ราชอาณาจักรนอร์เวย์เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) เป็นดินแดนของพวกไวกิ้ง
(Viking) มีประวัติศาสตร์อันยาวนานควบคู่กับเดนมาร์กกว่า ๔๐๐ ปี จนถึงสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars)* หลังจากนั้นใน ค.ศ. ๑๘๑๔ ได้ถูกรวมเข้ากับสวีเดนจนถึง ค.ศ. ๑๙๐๕ จึงแยกตัวเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ และอัญเชิญพระราชวงศ์เดนมาร์กมาปกครองปัจจุบันเป็นหนึ่งในประเทศยุโรปที่มีกษัตริย์เป็นประมุขและมีชื่อเสียงในด้านสวัสดิการและมาตรฐานการครองชีพ ของประชาชนว่าสูงที่สุดในโลก ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดูพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยงคืน
ราชอาณาจักรนอร์เวย์ตั้งอยู่เหนือสุดของทวีปยุโรปและอยู่ทางทิศตะวันตกสุดของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ห้อมล้อมไปด้วยทะเล ทิศเหนือจดมหาสมุทร แอตแลนติก ทิศตะวันตกจดทะเลนอร์เวย์ (NorwegianSea) ทิศตะวันตกเฉียงใต้จดทะเลเหนือ (North Sea) ทิศใต้ติดต่อกับช่องแคบสแกเกอร์แรก (Skagerrak) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดทะเลแบเรนส์ (Barents Sea) ซึ่งเป็นส่วนเหนือของมหาสมุทรอาร์กติก ส่วนทางตะวันออกตั้งแต่ใต้สุดจนถึงเหนือสุดมีพรมแดนส่วนใหญ่ร่วมกับสวีเดน (๑,๖๑๙ กิโลเมตร) กับฟินแลนด์ (๗๒๙ กิโลเมตร) และกับรัสเซีย (๑๙๖ กิโลเมตร) ทางตอนเหนือของวงแหวนอาร์กติก (Arctic Circle) ในฤดูร้อนมีแสงแดดทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน ระหว่างวันที่ ๗ มิถุนายน-๘ กรกฎาคม จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ตอนเที่ยงคืน และระหว่างวันที่ ๑๕-๒๙ ธันวาคม ไม่มีแสงแดดในเวลากลางวันในเขตนอร์ทเคป (North Cape) อาจมองเห็นพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ระหว่างวันที่ ๑๔ พฤษภาคม -๒๙ กรกฎาคม และระหว่างวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน -๒๔ มกราคม ท้องฟ้ามืดมิดตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน
นอร์เวย์มีเนื้อที่ทั้งสิ้น ๓๒๓,๘๐๒ ตาราง กิโลเมตร เป็นพื้นที่เพาะปลูกเพียงร้อยละ ๓ กรุงออสโล (Oslo) เป็นเมืองหลวง เมืองสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ แบร์เกน (Bergen) สตาวังเงร์ (Stavanger) และทรอนด์เฮม (Trondheim) นอกจากนี้ยังมีดินแดนในปกครองที่ไม่รวมอยู่ในราชอาณาจักรอีกหลายแห่ง ได้แก่ หมู่เกาะสฟาลบาร์ (Svalbard) และเกาะยานไมเอน (Jan Mayen) ในดินแดนอาร์กติก เกาะบูเว (Bouvet) ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแอตแลนติกและเกาะปีเตอร์ที่ ๑ (Peter I) ทางตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งการอ้างสิทธิในควีนมอดแลนด์ (Queen Maud Land) ในทวีปแอนตาร์กติกด้วย มีประชากรจำนวน ๔,๖๔๔,๔๕๗ คน ( ค.ศ. ๒๐๐๘) ส่วนใหญ่เป็นพวกนอร์ดิก (Nordic) และประมาณร้อยละ ๘ เป็นผู้อพยพ กลุ่มผู้อพยพกลุ่มใหญ่ ได้แก่ ชาวปากีสถาน สวีเดน เดนมาร์ก อิรัก เวียดนาม และโซมาลี (Somali) ภาษาราชการ ได้แก่ ภาษานอร์เวย์ซึ่งแยกเป็นภาษาแร็กมอล (Rakmål) และนีนอสก์ (Nynorsk) ซึ่งใช้พูดและเขียนกันในราชการโรงเรียน ศาสนา วิทยุและโทรทัศน์ ภาษาแร็กมอลมีผู้นิยมใช้มากกว่า นอกจากนี้ยังมีภาษาในตระกูลซามี (Sami) ภาษาเยอรมัน และภาษาฟินโน-จูกริก (Finno- Ugric) ที่นิยมพูดในบางท้องถิ่น ชาวนอร์เวย์ร้อยละ ๘๕.๗ นับถือคริสต์ศาสนานิกายอิแวนเจลิกลูเทอรันแห่งนอร์เวย์ (Evangelic Lutheran of Norway) ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ ร้อยละ ๔.๔ นับถือนิกายอิสระอิแวนเจลิกลูเทอรัน (Evangelic Lutheran of Free Church) นิกายโรมันคาทอลิก และคริสต์ศาสนานิกายอื่น ๆ อีกร้อยละ ๑.๘ นับถือศาสนาอิสลาม และที่เหลือร้อยละ ๘.๑ นับถือศาสนานิกายอื่นๆ
หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่านอร์เวย์เป็นดินแดนที่มีผู้คนอาศัยแล้วตั้งแต่ ๑๒,๐๐๐ ปีเป็นอย่างน้อย โดยชนเหล่านี้ยังชีพด้วยการล่าสัตว์และจับปลาและมีวัฒนธรรมของมนุษย์ในยุคหินเก่าที่สืบทอดมาจากยุโรปตอนกลางและยุโรปตะวันตก สันนิษฐานว่าบรรพบุรุษดั้งเดิมของชาวนอร์เวย์คงเดินทางอพยพมา จากตอนเหนือของเยอรมนีโดยผ่านชายฝั่งทะเลนอร์เวย์ต่อมาในราว ๕,๐๐๐-๖,๐๐๐ ปีที่แล้วได้เกิดชุมชนเกษตรขึ้น มีการค้นพบเนินฝังศพขนาดใหญ่ที่มีอายุในยุคสัมฤทธิ์ (Bronze Age ประมาณ ๑,๕๐๐-๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช) ที่แสดงให้เห็นถึงการจัดระเบียบสังคมในยุคแรก ๆ ของนอร์เวย์ ในสมัยจักรวรรดิโรมันได้มีการติดต่อกับดินแดนทางตอนใต้ที่เจริญกว่าและมีการรับภาษาเขียนในรูปของอักษรรูน (runic letters) หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลายลงใน ค.