฝรั่งเศสให้ถอยร่นไปจนมุมที่กรุงวัลเลตตาได้ในที่สุดแต่ก็ล้มเหลวหลายครั้งในการเข้าชิงวัลเลตตากลับคืนต่อมามอลตาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากอังกฤษพลเรือเอก ฮอเรชีโอ เนลสัน (Horatio Nelson)* จึงส่งกองเรือหนุนของทัพเรืออังกฤษมาช่วยซึ่งมีผลให้ฝรั่งเศสซึ่งยึดครองมอลตาเกือบ ๒ ปีต้องยอมแพ้เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ค.ศ. ๑๘๐๐ และถอนกำลังออกจากมอลตา
     ใน ค.ศ. ๑๘๐๒ นโปเลียนซึ่งปกครองฝรั่งเศสในระบบกงสุล (Consulate System)* เปิดการเจรจาสงบศึกกับอังกฤษเพื่อยุติสงครามระหว่างกันทั้ง ๒ ฝ่ายได้ร่วมลงนามในสนธิสัญญาอาเมียง (Treaty of Amiens)*ที่ เมืองอาเมียงในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศสเมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๐๒ ตามสนธิสัญญาฉบับนี้ อังกฤษต้องคืนเกาะมอลตาให้แก่เจ้าของเดิมคืออัศวินแห่งมอลตา แต่มอลตาต่อต้านและขออยู่ใต้การอารักขาของอังกฤษทั้งถือว่ากษัตริย์อังกฤษคือผู้ปกครองของตนโดยมีเงื่อนไขว่าศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกยังคงเป็นศาสนาของมอลตาและให้อังกฤษยอมรับคำประกาศว่าด้วยสิทธิของชาวมอลตาในการเลือกผู้ปกครองของตนเอง ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ (Alexander I)* แห่งรัสเซียซึ่งตัดความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสทรงประกาศว่าพระองค์จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความตกลงสนธิสัญญาอาเมียงและไม่ขัดขวางการที่มอลตาจะเข้ารวมกับอังกฤษ คำประกาศของรัสเซียจึงทำให้อังกฤษยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และฝรั่งเศสต่อมาก็ให้สัตยาบันความตกลงในสนธิสัญญาปารีสใน ค.ศ. ๑๘๑๔
     ในช่วงเวลาที่อังกฤษปกครองมอลตากว่า ๑๕๐ ปี แม้อังกฤษจะไม่ให้ความสำคัญต่อมอลตาเท่าใดนักแต่ก็ได้สร้างรากฐานความเจริญสมัยใหม่ให้แก่มอลตาทางการเมือง การศึกษา และสังคมรวมทั้งทำให้ศาสนจักรในมอลตาเป็นอิสระจากการควบคุมของคริสตจักรในซิซิลี ทั้งกำหนดพันธะหน้าที่ของเหล่าขุนนางมอลตาไว้ อังกฤษยังสร้างท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ ขึ้น และใช้ท่าเรือใหญ่ (Grand Harbour) ในวัลเลตตาเป็นฐานปฏิบัติการกองทัพเรืออังกฤษในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน [แต่ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ย้ายฐานปฏิบัติการกองทัพเรือไปที่เมืองอะเล็กซานเดรีย (Alexandria)* ในอียิปต์แทน] ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มอลตายังกลายเป็นสถานที่พักผ่อนของพวกปัญญาชนและนักการเมืองคนสำคัญของอังกฤษซึ่งนิยมมาเที่ยวและพำนักกันเป็นเวลานับเดือนเป็นต้นว่าลอร์ดไบรอน (Lord Byron) เซอร์วอลเตอร์ สกอตต์ (Sir Walter Scott) และเบนจามิน ดิสเรลี (Benjamin Disraeli)* ผู้นำคนสำคัญของพรรคอนุรักษนิยม (Conservative Party)* อังกฤษยังสนับสนุนการเพิ่มจำนวนประชากรด้วยการดูแลด้านสุขภาพอนามัยซึ่งทำให้อัตราการตายลดน้อยลงและการเกิดเพิ่มสูงขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๑ มอลตาประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ให้อำนาจการปกครองตนเอง โดยสภาสูงและสภาผู้แทนราษฎรมี อำนาจอิสระในการปกครองภายใน ยกเว้นการป้องกันประเทศและนโยบายด้านต่างประเทศยังคงอยู่ในการควบคุมของอังกฤษ
