Leo XIII (1810-1903)

สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ (๒๓๕๒-๒๔๔๖)

​​​​​     สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ทรงเป็นสันตะปาปาพระองค์แรกที่เข้าดำรงตำแหน่งหลังจากที่คริสตจักรโรมันคาทอลิกต้องสูญเสียดินแดนในปกครองในคาบสมุทรอิตาลีรวมทั้งกรุงโรมเนื่องจากการรวมชาติอิตาลี (Unification of Italy)* พระองค์ทรงพยายามรื้อฟื้นบทบาทของสันตะปาปาในต่างแดนและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสำนักวาติกันกับรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ที่มีปัญหากับคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิก ทรงออกจุลสารที่เรียกว่าสมณสารสากล (encyclisals) เพื่อเป็นกรอบและแนวปฏิบัติสำหรับอาร์ชบิชอป บิชอปและผู้ที่นับถือนิกายคาทอลิกทั่วไป ส่วนปัญหากับรัฐบาลอิตาลีที่เกิดจากการรวมชาติ พระองค์ก็ทรงดำเนินนโยบายแข็งกร้าวและปฏิเสธอำนาจการปกครองของรัฐบาลตลอดระยะเวลาที่ทรงดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของศาสนจักรโรมันคาทอลิกจนสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. ๑๙๐๓


     สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ มีนามเดิมว่า โจอักกีโน วินเซนโซ รัฟฟาเอเล ลุยจี เปชชี (Gioacchino Vincenzo Raffaele Luigi Pecci) เป็นบุตรชายคนที่ ๖ ในบรรดาบุตรชาย ๗ คนของเคานต์โลโดวีโก เปชชี (Lodovico Pecci) นายทหารยศพันเอกซึ่งเคยร่วมรบในกองทัพของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕)* กับอันเน ปรอสเปรี บูซี (Anne Prosperi Buzi) เกิดเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๑๐ ณ การ์ปีเนโต (Carpineto) ในรัฐสันตะปาปา (Papal States) แม้จะเกิดในครอบครัวขุนนางระดับล่าง แต่เปชชีในเยาว์วัยก็ได้รับการศึกษาอย่างดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าบุตรหลานของขุนนางตระกูลสูงอื่น ๆ ขณะอายุ ๘ ปี เขาและจูเซปเป (Giuseppe) พี่ชายวัย ๑๐ ปี ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนชั้นนำของพวกเยซูอิต (Jesuit) ณ เมืองวีแตร์โบ (Viterbo) เปชชีให้ความสนใจเป็นพิเศษในงานวรรณกรรมโบราณที่เขียนด้วยภาษาละตินและภาษาอิตาลีซึ่งต่อมาได้เป็นพื้นฐานให้เขามีความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาและโดยเฉพาะการประพันธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นอย่างยิ่ง
     ใน ค.ศ. ๑๘๒๔ ขณะอายุ ๑๔ ปี เปชชีพร้อมพี่ชายได้เข้าศึกษาต่อในวิทยาลัยโรมาโน (Collegio Romano) ตั้งอยู่ในกรุงโรม ซึ่งเป็นวิทยาลัยของพวกเยซูอิตเช่นกัน โดยทั้งสองเลือกศึกษาในสาขามนุษยศาสตร์และวาทศิลป์ ก่อนจบการศึกษาในรายวิชาวาทศิลป์ เปชชีได้รับเลือกให้กล่าวคำปราศรัยในภาษาละติน ซึ่งเขาเลือกหัวข้อ "The Contrast Between Pagan and Christian Rome" ส่วนรายวิชาอื่น ๆ คือ วิชาปรัชญาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้น เปชชีก็ทำคะแนนได้ดีเช่นกัน เขาสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยโรมาโนในระดับปริญญาดุษฎีบัณฑิต สาขาเทววิทยาใน ค.ศ. ๑๘๓๒