ศ. ๔๗๖ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๙ นอร์เวย์มีการปกครองแยกเป็นเผ่าหรือกลุ่มต่าง ๆ ต่อมาได้พัฒนาเป็นอาณาจักรเล็กอาณาจักรน้อยประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๙ มีด้วยกัน ๒๙ อาณาจักร (fylker) ใน ค.ศ. ๘๗๒ พระเจ้าฮารัลด์พระเกศาสีอ่อน (Harald the Fairhaired) แห่งอาณาจักรเวสต์โฟลด์ (Vestfold) ทรงทำสงครามปราบปรามอาณาจักรต่าง ๆ และรวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันทรง เป็นต้นราชวงศ์อีงลิง (Yngling) ที่ปกครองราชอาณาจักรนอร์เวย์ แต่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของอาณาจักรก็เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ หลังจากพระเจ้าฮารัลด์สวรรคตใน ค.ศ. ๙๓๓? อาณาจักรก็ถูกแบ่งให้บรรดาพระราชโอรส ต่อมาได้เกิดสงครามแย่งชิงอาณาจักรกันระหว่างพระราชวงศ์สายต่าง ๆ อยู่เนือง ๆ รวมทั้งการต่อต้านของขุนนางหรือหัวหน้าเผ่าอื่น ๆ ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์อีกต่อไป ส่วนพวกเดนและสวีเดนก็พยายามเข้ายึดครองดินแดนนอร์เวย์
ในช่วงระยะเวลาเดียวกันนี้ซึ่งจัดอยู่ในสมัยไวกิ้ง (Viking Age) พวกไวกิ้งในนอร์เวย์ (ไวกิ้งเป็นชื่อเรียกรวมพวกที่อาศัยในคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะพวกสวีเดนและนอร์เวย์ที่ เข้ารุกรานดินแดนต่าง ๆ ในยุโรประหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๑) ก็เดินทางออกแสวงโชคและปล้นสะดมและตั้งถิ่นฐานในไอซ์แลนด์หมู่เกาะแฟโร (Faroe) กรีนแลนด์และบางส่วนของหมู่เกาะอังกฤษ [เมืองดับลิน (Dublin) คอร์ก (Cork) ลิเมอริก (Limerick) และวอเตอร์ฟอร์ด (Waterford) ในไอร์แลนด์ล้วนเป็นเมืองที่พวกไวกิ้งจากนอร์เวย์เป็นผู้จัดตั้งทั้งสิ้น] รวมทั้งนอร์มองดี (Normandy) ในฝรั่งเศสด้วย พวกไวกิ้งจากนอร์เวย์เป็นนักเดินเรือที่มีความสามารถ ในนิยายซากา (saga) ของพวกเขาที่เล่าปากต่อปากกันถึงเลฟ เอริกสัน (Leif Eriksson) ชาวไวกิ้งจากนอร์เวย์เดินทางจากทะเลเหนือจนค้นพบทวีปอเมริกา ซึ่งเขาเรียกว่า "Wineland the Good" ซึ่งสันนิษฐานว่า เกิดขึ้นใน ค.ศ. ๑๐๐๑ หรือเกือบ ๕๐๐ ปีก่อนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) ชาวเจนัวจะเดินทางไปค้นพบทวีปอเมริกาใน ค.ศ. ๑๔๙๒ ขณะเดียวกันในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ พระเจ้าโอลาฟที่ ๒ [Olaf II ค.ศ. ๑๐๑๖-๑๐๓๐ หรือโอลาฟ ฮารัลด์สัน (Olaf Haraldsson) เชื้อสายพระเจ้าฮารัลด์ พระเกศาสีอ่อนก็สามารถรวมราชอาณาจักรนอร์เวย์ทั้งหมดเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง ทรงจัดให้มีการเปลี่ยนลัทธิความเชื่อจากการนับถือผีและเทวดาเป็นคริสต์ศาสนาที่พระเจ้าโอลาฟที่ ๑ ( ค.ศ. ๙๙๕-๑๐๐๐) ทรงนำเข้ามาเผยแผในรัชสมัยของพระองค์ พระเจ้าโอลาฟที่ ๒ โปรดให้มีการสร้างวัดตามคำแนะนำของบิชอปกริมเคลล์ (Grimkell) ชาวแองโกล-แซกซัน (Anglo-Saxon) จากอังกฤษและร่างกฎหมายวัดขึ้น ซึ่งพวกเสรีชนเจ้าที่ดิน (Yeomen) ได้ให้สัตยาบันในสมัชชา (assembly หรือ the thing) นอกจากนี้ยังมีการประดิษฐ์ตัวอักษร (calligraphy) และวิธีการเขียนโดยอิงแบบของพวกแองโกล-แซกซันอีกด้วย ต่อมา พระเจ้าโอลาฟที่ ๒ ทรงถูกพระเจ้าคนุตมหาราช (Canute the Great ค.ศ. ๑๐๑๘-๑๐๓๕) แห่งอังกฤษและเดนมาร์กซึ่งร่วมมือกับขุนนางขับพระองค์ออกจากบัลลังก์จนต้องเสด็จหนีไปยังรัสเซียชั่วระยะเวลาหนึ่งระหว่างทางที่ เสด็จกลับ กองทัพของพระเจ้าโอลาฟที่ ๒ ปะทะกับกองทัพของพระเจ้าคนุตมหาราชที่สติเกิลสตา (Stiklestad ค.ศ. ๑๐๓๐) แม้พระเจ้าโอลาฟที่ ๒ จะทรง พ่ายแพ้และสวรรคต แต่รายงานเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นหลังการยุทธก็ทำให้พระองค์ได้รับการยกย่องเป็นนักบุญและนับเป็นนักบุญในคริสต์ศาสนาพระองค์แรกของนอร์เวย์ด้วย มีศาสนิกชนจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกนอร์เวย์เคารพบูชา ทั้งยังทรงได้รับการสรรเสริญว่าเป็น "ผู้มอบกฎหมาย" ให้แก่ทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร ซึ่งต่างก็เป็นสถาบันที่เข้มแข็งในการสถาปนาสันติภาพและระเบียบวินัยในสังคมนอร์เวย์ขณะนั้น
