สแกนดิเนเวียเป็นชื่อรวมที่ใช้เรียกราชอาณาจักร ๓ แห่งในทวีปยุโรปตอนเหนือ ได้แก่ ราชอาณาจักรนอร์เวย์ (Kingdom of Norway) ราชอาณาจักรสวีเดน (Kingdom of Sweden) ซึ่งดินแดนทั้งสองประกอบกันเป็นคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย (Scandinavian Peninsula) และราชอาณาจักรเดนมาร์ก (Kingdom of Denmark) ซึ่งตั้งอยู่บนกลุ่มเกาะเดนมาร์กและในคาบสมุทรจัตแลนด์ (Jutland) โดยดินแดนทั้งสามดังกล่าวนี้ต่างมีความสัมพันธ์กันอย่าง แนบแน่นทั้งในด้านประวัติศาสตร์ เชื้อชาติ วัฒนธรรม และภาษา แต่ในบางครั้งก็มีการนำสาธารณรัฐไอช์แลนด์เข้ามารวมอยู่ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียด้วยทั้ง ๆ ที่สถานที่ตั้งของไอซ์แลนด์เป็นเกาะขนาดใหญ่และตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทั้งไม่มีพรมแดนติดต่อกันเพราะเกิดจากแนวคิดที่ว่าไอซ์แลนด์เคยตกเป็นของนอร์เวย์และเดนมาร์กเป็นเวลากว่า ๖๐๐ ปี (ได้รับเอกราชจากเดนมาร์กใน ค.ศ. ๑๙๑๘) อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงประเทศทั้งสี่นี้และรวมฟินแลนด์ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเคยเป็นส่วนหนึ่งของสวีเดนระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ -ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ทั้งทำหน้าที่เป็นประเทศที่เป็นประตูผ่าน (gateway) ระหว่างกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียกับรัสเซีย จะเรียกกลุ่มประเทศทั้งห้านี้ว่า “นอร์เดน” (Norden) หรือ “กลุ่มประเทศนอร์ดิก” (Nordic Countries)
สแกนดิเนเวียมีรากศัพท์มาจากคำ “สแกนเนีย” (Scania) ซึ่งเป็นดินแดนทางตอนใต้ของคาบสมุทรสแกนดิเนเวียและดินแดนในเดนมาร์ก และเป็นชื่อที่ปรากฏในงานประพันธ์ของนักเขียนเรืองนามต่าง ๆ ในสมัยโบราณนับตั้งแต่พลินี ดิเอลเดอร์ (Pliny the Elder ค.ศ. ๒๓-๗๙) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในสมัยต้นจักรวรรดิโรมัน คำว่า “สแกนดิเนเวีย” และ “สแกนดิเนเวียน” เริ่มใช้กันอย่างแพร่หลายเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อกล่าวรวมถึงนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก ประชากรที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณนั้นรวมทั้งภาษาและวัฒนธรรมของพวกเขา ชาวสแกนดิเนเวียสืบเชื้อสายมาจากชนเผ่าเยอรมัน (เหนือ) ซึ่งอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในบริเวณทางตอนใต้ของสแกนดิเนเวีย ซึ่งปัจจุบันนี่คือดินแดนทางตอนเหนือของเยอรมนีและพูดภาษาถิ่นของพวกนอร์สแมน (Norsman) หรือนอร์ทแมน (Northman) ซึ่งแตกต่างจากบรรพบุรุษของไอซ์แลนด์และฟินแลนด์ซึ่งภาษาพูดตั้งเดิมไม่มีความสัมพันธ์กับภาษาของนอร์เวย์ สวีเดน และเดนมาร์ก โดยเฉพาะภาษาฟินน์มีความสัมพันธ์กับภาษาฮังการี เอสโตเนีย และภาษาของชนกลุ่มน้อยที่นิยมพูดกันในภูมิภาคตะวันตกของรัสเซีย
“สแกนดิเนเวีย” ได้กลายเป็นศัพท์ทางการเมืองในช่วงทศวรรษ ๑๘๓๐ เมื่อปัญญาชนและนักศึกษาในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียได้ร่วมกันเคลื่อนไหวเพื่อรวมพลังของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียทั้งสามตามกระแส “การรวมกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย” (Pan-Scandina-vianism) เพื่อมีอำนาจต่อรองทางการเมือง ฮันส์ คริสเตียน อันเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) กวีคนสำคัญชาวเดนมาร์กได้ประพันธ์บทกวีชื่อ “I am