     เมื่อเบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini)* ผู้นำพรรคฟาสซิสต์ประสบความสำเร็จในการสถาปนาการปกครองตามแนวความคิดลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)* ขึ้นในอิตาลีในทศวรรษ ๑๙๓๐ มุสโสลีนีซึ่งต้องการขยายอำนาจของอิตาลีเข้าไปในยุโรปตอนกลางและตอนใต้ได้ปลุกระดมชาวอิตาลีให้สนับสนุนเขาในการแย่งชิงมอลตาจากอังกฤษโดยอ้างว่าชาวมอลตาสืบสายมาจากชนชาติอิตาลี เพราะภาษาพูดของมอลตา คล้ายคลึงกับภาษาท้องถิ่นอิตาลี ทั้งก่อนที่อังกฤษจะเข้าครอบครองมอลตา ชนชั้นผู้นำของมอลตาก็ใช้ภาษาอิตาลีเป็นภาษาพูดทั่วไป อย่างไรก็ตาม การปลุกระดม ของมุสโสลีนีประสบความสำเร็จไม่มากนัก แต่ก็มีผลให้ อังกฤษต้องหาทางแก้ไขโดยประกาศให้ภาษาอังกฤษซึ่งนิยมพูดกันทั่วไปเป็นภาษาราชการเช่นเดียวกับภาษามัลตีสใน ค.ศ. ๑๙๓๔
     ใน ค.ศ. ๑๙๓๖ โยอาคิม ฟอน ริบเบนทรอพ (Joachim von Ribbentrop)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมันได้เจรจากับเคานต์กาเลียซโซ เชียโน (Count Galeazzo Ciano)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอิตาลีเพื่อทำสนธิสัญญาพันธมิตรทหารในความตกลงที่เรียกกันว่า "กติกาสัญญาเหล็ก" (Pact of Steel) กติกาสัญญาเหล็กในเวลาต่อมามีส่วนทำให้อิตาลีใช้สถานการณ์สงครามที่เยอรมนีเป็นฝ่ายมีชัยชนะแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่อิตาลี โดยประกาศสงครามกับมหาอำนาจพันธมิตรเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ในวันรุ่งขึ้น อิตาลีซึ่งไม่พอใจที่อังกฤษใช้มอลตาเป็นฐานปฏิบัติการควบคุมแถบเมดิเตอร์เรเนียนและเป็นหน่วยดักฟังการสื่อสารทางวิทยุของเยอรมนีจึงส่งกำลังทางอากาศโจมตีมอลตาโดยทิ้งระเบิดในวันเดียวถึง ๖ ครั้ง และต่อมาโดยเฉลี่ยวันละ ๒-๓ ครั้ง อย่างไรก็ตาม การโจมตีทางอากาศอย่างต่อเนื่องของอิตาลีก็ไม่มีผลรุนแรงมากนัก เนื่องจากอิตาลีใช้เครื่องบินรบแบบเก่าที่ บรรจุระเบิดได้ไม่มากและมีปัญหาในการค้นหาเป้าหมาย การทิ้งระเบิดมักผิดพลาดและเมื่อมีการตอบโต้จากปืนต่อสู้อากาศยานบนเกาะและเรือบรรทุกเครื่องบินของอังกฤษที่ทอดสมอรอบมอลตา เครื่องบินอิตาลีก็จะถอยกลับ การโจมตีทางอากาศของอิตาลีในท้ายที่สุดเป็นเพียงการข่มขวัญและ การสอดแนมเท่านั้นขณะเดียวกันชาวมอลตาก็เรียนรู้ที่ จะปรับตัวกับการโจมตีทางอากาศและฝ่ายพันธมิตรก็ ตระหนักว่ากองกำลังทางอากาศของอิตาลีไร้ประสิทธิภาพอย่างมาก ในช่วง ๕ เดือนแรกของการโจมตี เครื่องบินอิตาลีถูกยิงทำลายถึง ๓๗ ลำ และชาวมอลตาเสียชีวิตเพียง ๓๓๐ คน และบาดเจ็บสาหัส ๒๙๗ คนเท่านั้น
     ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๔๑ เยอรมนีใหจอมพลอากาศ อัลแบร์ทเคสเซิลริง (Albert Kesselring)* เป็นผู้ควบคุมพื้นที่ยุทธศาสตร์ทางยุโรปใต้โดยเฉพาะอิตาลีและแถบเมดิเตอร์เรเนียน รวมทั้งประสานการรบกับจอมพล แอร์วิน รอมเมิล (Erwin Rommel)* ในแอฟริกาเหนือ เคสเซิลริงจึงสั่งให้ถล่มมอลตาเพื่อแสดงศักยภาพของกองกำลังทางอากาศเยอรมนีว่าเหนือกว่าอิตาลี และเพื่อยึดมอลตาเป็นฐานกำลังหนุนการบุกของเยอรมนีทางแนวรบด้านคลองสุเอช แต่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)* ผู้นำเยอรมนีในเวลาต่อมาไม่เห็นด้วยกับการยึดมอลตาซึ่งทำให้เยอรมนีไม่ได้ทุ่มกำลังโจมตีมอลตาอย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ยุทธการที่มอลตา (Battle of Malta) ใน ค.ศ. ๑๙๔๒ ก็เป็นการรบที่ดุเดือดใน เมดิเตอร์เรเนียน มอลตาถูกโจมตีทางอากาศอย่างหนักที่สุดโดยเยอรมนีทิ้งระเบิดทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งสามารถปิดล้อมมอลตาไว้ได้ยาวนานจนผู้คนบนเกาะขาดเสบียงและเชื้อเพลิงทั้งตกอยู่ในสภาวะย่ำแย่ แต่มอลตาก็ยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมอลตาประกอบด้วยถ้ำหินปูนมากทั้งมีกำบังอย่างดีซึ่งเป็นที่หลบซ่อนได้ดี และการทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่องส่งผลทางจิตวิทยา เพราะทำให้ทุกคนไม่คิดยอมจำนนอย่างไรก็ตาม การโจมตีทางอากาศอย่างหนักและยาวนานทำให้ผู้นำฝ่ายพันธมิตรหลายคนเริ่มเห็นว่าการพยายามรักษามอลตาไว้ไม่คุ้มค่า และมีการเปิดประชุมลับเพื่อตัดสินว่าจะยอมจำนนหรือไม่ แต่วินสตันเชอร์ชิลล์ (Winston Churchill)* นายกรัฐมนตรีอังกฤษต่อต้านความคิดการยอมแพ้และดึงดันให้รักษามอลตาไว้ ฝ่ายพันธมิตรจึงดำเนินการทุกวิถีทางในการช่วยเหลือมอลตาที่ถูกปิดล้อม และต่อมาเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐอเมริกาก็นำเครื่องบินรบแบบสปิตไฟร์ (spitfires) มาช่วยซึ่งทำให้ฝ่ายพันธมิตรสามารถเจาะผ่านด่านการปิดล้อมฝ่ายอักษะได้ พระเจ้าจอร์จที่ ๖ (George VI)* แห่งอังกฤษทรงมอบเหรียญกล้าหาญจอร์จ (George Cross) อิสริยาภรณ์สูงสุดทางทหารให้แก่มอลตาในวีรกรรมของการต่อสู้ซึ่งเป็นกรณีพิเศษที่มอบแก่ดินแดนแทนบุคคล การมอบเหรียญกล้าหาญจอร์จดังกล่าวมีผลทางจิตวิทยาอย่างมากเพราะทำให้ชาวมอลตามีขวัญและกำลังใจดีขึ้น ทั้งเริ่มสามารถปฏิบัติการตอบโต้การโจมตีจนมีชัยชนะในที่สุด และส่วนหนึ่งเป็นเพราะฮิตเลอร์ให้ถอนกำลังโจมตีทางอากาศไปหนุนช่วยการรุกของจอมพล เอวิน รอมเมิลในแอฟริกาเหนือ มอลตาซึ่งถูกเปรียบเทียบว่าเป็นแวร์เดิงแห่งเมดิเตอร์เรเนียน (Verdun of the Mediterranean) ยังได้รับการชื่นชมจาก ประธานาธิบดีแฟรงกลิน รูสเวลต์ (Franklin Roosevelt) แห่งสหรัฐอเมริกาว่าเป็นเปลวไฟเล็ก ๆ ที่เจิดจ้าในความมืดมิดของสงครามกล่าวกันว่าหากไม่มีมอลตาก็จะไม่มีเอลอะลาเมน (El-Alamein) เพราะมอลตาทำให้เยอรมนี พ่ายแพ้เร็วขึ้นและอังกฤษสามารถครอบครองทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและรุกรบมีชัยชนะฝ่ายอักษะในแอฟริกาเหนือได้ในที่สุด
     หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐบาลอังกฤษซึ่งประกาศสดุดีความกล้าหาญอันโดดเด่นของมอลตาในระหว่างสงครามโลกอนุมัติเงิน ๑๐ ล้านปอนด์ในการบูรณะฟื้นฟูมอลตาและอีก ๒๐ ล้านปอนด์ในการวางท่อน้ำมันเพื่อพัฒนามอลตา ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก หลังสงครามใน ค.ศ. ๑๙๔๗ พรรคแรงงานมอลตีส (Maltese Labour Party - MLP) ได้เป็นผู้นำการจัดตั้งรัฐบาลและมีนโยบายเปิดรับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาเพื่อพัฒนาประเทศ ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๙๕๕ ดอน มินทอฟฟ์ (Don Mintoff) นายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากพรรคแรงงานมอลตีสได้จัดการลงประชามติให้มอลตาเข้ารวมกับอังกฤษและให้มีผู้แทนของมอลตาในสภาสามัญ แม้ชาวมอลตาที่ลงคะแนนเสียง ๖๗,๖๐๗ คนจาก ๙๐,๓๔๓ คนจะสนับสนุนการเข้ารวมกับอังกฤษแต่รัฐบาลอังกฤษยังเห็นว่าผลการลงประชามติยังไม่สะท้อนเจตจำนงที่แท้จริงของชาวมอลตาเพราะยังคงมี ประชาชนอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้ออกเสียง อย่างไรก็ตาม อังกฤษก็ยอมให้มอลตามีผู้แทนในสภาสามัญและให้กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบดูแลมอลตาแทนหน่วยงานอาณานิคม มอลตามีอำนาจอธิปไตยในการปกครองตนเองภายในยกเว้นด้านการป้องกันประเทศนโยบายต่างประเทศและระบบภาษีอากร นอกจากนี้ ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่มอลตาเผชิญหลังสงคราม คือ ชาวมอลตาอพยพไปตั้งรกรากในอังกฤษ ออสเตรียและอเมริกาเหนือเป็นจำนวนมาก และใน ค.ศ. ๑๙๕๔ พลเมืองจำนวน ๑๑,๔๒๐ คนหรือประมาณร้อยละ ๓ อพยพออกนอกประเทศ ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ อังกฤษประกาศลดงบประมาณป้องกันมอลตาซึ่งมีผลให้ชาวมอลตามากกว่า ๑๓,๐๐๐ คนที่ ทำงานในท่าเทียบเรือซึ่งใช้เป็นฐานทัพเรือของอังกฤษในมอลตาต้องตกงานนโยบายดังกล่าวมีผลทำให้ความต้องการที่จะเข้ารวมกับอังกฤษยุติลงและนายกรัฐมนตรีมินทอฟฟ์เรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่จะให้อำนาจอธิปไตยแก่มอลตามากขึ้นและให้มอลตาเป็นเอกราช
     ใน ค.ศ. ๑๙๕๙ อังกฤษประกาศยุติการใช้ท่าเทียบเรือในมอลตาและจัดทำแผนพัฒนา ๕ ปีที่จะทำให้มอลตาสร้างความสัมพันธ์กับโลกภายนอกและยืนหยัดได้ด้วยตนเองเหมือนในอดีต แผนพัฒนามอลตาดังกล่าวจึงมีนัยถึงการจะให้เอกราชแก่มอลตา ซึ่งทำให้ข้อเรียกร้องของกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและการจะแยกตัวออกจากอังกฤษยุติลงชั่วคราว ต่อมาอังกฤษให้เอกราชแก่มอลตาเมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๖๔ ซึ่งกลายเป็นวันชาติของประเทศและได้ทำข้อตกลงร่วมกันที่จะให้ความช่วยเหลือด้านการป้องกันประเทศและการเงินเป็นเวลา ๑๐ ปี แม้มอลตาจะเป็นประเทศเอกราชแต่ก็ยังคงรวมอยู่ในเครือจักรภพ โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๒ (Elizabeth II)* ยังทรงเป็นประมุข ในปีเดียวกันนั้นมอลตาก็เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ (United Nations)* เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๖๔