     หลังจบการศึกษา เปชชียังได้เข้าศึกษาต่อใน Academy of Noble Ecclesiastics ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสาขาวิชาการต่างประเทศเพื่อฝึกฝนบุตรหลานของขุนนางให้มีความรู้ทางการทูตเพื่อออกไปประกอบอาชีพเป็นนักการทูตของราชสำนักสันตะปาปาไปประจำ ณ ประเทศต่าง ๆ ต่อมา เปชชีก็เข้าศึกษาเพิ่มเติมในวิชาประมวลกฎหมายโรมันเกี่ยวกับศาสนา (canon laws) และวิชากฎหมายแพ่ง (civil law) ณ มหาวิทยาลัยซาปีเอนซา (Sapienza University) ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๘๓๗ สันตะปาปาเกรกอรีที่ ๑๖ (Gregory XVI ค.ศ. ๑๘๓๑-๑๘๔๖) ทรงแต่งตั้งเปชชีซึ่งมีผลการเรียนดีและมีความรอบรู้และเฉลียวฉลาดในด้านต่าง ๆ ให้ดำรงตำแหน่งในระดับเทียบเท่าพระราชาคณะ (prelate) เพื่อดูแลกิจการภายในของรัฐสันตะปาปา ทั้ง ๆ ที่เขามีฐานะเทียบเท่าเณรเท่านั้น แต่ในเดือนธันวาคมปีเดียวกันนั้น เปชชีก็ตัดสินใจเข้าพิธีบวชเป็นพระในคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกตามคำแนะนำของคาร์ดินัลซาลา (Cardinal Sala) ที่เขานับถือเพื่อที่จะสามารถก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นซึ่งผู้ครองตำแหน่งจะต้องมีสถานภาพเป็นพระเท่านั้น หลังจากดำรงสมณเพศแล้วเปชชีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นข้าหลวงประจำเมืองเบเนเวนโต (Benevento) ซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็กของสันตะปาปาในดินแดนภายในราชอาณาจักรซิซีลีทั้งสอง (Kingdom of the Two Sicilies) เปชชีประสบความสำเร็จในการร่วมมือกับตำรวจของกรุงเนเปิลส์ในการรักษาความสงบและปราบปรามพวกโจรผู้ร้าย ดังนั้น ใน ค.ศ. ๑๘๔๑ เขาจึงได้เลื่อนฐานะเป็นข้าหลวงประจำเมืองเปรูจา (Perugia) ซึ่งห่างจากกรุงโรมประมาณ ๑๓๕ กิโลเมตร และเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของสมาคมลับและขบวนการต่อต้านสันตะปาปา เปชชีได้ดำเนินนโยบายปฏิรูปการปกครองเศรษฐกิจและสังคม จนทำให้เขาเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปและทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะนักบริหารที่มีประสิทธิภาพของสำนักสันตะปาปา และทำให้การต่อต้านศาสนจักรลดน้อยอีกด้วย
     ใน ค.ศ. ๑๘๔๓ ขณะมีอายุเพียง ๓๓ ปี เปชชีได้รับแต่งตั้งให้มีสมณศักดิ์เป็นอาร์ชบิชอปวิสามัญที่ไม่มีอำนาจปกครองแห่งดามีเอตตา (titular archbishop of Damietta) และเป็นสมณทูตหรือผู้แทนของสันตะปาปา (nuncio) ประจำราชอาณาจักรเบลเยียม ซึ่งทำให้เขาได้เห็นความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมของเบลเยียม อีกทั้งยังมีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยียนเมืองสำคัญ ๆ อาทิกรุงลอนดอนและกรุงปารีสที่เป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)* และวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบรัฐสภาที่ช่วยทำให้โลกทัศน์ของเขาเปิดกว้างขึ้นและมีขันติธรรมกับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ในสังคมในขณะนั้น