แม้ว่านอร์เวย์จะเสียอิสรภาพและต้องรวมตัวกับอังกฤษและเดนมาร์กภายใต้การปกครองของพระเจ้าคนุตมหาราช แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาอันสั้น หลังพระเจ้าคนุตมหาราชสวรรคตใน ค.ศ. ๑๐๓๕ จักรวรรดิของพระองค์ก็ล่มสลายลง เชื้อสายของพระเจ้าฮารัลด์พระเกศาสีอ่อนชาวนอร์เวย์ได้ทรงปกครองนอร์เวย์ต่อมาจนถึง ค.ศ. ๑๓๑๙ จนสิ้นรัชทายาทชาย ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑-๑๔ ซึ่งอยู่ในสมัยกลางยุครุ่งโรจน์ (High Middle Ages) นั้น แม้นอร์เวย์จะประสบกับความขัดแย้งภายในและสงครามกลางเมืองแต่ก็มีประสบการณ์เช่นเดียวกับนานาประเทศในยุโรป กล่าวคือ จำนวนประชากรได้เพิ่มมากขึ้นและเกิดเมืองใหม่ ๆ สถาบันกษัตริย์และองค์กรคริสต์ศาสนาสามารถขยายอำนาจเข้าควบคุมเขตปกครองต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกัน อำนาจของกษัตริย์ก็เพิ่มพูนมากขึ้นจนในที่สุดมีอำนาจเหนือทั้งคริสตจักรและพวกขุนนางบทบาทของพวกขุนนางเก่าถูกแทนที่ด้วยขุนนางรับราชการ ส่วนในด้านสังคมสถานภาพของชาวนาเปลี่ยนแปลงจากเจ้าของที่ดินเป็นผู้เช่าที่ดิน แต่มีสิทธิในการเช่าตลอดชีพและยังมีสถานภาพทางสังคมสูงกว่าชาวนาในดินแดนยุโรปอื่น ๆ ที่ในขณะนั้นส่วนใหญ่เป็นพวกทาสติดที่ดิน (serf) ส่วนระบบทาสที่เกิดขึ้นในสมัยไวกิ้งก็ค่อย ๆ สูญหายไป ในช่วงระยะเวลานี้ศูนย์กลางของนอร์เวย์ได้ย้ายจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปยังดินแดนรอบ ๆ ออสโลฟยอร์ด (Oslofjord) ในรัชกาลพระเจ้าฮากอนที่ ๕ (Haakon V ค.ศ. ๑๒๙๙-๑๓๑๙) กรุงออสโลได้กลายเป็นนครหลวงของนอร์เวย์ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นเพียงเมืองขนาดเล็กที่ไม่มีความสำคัญ
เมื่อพระเจ้าฮากอนที่ ๕ สวรรคตใน ค.ศ. ๑๓๑๙ โดยปราศจากรัชทายาทชาย ราชบัลลังก์นอร์เวย์ตก เป็นของสายพระราชธิดา ซึ่งพระเจ้าแมกนัสหรือมองนุสที่ ๒ (Magnus II) แห่งสวีเดนพระราชนัดดา (หลานตา) ของพระเจ้าฮากอนที่ ๕ ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์นอร์เวย์ นอกจากนี้ สายสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์นอร์เวย์กับสวีเดนและเดนมาร์กที่เกิดจากการอภิเษกสมรสในเวลาต่อมาทำให้ราชอาณาจักรทั้งสามดังกล่าวรวมอยู่ในสหภาพแห่งคาลมาร์ (Union of the Kalmar) ใน ค.ศ. ๑๓๙๗ จนถึง ค.ศ. ๑๕๒๓ เมื่อสวีเดนประสบความสำเร็จในการแยกตัว ส่วนนอร์เวย์ยังคงรวมตัวกับเดนมาร์กต่อไปอีกเกือบ ๓๐๐ ปีจนถึง ค.ศ. ๑๘๑๔ เมื่อเกิดการจัดระเบียบใหม่ในยุโรปหลังสงครามนโปเลียนสิ้นสุดลง
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ นอร์เวย์ยังประสบกับการระบาดของกาฬโรคที่เรียกว่า "ความตายสีดำ" (Black Death ค.ศ. ๑๓๔๙-๑๓๕๐) ที่คร่าชีวิตของชาว นอร์เวย์มากกว่าครึ่งหนึ่งหรืออาจถึง ๒ ใน ๓ ของประชากรทั้งหมด และเป็นต้นเหตุของการเสื่อมถอยทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของนอร์เวย์ พวกขุนนางต่าง แสวงหารายได้เพิ่มขึ้นจากที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ (พร้อมชาวนา) รวมทั้งฟิฟ [fief ที่ดินในระบอบการปกครองแบบฟิวดัล (feudalism)] โดยไม่คำนึงเฉพาะดินแดนในนอร์เวย์เท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีการรวมตัวเข้ากับเดนมาร์กและสวีเดนในปลายศตวรรษ พวกขุนนางจึงไม่คิดที่จะต่อต้าน เพราะคิดว่าจะสามารถแสวงหาผลประโยชน์ได้มากขึ้น
อย่างไรก็ดี การรวมตัวในสหภาพคาลมาร์มิได้ก่อให้เกิดประโยชน์แก่นอร์เวย์ อำนาจทางการเมืองภายในของนอร์เวย์ถูกลิดรอนโดยเดนมาร์กซึ่งในขณะนั้นเป็นชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนนอร์ดิก (Nordicland) ได้แต่งตั้งขุนนางเดนและเยอรมันมาดำรงตำแหน่งสูงสุดในการปกครอง ส่วนพวกขุนนางเชื้อสายนอร์เวย์ก็ลดจำนวนลงรวมทั้งบทบาทที่เคยมีในระยะเวลาอันยาวนาน นอกจากนี้ กองเรือของนอร์เวย์ก็ตกอยู่ในสภาพเสื่อมถอย และภาษาเขียนของเดนมาร์กก็ถูกนำมาใช้แทนภาษาเขียนของนอร์เวย์ ใน ค.ศ. ๑๕๓๙ พระเจ้าคริสเตียนที่ ๓ (Christian III ค.ศ. ๑๕๓๔๑๕๕๙) แห่งเดนมาร์กทรงแถลงต่อขุนนางเดนว่า นอร์เวย์มีสถานะเป็นรัฐที่อยู่ใต้บังคับของกษัตริย์แห่งเดนมาร์กเช่นเดียวกับดินแดนต่าง ๆ ในราชอาณาจักรเดนมาร์ก ดังนั้น สภาแห่งชาติ (Council of the Realm) ของนอร์เวย์ต้องถูกยุบลงและวัดในนอร์เวย์ไม่มีอำนาจปกครองตนเองต่อไป อีกทั้งขุนนางเดนสามารถครองตำแหน่งเจ้าหน้าที่ด้านกฎหมายต่าง ๆ ในนอร์เวย์ได้ นอกจากนี้ ยังสามารถแสวงหารายได้ในนอร์เวย์ได้อย่างอิสระอีกด้วย คำแถลงดังกล่าวจึงมีผลให้นอร์เวย์สูญเสียเอกราชอย่างแท้จริงต่อมาใน ค.