     หลังได้รับเอกราช แม้มอลตาจะพยายามดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยการไม่ฝักไฝ่ฝ่ายใด (nonalignment) เพื่อหวังความช่วยเหลือทางการเงินจากประเทศตะวันตกมาพัฒนาประเทศแต่ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลิเบียและลิเบียขายน้ำมันให้มอลตาในราคาทุนขณะที่ ราคาน้ำมันในตลาดโลกช่วงทศวรรษ ๑๙๗๐ มีราคาสูงลิ่ว ในทศวรรษ ๑๙๖๐ มอลตาซึ่งตระหนักถึงความสำคัญของประชาคมเศรษฐกิจยุโรปหรืออีอีซี (European Economic Community - EEC)* ได้เริ่มหารือกับประเทศอีอีซีเพื่อสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและเพื่อวางพื้นฐานการพัฒนาทางการค้าระหว่างมอลตากับยุโรปและประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ต่อมามอลตาก็ประกาศใช้เงินสกุลใหม่ที่เรียกว่ามอลตีสลีราซึ่งทำให้ค่าเงินของประเทศที่ผูกติดเงินปอนด์ของอังกฤษถูกยกเลิกใน ค.ศ. ๑๙๗๒ มอลตาขอยกเลิกข้อตกลงที่มีกับอังกฤษใน ค.ศ. ๑๙๖๔ และทำความตกลงฉบับใหม่ที่เอื้อประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศในการที่มีฐานทัพองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO)*ประจำอยู่ในมอลตา ความตกลงฉบับใหม่ซึ่งมีระยะเวลา ๗ปี ( ค.ศ. ๑๙๗๒-๑๙๗๘) กำหนดให้อังกฤษจ่าย ค่าเช่าในการคงฐานทัพในมอลตาปีละ ๑๔ ล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม ในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๗๘ มอลตาก็ยกเลิกสัญญาการเช่าพื้นที่เป็นฐานทัพซึ่งทำให้กองกำลังอังกฤษต้องถอนตัวออกจากมอลตาในที่สุด
     ใน ค.ศ. ๑๙๗๔ มอลตาเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นสาธารณรัฐโดยมีรัฐสภาและมีประธานาธิบดีเป็นประมุข เซอร์แอนโทนี มาโม (Sir Anthony Mamo) ข้าหลวงใหญ่คนสุดท้ายของอังกฤษได้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศและดอน มินทอพฟ์ ผู้นำพรรคแรงงานมอลตีสเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึง ค.ศ. ๑๙๘๔ มอลตาได้ประกาศนโยบายความเป็นกลางและทำความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การค้าและวัฒนธรรมกับประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต จีน อิตาลี กลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออก ลิเบีย และตูนิเซียขณะเดียวกันก็ตกลงในความช่วยเหลือทางวิชาการจากประเทศต่าง ๆ ด้วย ใน ค.ศ. ๑๙๘๗ มอลตาแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งเดิมกำหนดว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงกว่าร้อยละ ๕๐ ในสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นจะมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลได้เป็นพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และแก้ไขเพิ่มเติมอีก ๒ มาตราโดยกำหนดสถานภาพความเป็นกลางของประเทศและนโยบายการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดรวมทั้งการห้ามต่างชาติเข้าแทรกแซงในการเลือกตั้ง