     ระหว่างประจำการที่เมืองเปรูจาเป็นเวลา ๓ ปี เปชชีได้ประสบปัญหาเรื่องอำนาจในการจัดการศึกษาในโรงเรียนคาทอลิกระหว่างคณะบิชอป (episcopacy) กับรัฐบาล ซึ่งทำให้เขาขัดแย้งกับพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ ๑ (Leopold I ค.ศ. ๑๘๓๑-๑๘๖๕)* จนต้องถูกเรียกตัวกลับกรุงโรมใน ค.ศ. ๑๘๔๖ อย่างไรก็ดี เปชชีก็ยังคงได้รับการส่งเสริมให้มีฐานะการงานและตำแหน่งหน้าที่สูงในคริสต์จักรต่อไป โดยได้รับแต่งตั้งเป็นบิชอปแห่งเปรูจา ใน ค.ศ. ๑๘๔๖ ซึ่งเขาได้ดำรงตำแหน่งนี้จนถึง ค.ศ. ๑๘๗๘ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๘๕๓ เปชชีก็ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลอีกตำแหน่งหนึ่งเมื่อสันตะปาปา ไพอัสที่ ๙ (Pius IX ค.ศ. ๑๘๔๖-๑๘๗๘)* สิ้นพระชนม์ ใน ค.ศ. ๑๘๗๘ และได้มีการจัดประชุมเพื่อเลือกตั้งสันตะปาปา (conclave) เป็นครั้งแรกหลังจากที่รัฐสันตะปาปาและกรุงโรมได้ถูกผนวกเข้ากับดินแดนอิตาลีอื่น ๆ ในกระบวนการการรวมชาติอิตาลีที่เริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ ๑๘๖๐ และสิ้นสุดลงในระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๘๗๑)* เปชชีซึ่งมีบทบาทต่อต้านอำนาจรัฐบาลของ ราชอาณาจักรปีดมอนต์-ซาดิเนีย (Kingdom of Peidmont-Sardinia) และรัฐบาลอิตาลีต่อมาก็ได้รับเลือกตั้งเป็นสันตะปาปาด้วยคะแนน ๔๔ เสียงจาก ๖๑ เสียงเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๘๗๘ ประกอบพิธีสมณาภิเษกในวันที่ ๓ มีนาคม และเฉลิมพระศาสนฉายาสันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ในวันที่ ๓ มีนาคม ซึ่งตรงกับหลังวาระครบรอบวันประสูติปีที่ ๖๘ ได้เพียง ๑ วันเท่านั้น
     แม้ขณะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขสูงสุดของศาสนจักรโรมันคาทอลิก สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ จะทรงมีพระสุขภาพอ่อนแอ แต่พระองค์ก็ทรงมีพระทัยมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูสถานภาพของคริสตจักรและอำนาจทางอาณาจักรที่สูญเสียไปเนื่องจากการรวมชาติอิตาลี อีกทั้งทรงพยายามจะปรับมุมมองของศาสนจักรให้เข้ากับวัฒนธรรมทางโลกและแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นอยู่ในขณะนั้น โดยการยึดถือเหตุผลเป็นหลักการสำคัญในการดำเนินนโยบายดังกล่าว สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ทรงออกสมณสารสากลหรือสาสน์ของสันตะปาปาที่มีถึงบิชอปทั้งหลายจำนวนมาก เพื่อให้คริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกยึดถือปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน สมณสารสากลฉบับแรก ๆ ที่ทรงออกคือ Aeterni Patris ( ค.ศ. ๑๘๗๙) ซึ่งทรงกระตุ้นให้คริสต์ศาสนิกชนคาทอลิกทบทวนศึกษาปรัชญาของเซนต์ทอมัส อะไควนัส (St. Thomas Aquinas ค.ศ. ๑๒๒๕-๑๒๗๔) นักเทววิทยาคนสำคัญของสมัยกลาง (Middle Ages) เพื่อใช้เป็นกรอบความคิดในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองและสังคม แต่ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงแสดงจุดยืนอย่างแข็งขันในการต่อต้านลัทธิสังคมนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิสุญนิยม (nihilism) ที่คิดทำลายล้างสถาบันทางสังคมและทางเศรษฐกิจที่กำลังแพร่หลายในขณะนั้นด้วย ดังปรากฏในสมณสารสากลชื่อ Quod apostolici nuneris ( ค.ศ. ๑๘๗๘)