ศ. ๑๕๓๗ ขณะที่เหตุการณ์การปฏิรูปศาสนา (Reformation) กำลังดำเนินอยู่ เดนมาร์กก็เห็นเป็นโอกาสออกประกาศพระราชกฤษฎีกาบังคับให้พวกคาทอลิกในนอร์เวย์หันมานับถือคริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ และเข้ายึดทรัพย์สินของวัดและอารามของนิกายคาทอลิก อีกทั้งยังแต่งตั้งนักเทศน์ (pastor) โปรเตสแตนต์ให้ทำหน้าที่สอนศาสนาแทนนักบวช การเปลี่ยนแปลงนิกายศาสนาดังกล่าวนี้นับว่ามีผลกระทบอย่างยิ่งต่อสังคมนอร์เวย์ เพราะทำให้ผู้แสวงบุญคาทอลิกจากส่วนต่าง ๆ ของยุโรปจำนวนมากที่เคยเดินทางมายังนอร์เวย์เพื่อสักการะอัฐิของนักบุญโอลาฟหรืออดีตพระเจ้าโอลาฟที่ ๒ ที่โบสถ์นีดาโรส (Nidaros) ต้องยุติการเดินทาง นอร์เวย์จึงถูกตัดขาดทางด้านวัฒนธรรมและเศรษฐกิจจากส่วนอื่น ๆ ของยุโรปด้วย นอกจากนี้ การรวมตัวกับเดนมาร์กยังทำให้นอร์เวย์ต้องเข้าสู่สงครามกับสวีเดนและมหาอำนาจบอลติกอื่น ๆ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ซึ่งมีผลให้นอร์เวย์ต้องสูญเสียดินแดนของตนให้แก่สวีเดนคือมณฑลเกมต์แลนด์ (Gemtland) และเฮร์เยเดเลิน (Herjedelen) ใน ค.ศ. ๑๖๔๕ บาฮุสเลิน (Bahuslen) และทรอนด์เฮมใน ค.ศ. ๑๖๕๘ (อีก ๒ ปีต่อมาได้ ทรอนด์เฮมคืน) ส่วนพลเมืองนอร์เวย์ก็ลดจำนวนลงเหลือเพียง ๔๕๐,๐๐๐ คน
เมื่อเกิดสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars)* ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียได้ดำเนินนโยบายเป็นกลางในระยะแรก และนอร์เวย์ได้รับประโยชน์เป็นอันมากในการเดินเรือค้าขายกับคู่สงคราม ขณะเดียวกันก็เกิดกระแสชาตินิยมขึ้น โดยมีการเรียกร้องการจัดตั้งธนาคารแห่งชาติเพื่อความสะดวกในการทำธุรกรรมและเป็นอิสระจากการควบคุมทางด้านการเงินจากเดนมาร์กและ การจัดตั้งมหาวิทยาลัยของตนเองขึ้น แต่ถูกเดนมาร์กปฏิเสธ ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๘๐๗ อังกฤษซึ่งมีจอร์จ แคนนิง (George Canning)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้วางแผนเพื่อยั่วยุให้เดนมาร์ก-นอร์เวย์เข้าสู่สงคราม โดยส่งเรือรบอังกฤษไปโจมตีกองเรือของ เดนมาร์กจนต้องประกาศสงครามและร่วมเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส หลังจากนั้นอังกฤษได้ดำเนินแผนแยกนอร์เวย์ให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวทั้งจากเดนมาร์กและตลาดการค้า เรือขนส่งท่อนซุงของนอร์เวย์ต้องหยุดชะงักลงอีกทั้งชาวนอร์เวย์ต้องเผชิญกับทุพภิกขภัยและความอดอยากไปทั่วทั้งประเทศ ส่วนในด้านการเมืองการปกครอง เดนมาร์กซึ่งไม่สามารถจะบริหารนอร์เวย์โดยตรงจากกรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) ดังที่ปฏิบัติกันก็ได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการการปกครองซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่อาวุโสขึ้นมาทำหน้าที่แทน อีกทั้งพระเจ้า เฟรเดอริกที่ ๖ (Frederick VI ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๓๙) ยังทรงโอนอ่อนต่อข้อเรียกร้องของชาวนอร์เวย์ โดยพระราชทานอนุญาตให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นได้ ใน ค.ศ. ๑๘๑๑ นับเป็นการจุดประกายความหวังให้นอร์เวย์ที่จะสืบสานวัฒนธรรมของตนเองและมีเอกราชในการปกครองประเทศ
ในยุทธการที่ไลพ์ซิก (Battle of Leipzig) ใน ค.ศ. ๑๘๑๓ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕)* ทรงพ่ายแพ้อย่างยับเยิน คู่สงครามที่สำคัญประเทศหนึ่ง ได้แก่ สวีเดนซึ่งเพิ่งสูญเสียฟินแลนด์ให้แก่รัสเซียจึงต้องการได้นอร์เวย์เป็นสิ่งชดเชยและเพื่อเป็นรัฐหน้าด่านทางพรมแดนตะวันตก ในเวลาอันรวดเร็วฝ่ายพันธมิตรก็บีบให้พระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๖ ทรงลงนามในสนธิสัญญาคีล (Treaty of Kiel) ยกเลิกระบอบราชาธิปไตยร่วมระหว่างเดนมาร์กกับนอร์เวย์และยกนอร์เวย์ให้แก่สวีเดน แต่เดนมาร์กยังคงครอบครองไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ และหมู่เกาะแฟโรต่อไปกระนั้นก็นับว่าเป็นการยุติความสัมพันธ์และบทบาทของเดนมาร์กที่ปกครองนอร์เวย์เป็นระยะเวลา ๔๑๘ ปี นับตั้งแต่การจัดตั้งสหภาพแห่งคาลมาร์ใน ค.ศ. ๑๓๙๖
อย่างไรก็ดี เดนมาร์กก็พยายามยับยั้งการรวมตัวของนอร์เวย์กับสวีเดน โดยเจ้าชายคริสเตียน เฟรเดอริก (Christian Frederick) ซึ่งทรงเป็นพระภาติยะในพระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๖ และอุปราชแห่งนอร์เวย์ได้ผลักดันให้ผู้แทนของกลุ่มสังคมและการเมืองต่าง ๆ ไปประชุมกันที่เมืองเอดส์วอลล์ (Eidsvoll) ประมาณ ๗๐ กิโลเมตรทางตอนเหนือของกรุงออสโลเมื่อ