     ในทศวรรษ ๑๙๘๐ และ ๑๙๙๐ ปัญหาการเมืองสำคัญของมอลตาคือการสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ สหภาพยุโรป (European Union)* พรรคชาตินิยม (Nationalist Party - NP) ซึ่งเป็นพรรคการเมืองใหญ่ที่เป็นคู่แข่งของพรรคแรงงานมอลตีสสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิกในขณะที่พรรคแรงงานมอลตีสคัดค้าน ในช่วงที่ ๒ พรรคการเมืองใหญ่ผลัดกันขึ้นบริหารประเทศ ต่างพยายามผลักดันนโยบายของตนเกี่ยวกับสหภาพยุโรปให้บรรลุผล ในการเลือกตั้งเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๘๘ พรรคชาตินิยมได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลและเริ่มรณรงค์การเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปอีกครั้งหนึ่งโดยจัดให้มีการลงประชามติเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๓ ผลปรากฏว่าจำนวนประชาชนร้อยละ ๕๔ ที่มาออกเสียงเห็นด้วยร้อยละ ๙๑ อย่างไรก็ตาม พรรคแรงงานมอลตีสไม่ยอมรับผลการลงประชามติซึ่งนำไปสู่การเลือกตั้งก่อนกำหนดเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ค.ศ. ๒๐๐๓ พรรคชาตินิยมได้รับเสียงข้างมากถึงร้อยละ ๕๑.๗๙ รวม ๓๕ ที่นั่ง ในขณะที่พรรคแรงงานมอลตีสได้ ร้อยละ ๔๗.๕๑ รวม ๓๐ ที่นั่ง มอลตาจึงเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในที่สุดเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๔ หลังการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปมอลตาก็ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด นอกจากนี้ เอดดี ฟีเนช อะดามี (Eddie Fenech Adami) ประธานาธิบดีซึ่งเป็นผู้นำพรรคชาตินิยมที่รณรงค์เรื่องการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๖๐ ก็ประกาศลาออกจากการเป็นผู้นำพรรคที่ยาวนาน ลอว์เรนซ์ กอนซี (Lawrence Gonzi) ก็ได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคสืบแทนและได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๔
     ปัจจุบันอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักที่นำรายได้มาสู่มอลตา รัฐบาลส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนด้านธุรกิจโรงแรมชั้นนำและที่พักรวมทั้งการพัฒนามอลตาให้เป็นศูนย์กลางการจอดพักของเรือทัศนาจรในแถบเมดิเตอรเรเนียน ขณะเดียวกันก็รณรงค์เรื่องการแปรรูปด้าน ต่าง ๆ ซึ่งรวมทั้งกิจการธนาคาร การสื่อสารโทรคมนาคมสนามบินนานาชาติและอื่น ๆ ตลอดจนออกกฎหมายด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับการครองชีพของประเทศให้เข้าเกณฑ์มาตรฐานของสหภาพยุโรป รัฐบาลยังเน้นด้านการศึกษาโดยกำหนดการศึกษาภาคบังคับแบบให้เปล่าทุกระดับสำหรับพลเมืองระหว่างอายุ ๖-๑๖ ปี และทุก ๆ เมืองและหมู่บ้านต้องมีโรงเรียนของรัฐในระดับอนุบาลจนถึงมัธยม อุตสาหกรรมด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่กำลังพัฒนาและเติบโตก็มีส่วนทำให้การศึกษาด้านเทคนิคและวิศวกรรมขยายตัว ได้มีส่วนกระตุ้นให้เกิดการจัดตั้งมหาวิทยาลัยใหม่ที่เน้นด้านโปลิเทคนิค นอกเหนือจากมหาวิทยาลัยแห่งมอลตาที่ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๕๒ นอกจากนี้ มอลตายังได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์เคลื่อนที่สูงที่สุดประเทศหนึ่งในยุโรป.