a Scandinavian” (ข้าพเจ้าเป็นชาวสแกนดิเนเวีย) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๓๙ หลังจากเขาได้เดินทางไปเยือนสวีเดน เพื่อกระตุ้นให้ทั้งชาวสวีเดนเดนมาร์ก และนอร์เวย์ตระหนักถึงความเป็นประชาชาติหนึ่งเดียวกัน (one people) ซึ่งก็คือ “ชาวสแกนดิเนเวีย” นั่นเอง ในเวลาไม่ช้า แนวคิดของการเป็น“ชาวสแกนดิเนเวีย” ของประชาชาติหนึ่งเดียวกันในทั้ง ๓ ประเทศ ซึ่งเป็นกระแสทางการเมืองในขณะนั้นก็ได้รับการตอบสนองมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ (Second World War ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕)* เป็นต้นมา คำว่า “สแกนดิเนเวีย” จึงถูกนำมาใช้ในความร่วมมือกันในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั้งสามทั้งในการร่วมมือกันในระดับรัฐกับรัฐ เช่น การจัดตั้งสาย การบินสแกนดิเนเวีย [ (Scandinavian Airlines-SAS) เดิมเรียก Scandinavian Airlines System] ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติร่วมกันของเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดนที่เป็นธุรกิจการบินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคสแกนดิเนเวีย หรือระหว่างองค์กรเอกชนต่าง ๆ รวมทั้งการผนึกกำลังกันทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก เช่น เข้าร่วมเป็นสมาชิกของสภานอร์ดิก (Nordic Council) และสมาชิกก่อตั้งสมาคมการค้าเสรียุโรปหรือเอฟตา (European Free Association-EFTA)
ส่วนในความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์นั้น ในสมัยที่พวกไวกิ้งเรืองอำนาจระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๐ เดนมาร์กเป็นประเทศแรกในสแกนดิเนเวียที่สามารถรวมตัวกันภายใต้การปกครองในระบบกษัตริย์ และหันมานับถือคริสต์ศาสนา ในสมัยพระเจ้าคนุตมหาราช (Canute the Great ค.ศ. ๑๐๑๔-๑๐๓๕) เดนมาร์ก อังกฤษ และนอร์เวย์ได้รวมตัวกันเป็นราชอาณาจักรเดียวกันและความสัมพันธ์นี้ได้ดำรงจนสิ้นรัชกาล เพราะหลังจากนั้นได้เกิดปัญหาภายในและสงครามกลางเมืองขึ้น
นอร์เวย์เป็นอิสระจากเดนมาร์กเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปี มีกษัตริย์เชื้อสายนอร์เวย์ปกครองจนกระทั่งสิ้นรัชกาลพระเจ้าฮากอนที่ ๕ (Haakon V ค.ศ. ๑๒๙๙-๑๓๑๙) หลังจากนั้นราชบัลลังก์นอร์เวย์ตกเป็นของสายพระราชธิดาโดยพระเจ้าแม็กนัสหรือมางนุสที่ ๒ (Magnus II) แห่งสวีเดนพระราชนัดดา (หลานตา) ของพระเจ้าฮากอนที่ ๕ ได้เสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์นอร์เวย์ สวีเดน และนอร์เวย์จึงมีกษัตริย์ร่วมกันต่อมาได้เกิดการผันผวนทางการเมืองขึ้น พระเจ้ามางนุสที่ ๒ ถูกขับออกจากบัลลังก์ใน ค.ศ. ๑๓๖๔ และพวกขุนนางได้เลือกอัลเบรชท์แห่งเมคเคลนบูร์ก (Albrecht of Mecklenburg) ขึ้นเป็นกษัตริย์ เฉลิมพระนามพระเจ้าอัลเบิร์ต (Albert ค.ศ. ๑๓๖๔-๑๓๖๘) ต่อมาขุนนางได้ก่อกบฏอีกและรวมตัวกันถวายราชบัลลังก์สวีเดนแก่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์เกรเทอที่ ๑ (Margrethe I) แห่งเดนมาร์ก ความสัมพันธ์ของราชวงศ์ทั้งสาม คือ เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดนจึงเกิดขึ้นและรวมตัวกันเป็น “สหภาพแห่งคาลมาร์” (Union of Kalmar) เป็นเวลา ๑๒๖ ปี ในระหว่าง ค.ศ. ๑๓๙๗-๑๕๒๓