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๑๔ เพื่อรับรองรัฐธรรมนูญและประกาศเอกราช ที่ ประชุมได้ตกลงเลือกเจ้าชายคริสเตียน เฟรเดอริกเป็นกษัตริย์ของประเทศที่จัดตั้งขึ้นใหม่ด้วย (ปัจจุบันชาวนอร์เวย์ยังฉลองวันชาติในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม) สวีเดนจึงตอบโต้ด้วยการเคลื่อนทัพเข้าไปในนอร์เวย์ ในเดือนสิงหาคมได้มีการเจรจาสงบศึกกัน ณ เมืองมอสส์ (Moss) โดยสวีเดนยอมรับรัฐธรรมนูญฉบับเมือง เอดส์วอลล์และการรวมตัวกันอย่างหลวม ๆ ระหว่างนอร์เวย์กับสวีเดนซึ่งเป็นเงื่อนไขที่พระเจ้าคริสเตียน เฟรเดอริกทรงกำหนดไว้ หลังจากการเจรจาสงบศึกยุติลง พระเจ้าคริสเตียน เฟรเดอริกก็ทรงสละราชย์ ต่อมาในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๑๔ รัฐสภานอร์เวย์ก็ดำเนินการเลือกพระเจ้าชาลส์ที่ ๑๓ (Charles XIII ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๑๘) กษัตริย์แห่งสวีเดนเป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์โดยสวีเดนแต่งตั้งขุนนางเป็นข้าหลวงใหญ่หรือในกรณีที่เป็นมกุฎราชกุมารก็ให้เป็นอุปราชเพื่อเป็นตัวแทนของรัฐบาลสวีเดนในการกำกับดูแลการปกครองในนอร์เวย์
การรวมตัวของนอร์เวย์กับสวีเดนเป็นการสวนกระแสชาตินิยมที่แพร่หลายไปทั่วยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และได้รับการต่อต้านจากชาวนอร์เวย์โดยทั่วไป มีการเรียกร้องสิทธิให้นอร์เวย์สามารถดำเนินการเกี่ยวกับการทูตได้เอง โดยไม่ต้องรับคำสั่งจากกรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) มีสถานภาพเท่าเทียมกันในสหภาพ และนอร์เวย์สามารถใช้ธงพาณิชย์ของตนเอง นอกจากนี้รัฐสภานอร์เวย์ยังมีความขัดแย้งกับสถาบันกษัตริย์อยู่เนือง ๆ ด้วย โดยเฉพาะประเด็นที่เป็นหลักการของรัฐธรรมนูญโดยทั่วไปที่ให้อำนาจรัฐสภาในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้และการดำรงอยู่ของคณะรัฐบาลก็ต้องขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐสภา ได้มีการผ่านร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน ค.ศ. ๑๘๗๔, ค.ศ. ๑๘๗๙ และ ค.ศ. ๑๘๘๐ แต่ถูกกษัตริย์สวีเดนปฏิเสธที่จะให้ความเห็นชอบ ความขัดแย้งที่ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการดำรงสถานภาพของสหภาพมีมากยิ่งขึ้นเมื่อสวีเดน เรียกร้องให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหภาพต้องเป็นชาวสวีเดนเท่านั้น ส่วนนอร์เวย์ก็ต้องการมีสถานกงสุลของตนเอง ซึ่งเท่ากับเรียกร้อง อำนาจอธิปไตยในระดับหนึ่งแต่กำลังทหารที่เหนือกว่าของสวีเดนทำให้ข้อเรียกร้องของนอร์เวย์ต้องตกไปขณะเดียวกันในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นอร์เวย์ได้พยายามเสริมสร้างกำลังกองทัพของตนให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ประเด็นการจัดตั้งสถานกงสุลได้กลายเป็นชนวนเหตุของการแตกแยกระหว่างนอร์เวย์กับสวีเดนในวันที่ ๗ มิถุนายน รัฐบาลนอร์เวย์ที่มีนายกรัฐมนตรี คริสเตียน มิกเกลเซิน (Christian Michelsen) เป็นผู้นำได้ยกอำนาจบริหารของตนให้แก่รัฐสภาในการตัดสินปัญหาเรื่องสถานกงสุล แต่รัฐสภานอร์เวย์ให้รัฐบาลดำเนินการต่อไปชั่วคราวตามกฎหมายรัฐธรรมนูญและให้ยกเลิกการรวมตัวของนอร์เวย์กับสวีเดนโดยมีกษัตริย์ร่วมกัน สวีเดนได้เรียกร้องให้มีการลงประชามติเพื่อให้ ชาวนอร์เวย์เลือกว่าจะอยู่กับสวีเดนต่อไปหรือไม่ ผลของการลงประชามติในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๐๕ ปรากฏว่าชาวนอร์เวย์จำนวน ๓๖๘,๓๙๒ คนปฏิเสธ และมีเพียง ๑๘๔ คนเท่านั้นที่ต้องการให้นอร์เวย์รวมตัวกับสวีเดนต่อไป
ในการสถาปนาราชอาณาจักรนอร์เวย์รัฐสภา นอร์เวย์ได้ลงมติเลือกเจ้าชายคริสเตียน เฟรเดอริก คาร์ล เกออร์ก วาลเดอมาร์ อากเซล (Christian Frederik Carl Georg Valdemar Axel) จากราชวงศ์ออลเดนบูร์ก (Oldenburg) แห่งเดนมาร์ก หรือเรียกขานกันทั่วไปว่าเจ้าชายคาร์ลให้เสด็จมาเป็นกษัตริย์ของนอร์เวย์ทรงตอบรับแต่ตั้งเงื่อนไขว่าจะต้องให้ชาวนอร์เวย์ลงประชามติเห็นชอบกับการเสด็จขึ้นครองราชสมบัตินอร์เวย์ก่อน ในวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๐๕ ชาว นอร์เวย์ร้อยละ ๘๐ ลงคะแนนเสียงเห็นชอบให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งนอร์เวย์ ต่อมาในวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน รัฐสภานอร์เวย์ก็ลงมติเป็นเอกฉันท์เลือกพระองค์เป็นกษัตริย์ เจ้าชายคาร์ลแห่งเดนมาร์กทรงประกอบพระ ราชพิธีบรมราชาภิเษก ณ วิหารทรอนด์เฮมเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๐๖ เฉลิมพระนามพระเจ้าฮากอนที่ ๗ (Haakon VII ค.ศ. ๑๙๐๕-๑๙๕๗)*
หลังแยกตัวจากสวีเดน เศรษฐกิจของนอร์เวย์ก็เติบโตขึ้นเป็นลำดับ โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๔ ต่อปีติดต่อกันจนถึง ค.ศ. ๑๙๑๔ เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ (First World War)* การปฏิวัติอุตสาหกรรมระลอกสองในนอร์เวย์ทำให้อัตราการว่างงานลดจำนวนลง มีการลงทุนของต่างชาติในอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ ของประเทศและการนำไฟฟ้าพลังน้ำ (hydro-electricity) มาใช้นอกจากนี้ยังมีการทำอุตสาหกรรมประเภทเคมีไฟฟ้า (Electrochemical) และโลหะไฟฟ้า (Electrometallurgical) ขึ้นเป็นครั้งแรก ในทศวรรษ ๑๙๑๐ สังคมเกษตรของนอร์เวย์เริ่มเปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรม จำนวนของแรงงานร้อยละ ๔๒ ที่ทำงานในภาคเกษตรกรรมเริ่มลดลงเหลือร้อยละ ๓๗ ใน ค.ศ. ๑๙๒๐ และลดลงเป็นลำดับจนในปัจจุบันมีประมาณร้อยละ ๖ เท่านั้น