คำตั้ง
Malta, Republic of
คำเทียบ
สาธารณรัฐมอลตา
คำสำคัญ
- รูสเวลต์, แฟรงกลิน ดี.
- กอนซี, ลอว์เรนซ์
- เอลิซาเบทที่ ๒, สมเด็จพระราชินีนาถ
- มินทอฟฟ์, ดอน
- ฮิตเลอร์, อดอล์ฟ
- องค์การสหประชาชาติ
- ประชาคมเศรษฐกิจยุโรป
- รอมเมิล, แอร์วิน
- ยุทธการที่มอลตา
- เชอร์ชิลล์, วินสตัน
- จอร์จที่ ๖, พระเจ้า
- กติกาสัญญาเหล็ก
- เคสเซิลริง, อัลแบร์ท
- กลุ่มอัศวินแห่งเซนต์จอห์นแห่งเยรูซาเลม
- ไบแซนไทน์, จักรวรรดิ
- มอลตา, สาธารณรัฐ
- โรดส์, เกาะ
- บิร์กิร์การา, เมือง
- โบนาปาร์ต, นโปเลียน
- โรมันอันศักดิ์สิทธิ์, จักรวรรดิ
- โรเจอร์แห่งซิซิลี, เคานต์
- เครือจักรภพ
- สลีมา, เมือง
- วัลเลตตา, กรุง
- จัสตีเนียน, จักรพรรดิ
- อัศวินแห่งมอลตา
- ซูเมอร์, พวก
- ซวาเบีย, ราชวงศ์
- คาเทจิเนียน, พวก
- โรเจอร์ที่ ๑, เคานต์
- สงครามพิวนิก
- อาระกอน
- ฟินีเชีย, พวก
- ราบัต, เมือง
- การปิดล้อมครั้งใหญ่แห่งมอลตา
- ปาชาแห่งแอลเจียร์
- เซนต์เอลโม, ป้อม
- บิร์กู, เมือง
- ลา วาแลต, ชอง ปารีโซ เดอ
- อีเจียน, ทะเล
- สุไลมานผู้เกรียงไกร, สุลต่าน
- มุสตาฟา ปาชา
- ออตโตมัน, จักรวรรดิ
- สุไลมานที่ ๑, สุลต่าน
- คณะกรรมการอำนวยการ
- การปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙
- ดิสเรลี, เบนจามิน
- มาโม, เซอร์แอนโทนี
- เชียโน, เคานต์กาเลียซโซ
- สงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส
- เนลสัน, ฮอเรชีโอ
- มุสโสลีนี, เบนีโต
- ไบรอน, ลอร์ด
- พรรคอนุรักษนิยม
- ระบบกงสุล
- ริบเบนทรอพ, โยอาคิม ฟอน
- อะเล็กซานเดรีย, เมือง
- สกอตต์, เซอร์วอลเตอร์
- ลัทธิฟาสซิสต์
- สนธิสัญญาอาเมียง
- อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑, ซาร์
- สหภาพยุโรป
- องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต
- อะดามี, เอดดี ฟีเนช
ช่วงเวลาระบุเป็นคริสต์ศักราช
-
ช่วงเวลาระบุเป็นพุทธศักราช
-
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
สัญชัย สุวังบุตร
บรรณานุกรมคำตั้ง
-
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ : ยุโรป เล่ม ๕ อักษร L-O ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กองธรรมศาสตร์และการเมือง 4.M 269-394.pdf