     ส่วนในเรื่องการต่อต้านความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์รวมทั้งการต่อต้านลัทธิดาร์วิน (Darwinism)* แม้สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ จะทรงมีแนวคิดเดียวกับสันตะปาปาไพอัสที่ ๙ ที่ทรงต่อต้านทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต (Theory of Evolution) อย่างรุนแรง แต่โดยทั่วไป พระองค์ก็ทรงแสดงท่าทีที่มีลักษณะประนีประนอมมากขึ้น (ยกเว้นกับลัทธิดาร์วิน) ซึ่งทำให้คริสตจักรโรมันคาทอลิกยอมยุติการต่อต้านการค้นพบใหม่ ๆ ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ขัดกับหลักการของคริสต์ศาสนา ก่อให้เกิดความประนีประนอมในเรื่องความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับเทววิทยาได้ และกลายเป็นความเชื่อในหมู่ผู้นับถือนิกายคาทอลิกว่าพระเป็นเจ้าทรงสร้างจักรวาล แต่พระองค์ก็ทรงปล่อยให้จักรวาลวิวัฒนาการไปอย่างอิสระเหมือนดังที่นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบ การประนีประนอมดังกล่าวจึงนับเป็นการเปิดโอกาสให้การศึกษาด้านวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ดำเนินต่อไปได้อย่างอิสระ
     ในด้านการต่างประเทศ สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ทรงพยายามฟื้นฟูบทบาททางโลกของสันตะปาปาและศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่มีต่อนานาประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก ทรงออกสมณสารสากลจำนวนหลายฉบับเพื่อชี้ให้เห็นถึงแนวคิดใหม่หรือบทบาทใหม่ของศาสนจักรที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมของโลกในขณะนั้น เพื่อให้ศาสนจักรเป็นที่ยอมรับ เช่น ใน สมณสารสากล เรื่อง Diuturnum illud ( ค.ศ. ๑๘๘๑) ทรงยอมรับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย Immortale Dei ( ค.ศ. ๑๘๘๕) ทรงยืนยันความชอบธรรมของคณะรัฐบาลในระบอบการปกครองต่าง ๆ ตราบเท่าที่ยังสามารถจัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนได้ Libertas praestantissimum ( ค.ศ. ๑๘๘๘) ทรงให้เหตุผลว่าศาสนจักรมีหน้าที่พิทักษ์เสรีภาพของประชาชน และที่สำคัญคือสมณสารสากลเรื่อง Rerum novarum ( ค.ศ. ๑๘๙๑) ที่ทรงให้การสนับสนุนการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคลว่าเป็นสิทธิตามธรรมชาติ การกำหนดค่าจ้างแรงงาน สิทธิของคนงาน การจัดตั้งสหภาพแรงงานและอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ศาสนจักรให้ความสำคัญต่อชนชั้นแรงงานที่กำลังเติบใหญ่ในสังคมอุตสาหกรรมในขณะนั้น เป็นต้น
     ส่วนในการสร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน ได้แก่ การยุติการสนับสนุนพวกกษัตริย์นิยมในฝรั่งเศสในการต่อต้านรัฐบาล และ เรียกร้องให้ชาวฝรั่งเศสคาทอลิกหันมาร่วมมือและอุทิศตนให้แก่สาธารณรัฐที่ ๓ ( ค.