ส่วนในเรื่องการต่างประเทศซึ่งเป็นประเด็นสำคัญของความขัดแย้งกับสวีเดนนั้น นอร์เวย์ได้สร้างเครือข่ายสถานทูตและสถานกงสุลขึ้นในนานาประเทศแต่ขณะเดียวกันก็ดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างระมัดระวัง โดยยึดหลักความเป็นกลางและไม่ผูกพันกับประเทศใดด้วยการทำสนธิสัญญาพันธมิตรที่จะนำ ประเทศเข้าไปพัวพันกับสงคราม นโยบายเป็นกลางดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนเป็นอย่างยิ่งส่วนภายในประเทศ สตรีนอร์เวย์ได้รับสิทธิในการออก เสียงเลือกตั้งใน ค.ศ. ๑๙๑๓ (ผู้ชายได้รับสิทธิใน ค.ศ. ๑๘๙๘) นับว่าเร็วกว่าประเทศตะวันตกอื่นๆ
ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ นอร์เวย์ดำเนินนโยบายเป็นกลาง แต่ในขณะเดียวกันรัฐบาลนอร์เวย์ก็ถูกแรงกดดันจากอังกฤษและการต่อต้านเยอรมนีของประชาชน ภายในประเทศให้ร่วมมือกับฝ่ายสัมพันธมิตร เรือสินค้านอร์เวย์ส่งเสบียงจำนวนมากให้แก่อังกฤษและได้รับถ่านหินเป็นเครื่องตอบแทน การติดต่อกับฝ่ายสัมพันธมิตรดังกล่าวทำให้เรือสินค้าของนอร์เวย์ถูกเรืออู (U-boat) ของฝ่ายเยอรมนีโจมตีและสูญหาย รวมทั้งชีวิตของทหารเรืออีกประมาณ ๒,๐๐๐ คน อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายเป็นกลางที่ถูกเรียกว่า "พันธมิตรเป็นกลาง" (Neutral Ally) และการค้าขายในยามสงครามของนอร์เวย์ทำให้สถานะทางการเงินของประเทศมั่นคงขึ้นอย่างมาก จนทำให้ชาวนอร์เวย์สามารถซื้อทรัพย์สินรวมทั้งบริษัทสำคัญ ๆ ที่ตกอยู่ในมือของต่างชาติ เช่นบอร์เรการ์ (Borregaard) เหมืองถ่านหินที่สปิตส์เบอร์เกิน (Spitsbergen) สฟาลบาร์ และอื่นๆ
ใน ค.ศ. ๑๙๒๐ นอร์เวย์ได้ยกเลิกนโยบายโดดเดี่ยวและเข้าร่วมเป็นสมาชิกสันนิบาตชาติ (League of Nations)* อีกทั้งยังให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศนอร์ดิก แต่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลกที่เริ่มปรากฏให้เห็นในปลายทศวรรษ ๑๙๒๐ เป็นต้นมา ทำให้การค้าและการขนส่งสินค้าทางเรือของนอร์เวย์ตกอยู่ในสภาพย่ำ แย่ธนาคารจำนวนมากล้มละลาย ค่าเงินโครน (krone) ลดลงและเงินตราต่างประเทศขาดแคลนก่อให้เกิดผลกระทบต่อสังคมมาก พวกคนงานซึ่งได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติสังคมนิยมที่เกิดขึ้นในรัสเซียได้ก่อการประท้วง แต่ใน ค.ศ. ๑๙๓๒ วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจก็เริ่มคลี่คลาย และระหว่าง ค.ศ. ๑๙๓๕-๑๙๓๙ รายรับของประเทศก็เพิ่มสูงขึ้นและมีมากกว่า ๑,๔๐๐ ล้านโครน
ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ (Second World War)* นอร์เวย์พยายามดำเนินนโยบายเป็นกลางเช่นเดียวกับในสงครามโลกครั้งที่ ๑ แต่สภาพที่ตั้งที่ เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในทะเลเหนือทำให้เยอรมนีบุกเข้าโจมตีนอร์เวย์ในรุ่งเช้าของวันที่ ๙ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๐ ตามแผนปฏิบัติการเวเซรือบุง (Operation Weserubüng) ก่อให้เกิดยุทธการที่นอร์เวย์ (Battle of Norway)* ขึ้น กอง กำลังเยอรมันได้โจมตีกรุงออสโลและเมืองท่าสำคัญ ๆ และสามารถเข้ายึดที่มั่นได้ในเวลาอันรวดเร็ว อย่างไรก็ดี กองทัพนอร์เวย์ก็ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ โดยมีกำลังของอังกฤษ ฝรั่งเศส และโปแลนด์ให้การสนับสนุนนอร์เวย์สามารถต่อต้านการรุกรานของเยอรมนีเป็นเวลาเกือบ ๒ เดือน นับว่ายาวนานที่สุด (ยกเว้นในรัสเซีย) ในการยกกองกำลังเข้ายึดครองประเทศที่ตกเป็นเป้าหมายของกองทัพเยอรมัน ในวันที่ ๗ มิถุนายน นอร์เวย์ซึ่งมีกำลังน้อยกว่าและขาดการสนับสนุนทางอากาศยานจำต้องประกาศยอมแพ้ พระเจ้าฮากอนที่ ๗ และสมเด็จพระราชินีมอด (Maud) พระราชธิดาองค์สุดท้องของ พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๗ (Edward VII ค.ศ. ๑๙๐๑-๑๙๑๐)* แห่งอังกฤษจึงเสด็จหนีออกจากนอร์เวย์พร้อมด้วย คณะรัฐบาลไปยังอังกฤษและจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น