การรวมตัวกันระหว่างเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดนสิ้นสุดลงเมื่อสวีเดนประกาศแยกตัวเป็นอิสระ ส่วนนอร์เวย์ยังรวมตัวกับเดนมาร์กต่อไปอีกเกือบ ๓๐๐ ปีจนถึง ค.ศ. ๑๘๑๔ เมื่อเกิดการจัดระเบียบใหม่ขึ้นในยุโรปหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรมีชัยชนะต่อฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕)* โดยฝ่ายสัมพันธมิตรบีบให้พระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๖ (Frederick VI ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๓๙) แห่งเดนมาร์กลงพระนามในสนธิสัญญาคีล (Treaty of Kiel) ยกเลิกการมีกษัตริย์ร่วมกันระหว่างเดนมาร์กกับนอร์เวย์ และต้องยกนอร์เวย์ ให้แก่สวีเดนเพื่อชดเชยที่สวีเดนต้องสูญเสียฟินแลนด์ ที่ครอบครองมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ให้แก่รัสเซียอีก ๑ ศตวรรษต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๐๕ นอร์เวย์ได้จัดให้มีการลงประชามติเพื่อยุติการรวมตัวกับสวีเดน นำไปสู่การสถาปนาราชอาณาจักรนอร์เวย์ที่เป็นอิสระจากสวีเดนขึ้นโดยนอร์เวย์ได้อัญเชิญเจ้าชายคริสเตียน เฟรเดอริก คาร์ล เกออร์ก วัลเดอมาร์ อักเซล (Christian Frederick Carl Georg Valdemar Axel) พระราชนัดดาในพระเจ้าคริสเตียนที่ ๙ (Christian IX ค.ศ. ๑๘๖๓-๑๙๐๖) แห่งราชวงศ์ออลเดนบูร์ก (Oldenburg) ราชอาณาจักรเดนมาร์กมาเป็นกษัตริย์ของนอร์เวย์ เฉลิมพระนามพระเจ้าฮากอนที่ ๗ (Haakon VII ค.ศ. ๑๙๐๕-๑๙๕๗)* ทุกวันนี่สมาชิกราชวงศ์ออลเดนบูร์กก็ยังคงทำหน้าที่พระประมุขของทั้งเดนมาร์กและนอร์เวย์
ปัจจุบัน กลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียทั้งสามคือ สวีเดน นอร์เวย์ และเดนมาร์กปกครองในระบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ และราชวงศ์ก็มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันในระบบเครือญาติ ทั้งมีการปรับเปลี่ยนระบบการสืบสันตติวงศ์ให้สอดคล้องกับค่านิยมในปัจจุบันเช่นเดียวกันโดยสวีเดนเป็นประเทศแรกที่แก้ไขพระราชบัญญัติว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ใน ค.ศ. ๑๙๘๐ ให้สิทธิอย่างทัดเทียมแก่พระราชโอรสและพระราชธิดาที่ประสูติเป็นพระองค์แรกให้มีสิทธิในการสืบราชบัลลังก์โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพระราชโอรสองค์ใหญ่ดังที่ปฏิบัติเป็นราชประเพณีอีกต่อไป ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๙๐ และ ค.ศ. ๒๐๐๘ รัฐสภานอร์เวย์และรัฐสภาเดนมาร์กก็ได้แก้ไขกฎหมายว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ในทำนองเดียวกันตามลำดับ นับว่าพระราชบัญญัตว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียมีความเป็นเอกภาพและลํ้าหน้ากว่าประเทศยุโรปอื่น ๆ ที่ยังคงรักษาโบราณราชประเพณีในการจัดลำดับการสืบสันตติวงศ์โดยให้สิทธิและความสำคัญแก่พระราชโอรสหรือพระบรมวงศ์ฝ่ายชายก่อน ทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึงการส่งเสริมสิทธิสตรีและความเสมอภาคระหว่างชายหญิงในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ที่มีมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานซึ่งเห็นได้จากการเป็นประเทศผู้นำในการให้สิทธิเลือกตั้งแก่สตรีเป็นชาติแรก ๆ ในยุโรป สตรีสวีเดนที่ประกอบอาชีพสังกัดในกิลด์ (guild) และจ่ายภาษีเป็นผู้หญิงกลุ่มแรกในโลกที่ได้รับสิทธิเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นใน ค.ศ. ๑๗๑๘ และเมื่อมีการขยายสิทธิเลือกตั้งทั่วไปแก่สตรีก็ได้รับสิทธินี้ใน ค.ศ. ๑๙๒๑ ส่วนสตรีนอร์เวย์และสตรีเดนมาร์กได้รับสิทธิเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. ๑๙๑๓ และ ค.ศ. ๑๙๑๕.