ศ. ๑๘๗๐-๑๙๔๕) มากขึ้นแม้ข้อเรียกร้องของพระองค์จะไม่สัมฤทธิผลมากนักเพราะมีชาวฝรั่งเศสคาทอลิกโดยเฉพาะพวกกษัตริย์นิยมจำนวนน้อยยอมร่วมมือด้วย แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลฝรั่งเศสกับสำนักสันตะปาปา ณ วาติกันยั่งยืนตลอดช่วงระยะเวลาที่สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ทรงดำรงตำแหน่งประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิก ส่วนในการสร้างความปรองดองระหว่างคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกกับรัฐบาลเยอรมัน สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ทรงประสบความสำเร็จมากกว่า เพราะทรงสามารถเจรจาตกลงกับเจ้าชายออทโท ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck)* อัครเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเยอรมัน (German Empire)* ที่เพิ่งสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๗๑ ให้ยกเลิกนโยบายการต่อสู้ทางวัฒนธรรมหรือการรณรงค์ทางวัฒนธรรม (Kulturkamptf ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๘๘๗)* ได้สำเร็จ นโยบายดังกล่าวนี้เกิดขึ้นเพื่อลดบทบาทและจำกัดสิทธิของคริสตจักรโรมันคาทอลิกทั้งในด้านศาสนาและสังคมตลอดจนอภิสิทธิ์ของนักบวช การต่อสู้ทางวัฒนธรรมที่ถือเป็นนโยบายสำคัญในการสร้างเอกภาพภายในจักรวรรดิเยอรมันดังกล่าวจึงก่อให้เกิดกระแสต่อต้านรัฐบาลของชาวเยอรมันคาทอลิกและการแตกแยกทางการเมือง มีการจัดตั้งพรรคคาทอลิกกลาง (Catholic Centre Party - Zentrumn) โดยมีสันตะปาปาเป็นผู้นำ ดังนั้น หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขของคริสตจักรโรมันคาทอลิก สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ จึงทรงคิดรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับจักรวรรดิเยอรมัน กอปรกับในขณะนั้นบิสมาร์คเองก็ประสบปัญหาการขาดเสียงสนับสนุนจากพรรคชาตินิยมเสรีนิยมและต้องการฐานเสียงจากพรรคคาทอลิกกลาง รวมทั้งชาวเยอรมันเชื้อสายโปลที่นับถือนิกายคาทอลิก จึงทำให้พระองค์สามารถทำความตกลงกับบิสมาร์คให้ยกเลิกกฎหมายฉบับต่าง ๆ ที่ต่อต้านคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิกโดยพระองค์สัญญาจะช่วยผลักดันให้พรรคคาทอลิกกลางยอมร่วมมือกับรัฐบาลเยอรมัน กระบวนการยกเลิกการต่อสู้ทางวัฒนธรรมจึงเริ่มขึ้นและสิ้นสุดใน ค.ศ. ๑๘๘๗ เมื่อมีการแก้ไขกฎหมายฉบับต่าง ๆ ดังกล่าว และรัฐสภาเยอรมันได้ออกกฎหมายยอมรับรองอำนาจสันตะปาปาที่มีต่อคณะบาทหลวงในเยอรมนี และฟื้นฟูสิทธิและเสรีภาพของชาวเยอรมันคาทอลิกในการนับถือและประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนาตามความเชื่อของตนได้ นับเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวงของสันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ที่สามารถฟื้นฟูเกียรติภูมิของคริสตจักรโรมันคาทอลิกในดินแดนเยอรมันได้
     ในสมัยของสันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ คริสตจักรโรมันคาทอลิกยังสามารถขยายตัวอย่างกว้างขวางโดยครอบคลุมอาณาบริเวณทั่วโลก มีการจัดตั้งแขวงการปกครองของอาร์ชบิชอปหรือบิชอป (sees) จำนวน ๒๔๘ แห่ง เขตปกครองของบาทหลวง (vicariates) จำนวน ๔๘ แห่ง และเขตปกครองของสังฆัยกา (Patriarchates) จำนวน ๒ แห่ง ซึ่งเขตปกครองต่าง ๆ เหล่านี้จัดตั้งทั้งในสกอตแลนด์ ตอนเหนือของทวีปแอฟริกา อินเดีย ญี่ปุ่น รวมทั้งเขตสังฆมณฑล (dio-ceses) ใหม่อีก ๒๘ แห่งในสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ยังทรงคิดที่จะรวมผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนานิกายอื่น ๆ ได้แก่ คริสต์ศาสนิกชนออร์ทอดอกซ (Orthodox) และโปรเตสแตนต์ (Protestant) ให้เข้าสังกัดในคริสตจักรโรมันคาทอลิกดังปรากฏในสมณสารสากล ชื่อ Praeclara ( ค.ศ. ๑๘๙๔) และ Satiscognitum ( ค.ศ. ๑๘๙๖) รวมทั้งความปรารถนาจะเปลี่ยนศาสนาของชาวอังกฤษในข้อเขียน Ad Anglos ( ค.ศ. ๑๘๙๕)
     ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคริสตจักรโรมันคาทอลิกกับรัฐบาลอิตาลีนั้น สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ ก็ทรงดำเนินนโยบายตามสันตะปาปาไพอัสที่ ๙ อย่างเคร่งครัดในการต่อต้านและไม่ยอมรับอำนาจของรัฐบาลอิตาลีในการปกครองราชอาณาจักรอิตาลี อีกทั้งยังไม่ทรงยุติการอ้างสิทธิเหนือดินแดนอิตาลีส่วนกลางที่เคยเป็นรัฐสันตะปาปาและกรุงโรมที่ต้องสูญเสียไปเมื่อมีการรวมชาติอิตาลีระหว่างทศวรรษ ๑๘๖๐ ทรงทำให้ "ปัญหากรุงโรม" (Roman Question) ดำเนินต่อไปจนสิ้นสมัยของพระองค์ ทั้งยังจำกัดที่ประทับและพระราชอาณาเขตแต่เฉพาะในวังวาติกัน (The Vatican) และทรงเรียกพระองค์ว่า "นักโทษแห่งวาติกัน" (The prisoner of the Vatican) ส่วนชาวอิตาลีคาทอลิกก็ถูกห้ามไม่ให้ร่วมมือกับรัฐบาลหรือมีส่วนร่วมในการเมืองอีกด้วยการกระทำของพระองค์ดังกล่าวจึงสร้างปัญหาและความอ่อนแอให้แก่รัฐบาลอิตาลีในการสร้างเอกภาพของคนในชาติ แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้สำนักวาติกันเข้มแข็งจนเวลาต่อมารัฐบาลอิตาลีซึ่งมีเบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini)* เป็นผู้นำต้องยอมอ่อนข้อให้แก่คริสตจักรโรมันคาทอลิก โดยยินยอมทำความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๒๙ (Concordat 1929)* หรือสนธิสัญญาลาเทอแรน (Treaty of Lateran)* ยอมรับเอกราชของนครวาติกันที่มีสันตะปาปาเป็นประมุข และจ่ายค่าทดแทนเพื่อชดเชยดินแดนที่รัฐบาลอิตาลีได้ยึดรัฐสันตะปาปาและกรุงโรมเมื่อมีการรวมชาติอิตาลี รวมทั้งยอมรับให้คริสต์ศาสนนิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติของอิตาลีอีกด้วย
     สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓ สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๐๓ หลังจากที่ทรงประกอบพิธีครบรอบสมณาภิเษกปีที่ ๒๕ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๐๓ สิริพระชนมายุ ๙๓ ปี นับว่าพระองค์ทรงเป็นสันตะปาปาที่มีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูบทบาทและสถานภาพของคริสต์ศาสนจักรโรมันคาทอลิก และทรงเป็นผู้วางแนวคิดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติของคริสตจักรต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในขณะนั้นและในเวลาต่อมาด้วย