ขณะเดียวกันวิดคุน อับราฮัม เลาริตซ์ จอห์นสัน ควิสลิง (Vidkun Abraham Lauritz Johnson Quisling) นักการเมืองนอร์เวย์ผู้ฝักใฝ่ลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)* และชื่นชมในอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)* ผู้นำของ เยอรมันนาซี ก็ได้ยึดอำนาจปกครอง แต่ถูกประชาชนต่อต้านจนกองทัพเยอรมนีต้องปลดเขาออกจากตำแหน่งผู้นำ อย่างไรก็ดี ใน ค.ศ. ๑๙๔๒ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้ารัฐบาลหุ่นเรียกว่า "ประธานรัฐมนตรี" (minister president) ของเยอรมนีในนอร์เวย์ ควิสลิงดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งกองกำลังเยอรมันในนอร์เวย์ซึ่งมี จำนวนประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ คน (ขณะนั้นประชากรนอร์เวย์มีประมาณ ๔ ล้านคน) ยอมแพ้แก่ฝ่ายพันธมิตร ใน ค.ศ. ๑๙๔๕ เขาถูกจับดำเนินคดีในข้อหาทรยศต่อชาติและถูกประหารชีวิต และชื่อสกุล "ควิสลิง" ของเขาก็กลายเป็นคำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่หมายถึงผู้ทรยศหรือนักการเมืองที่สนับสนุนผู้รุกรานประเทศของตน
ตลอดระยะเวลา ๕ ปีที่เยอรมนีเข้ายึดครองประเทศนั้น ชาวนอร์เวย์จัดตั้งขบวนการต่อต้านเยอรมนีอย่างแข็งขันและร่วมเคลื่อนไหวต่อสู้กับกองกำลังเยอรมันทั้งด้วยอาวุธและการขัดขืนของพลเมืองที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของทหารเยอรมัน ทั้งยังได้รับการช่วยเหลือในการปฏิบัติการต่าง ๆ อย่างลับ ๆ จากอังกฤษ นอกจากนี้ เรือพาณิชย์ของนอร์เวย์ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการต่อสู้กับกองกำลังเยอรมัน ในช่วงที่ก่อนเกิดสงครามนั้น นอร์เวย์มีกองกำลังเรือพาณิชย์ใหญ่เป็นอันดับ ๓ ของโลก ทั้งยังเป็นเรือเดินสมุทรที่มีความเร็วสูงที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดในโลกอีกด้วย เมื่อนอร์เวย์ถูกกองทัพเยอรมันเข้ายึดครอง กองเรือพาณิชย์ของนอร์เวย์กว่า ๑,๐๐๐ ลำได้รับคำสั่งและการเกณฑ์จากรัฐบาลพลัดถิ่นของนอร์เวย์ในกรุงลอนดอนให้ขนถ่ายเสบียงอาหาร ยุทโธปกรณ์ และลำเลียงกำลัง รวมทั้งให้ร่วมปฏิบัติการกับฝ่ายพันธมิตรในยุทธนาวีที่มหาสมุทรแอตแลนติก (Battle of the Atlantic)* และการถอนทัพที่ดันเคิร์ค (Evacaution of Dunkirk ค.ศ. ๑๙๔๐)* รวมทั้งการยกพลขึ้นบกที่นอร์มองดี (Normandy) ในปฏิบัติการวันดี-เดย์ (D-Day ๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๔)* ที่ฝ่ายพันธมิตรสามารถปลดปล่อยเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และฝรั่งเศสจากการยึดครองของเยอรมนีได้สำเร็จซึ่งมีผลให้ในเวลาต่อมาฝ่ายพันธมิตรสามารถเผด็จศึกเยอรมนีได้สำเร็จ
หลังสงครามสิ้นสุดลง นอร์เวย์เป็น ๑ ใน ๕๑ ประเทศที่เป็นสมาชิกก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (United Nations)* และทริกฟ์ ลี (Trygve Lie)* ชาวนอร์เวย์ยังได้รับเลือกให้เป็นเลขาธิการคนแรกด้วยนอร์เวย์จัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ พรรคแรงงานเป็นฝ่ายได้รับความนิยมสูงสุดและยังมีชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งต่อ ๆ ไปจนมีอำนาจการบริหารติดต่อกันเป็นเวลา ๒๐ ปี พันธกิจแรกของรัฐบาลแรงงานคือการบูรณะฟื้นฟูประเทศที่ได้รับผลเสียหายจากการทำลายล้างของฝ่ายนาซีเยอรมันและการก่อวินาศกรรมของชาวนอร์เวย์เองที่ต่อต้านการยึดครองของกองทัพเยอรมัน มีการวางแผนการฟื้นฟู เศรษฐกิจของประเทศอย่างเป็นระบบและมีนโยบายให้นอร์เวย์เข้าสู่ตลาดการค้าในระดับนานาชาติ การกระจายรายได้และความมั่งคั่งของประเทศสู่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างทัดเทียมกัน ภายในเวลา ๓ ปีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติก็ไต่ขึ้นสู่ระดับก่อนสงครามใน ค.ศ. ๑๙๔๙ นอร์เวย์ก็ยกเลิกนโยบายอยู่โดดเดี่ยวอย่างเป็นรูปธรรม โดยเข้าร่วมในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization NATO)* ที่เป็นการร่วมมือทางทหารของกลุ่มประเทศพันธมิตรตะวันตกในการป้องกันตนเอง ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๕๖ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภานอร์ดิก (Nordic Council) ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศที่มีเป้าหมายทางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรม มีสวีเดน เดนมาร์กไอซ์แลนด์ และฟินแลนด์เป็นสมาชิก และใน ค.ศ. ๑๙๖๐ ได้เป็น ๑ ใน ๗ สมาชิกก่อตั้งสมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตา (European Free Association - EFTA)* ประกอบด้วยออสเตรีย เดนมาร์ก นอร์เวย์ โปรตุเกสสวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร เพื่อส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจและพัฒนาระบบการค้าโลกที่สอดคล้องและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน
ใน ค.ศ. ๑๙๖๕ พรรคแรงงานได้สูญเสียอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลให้แก่พรรคสายกลาง (Center Party) โดยมีปีเตอร์ บอร์เทน (Peter Borten) เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะเป็นคณะรัฐบาลที่ปราศจากพรรคร่วมที่สังกัดพรรคการเมืองที่มีแนวคิดสังคมนิยม แต่นโยบายเศรษฐกิจก็มิได้มีการเปลี่ยนแปลงและยังคงยึดนโยบายสมภาคนิยม (egalitarianism) และการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ให้แก่ชาวนอร์เวย์อย่างทัดเทียมทุกคน จนนอร์เวย์ได้ชื่อว่าเป็น "สังคมสมภาค" (egalitarian society) มากกว่าชาติตะวันตกอื่นๆ ใน ค.ศ. ๑๙๗๐ นอร์เวย์ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกประชาคมยุโรปหรืออีซี (European Community - EC)* ปัจจุบันคือสหภาพยุโรปหรืออียู (European Union - EU)* ซึ่งก่อให้เกิดการแตกแยกขึ้นในคณะรัฐบาล จนในที่สุดบอร์เทนต้องประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังจากถูกข้อกล่าวหาว่าเปิดเผยข้อมูลลับ เมื่อทริกฟ์ แบรตเทลี (Trygve Bratteli) หัวหน้าพรรคแรงงานได้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เขาได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการสมัครเข้าเป็นสมาชิกประชาคมยุโรปตามพันธสัญญาต่อไป โดยจัดให้มีการลงประชามติใน ค.ศ. ๑๙๗๑ ผลของการลง คะแนนปรากฏว่าประชาชนร้อยละ ๔๗ ให้การสนับสนุนและร้อยละ ๕๓ ปฏิเสธที่ จะให้นอร์เวย์เข้าร่วมเป็นสมาชิกด้วย ทั้งยังทำให้พรรคแรงงานเสื่อมความนิยมลง อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. ๑๙๗๓ พรรคแรงงานสามารถจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยได้อีกและ บริหารต่อไปจนถึง ค.ศ. ๑๙๘๑
นับแต่ปลายทศวรรษ ๑๙๖๐ เศรษฐกิจของนอร์เวย์ได้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วจากการค้นพบแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลเหนือ ทะเลนอร์เวย์และทะเลแบเรนส์ ซึ่งทำให้ในเวลาต่อมานอร์เวย์ซึ่งไม่ใช่กลุ่มประเทศโอเปก (OPEC) ในต้นทศวรรษ ๒๐๐๐ กลายเป็นประเทศส่งออกน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติจำนวนมากเป็นลำดับ ๓ รองจากซาอุดีอาระเบียและรัสเซีย ( ค.ศ. ๒๐๐๖) นำรายได้เข้าประเทศประมาณร้อยละ ๕๐ ของมูลค่าสินค้าส่งออก นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังเป็นประเทศที่มีการประมงขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย การประมงทำรายได้ให้ประเทศมากกว่า ๑๐,๐๐๐ ล้านโครน ปลาที่ทำรายได้สำคัญได้แก่ ปลาเฮร์ริง (herring) ปลาคอด (cod) ปลาแมกเคอเรลบลู (mackerel blue) และอื่น ๆ ทั้งยังมีอุตสาหกรรมการเลี้ยงปลามากกว่า ๑,๐๐๐ แห่ง ปลาสำคัญที่เลี้ยงได้แก่ ปลาแซมอน (salmon) และปลาเทราต์ (trout)
ใน ค.ศ. ๑๙๙๔ นอร์เวย์ได้จัดให้มีการลงประชามติเป็นครั้งที่ ๒ ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรปที่ขยายตัวจากประชาคมยุโรป ผลปรากฏใกล้เคียงกับเดิม คือ ผู้สนับสนุนร้อยละ ๔๗.๕ และผู้คัดค้านร้อยละ ๕๒.๕ อย่างไรก็ดี แม้นอร์เวย์จะไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปโดยตรง แต่ก็ใช้เวทีของเอฟตาในการร่วมมืออย่างใกล้ชิดทางเศรษฐกิจกับสหภาพยุโรปและกับกลุ่มสมาชิกที่ ปัจจุบันเหลือ ๔ ประเทศคือ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ใน ค.ศ. ๑๙๙๔ นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๙๒ นอร์เวย์ได้เข้าร่วมในเขตเศรษฐกิจยุโรปหรืออีอีเอ (European Economic Area - EEA)* ซึ่งมีเงื่อนไขบางประการที่ทำให้สินค้าของนอร์เวย์สามารถส่งขายในตลาดสหภาพยุโรปได้ในระดับหนึ่ง จัดว่านอร์เวย์เป็นประเทศที่ไม่สังกัดสหภาพยุโรปที่นำเข้าและส่งออกสินค้าแก่อียูและประเทศยุโรปอื่น ๆ โดยนอร์เวย์ส่งสินค้าออกของประเทศไปยังอียูเป็นจำนวนร้อยละ ๗๕ และนำเข้าร้อยละ ๖๖
ปัจจุบันนอร์เวย์เป็นประเทศที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงกว่าประเทศยุโรปอื่น ๆ หลายประเทศ และได้รับการจัดลำดับจากองค์การสหประชาชาติให้เป็นประเทศที่มีมาตรฐานการครองชีพสูงที่สุดในโลกด้วยโดยการศึกษาเปรียบเทียบกับระดับการศึกษา รายได้ของประชาชน และเกณฑ์เฉลี่ยอายุขัย นอกจากนี้ ชาว นอร์เวย์ยังมีรายได้เฉลี่ยสูงที่สุดในโลกด้วย กษัตริย์องค์ปัจจุบันทรงพระนามว่า พระเจ้าฮารัลด์ที่ ๕ (Harald V ค.ศ. ๑๙๙๑-) ใน ค.ศ. ๑๙๙๐ รัฐสภานอร์เวย์ได้ มีการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ โดยให้พระราชโอรสหรือพระราชธิดาที่ประสูติเป็นพระองค์แรกมีสิทธิในการสืบราชบังลังก์โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นสิทธิของพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ดังที่ปฏิบัติเป็นประเพณีอีกต่อไป.