ลัทธิดาร์วินเกิดจากการเสนอทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตโดยชาลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๘๒)* นักวิทยาศาสตร์ และนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ โดยใน ค.ศ. ๑๘๕๙ เขาได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ On the Origin of Species by Means of Natural Selection or the Preservation of Favored Races in the Struggle for Life ความหนา ๖๐๐ หน้า กล่าวถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ จากสิ่งที่ มีชีวิตง่าย ๆ ไปสู่ชีวิตสังคมที่ ซับซ้อนและการอยู่รอดของผู้ที่ เหมาะสมที่สุด (survival of the fittest) จนทำให้นักคิดตะวันตกในแทบทุกสาขา ซึ่งรวมทั้งมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์นำทฤษฎีของเขาไปประยุกต์ใช้และอธิบายปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในสังคม และแนวคิดในการจัดระเบียบ สังคมในขณะนั้นและในอนาคตด้วย จนก่อให้เกิดการปฏิวัติและการเปลี่ยนแปลงทางความคิดและสังคมอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อแนวคิดและศรัทธาในคริสต์ศาสนาที่เชื่อว่าพระเป็นเจ้าทรงสร้างโลกและมนุษย์เป็นสิ่งสมบูรณ์ทุกประการ หาใช่การสืบสายพันธุ์มาจากลิงตามทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วิน
ปัญหาทางศาสนาและสังคมที่ ก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชาวฝรั่งเศสคาทอลิกที่ ประกอบด้วยพระระดับพระราชาคณะและพระโดย ทั่วไป และผู้มีจิตศรัทธาในนิกายโรมันคาทอลิกโดยเฉพาะพวกกษัตริย์นิยมที่ ไม่พึงพอใจรัฐบาลเป็นฐานแล้ว คือแนวปฏิบัติและกฎหมายที่ ขัดต่อความเชื่อในอดีตเช่นการจดทะเบียนที่ อำเภอ การอนุญาตให้มีการหย่าร้างกันตามกฎหมาย และการจัดการศึกษาโดยรัฐแทน การให้ศาสนจักรเป็นผู้จัดการหรือผู้ดำเนินการเป็นต้นความขัดแย้งดังกล่าวจึงทำให้รัฐบาลยึดถือนโยบายต่อต้านพระ (anticlericalism) ส่วนพวกพระและคริสต์ศาสนิกชนหัวเก่าตอบโต้โดยใช้วิธีที่ เรียกว่า “การรวมพลังศรัทธา” (Ralliement) ในการต่อต้านรัฐบาล

คำตั้ง
Leo XIII
คำเทียบ
สันตะปาปาลีโอที่ ๑๓
คำสำคัญ
- เลโอโปลด์ที่ ๑, พระเจ้า
- สนธิสัญญาลาเทอรัน
- ปัญหากรุงโรม
- พรรคคาทอลิกกลาง
- เปรูจา, เมือง
- มุสโสลีนี, เบนีโต
- บิสมาร์ค, ออทโท ฟอน
- การ์นีเนโต
- เยอรมัน, จักรวรรดิ
- ความตกลงระหว่างสันตะปาปากับรัฐบาล ค.ศ. ๑๙๒๙
- นักโทษแห่งวาติกัน
- เปชชี, โจอักกีโน วินเซนโซ รัฟฟาเอเล ลุยจี
- การรณรงค์ทางวัฒนธรรม
- การรวมชาติอิตาลี
- บูซี, อันเน ปรอสเปรี
- เปชชี, เคานต์โลโดวีโก
- ลีโอที่ ๑๓, สันตะปาปา
- รัฐสันตะปาปา
- เกรกอรีที่ ๑๖, สันตะปาปา
- ดาร์วิน, ชาลส์
- การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- เบเนเวนโต, เมือง
- สมณสารสากล
- วีแตร์โบ, เมือง
- ซิซีลีทั้งสอง, ราชอาณาจักร
- ทฤษฎีวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
- ปีดมอนต์-ซาร์ดิเนีย, ราชอาณาจักร
- ไพอัสที่ ๙, สันตะปาปา
- สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
- ลัทธิดาร์วิน
- อะไควนัส, เซนต์ทอมัส
- ลัทธิสุญนิยม
- การต่อสู้ทางวัฒนธรรม
- นโปเลียนที่ ๑, จักรพรรดิ
ช่วงเวลาระบุเป็นคริสต์ศักราช
1810-1903
ช่วงเวลาระบุเป็นพุทธศักราช
๒๓๕๒-๒๔๔๖
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
อนันต์ชัย เลาหะพันธุ
บรรณานุกรมคำตั้ง
-
แหล่งอ้างอิง
หนังสือ สารานุกรมประวัติศาสตร์สากลสมัยใหม่ : ยุโรป เล่ม ๕ อักษร L-O ฉบับราชบัณฑิตยสถาน กองธรรมศาสตร์และการเมือง 2.L 1-142.pdf