สหพันธรัฐรัสเซียหรืออดีตสหภาพโซเวียตเคยเป็นประเทศแกนนำของโลกคอมมิวนิสต์และในปัจจุบันยังมีแสนยานุภาพด้านนิวเคลียร์ เป็นประเทศที่มีดินแดนกว้างใหญ่มากที่สุดในโลก พื้นที่ ๒ ใน ๓ อยู่ในทวีปเอเชีย แต่ประชากรร้อยละ ๗๕ อาศัยอยู่ในทวีปยุโรป รัสเซียโดย พื้นฐานจึงถือเป็นชาติตะวันตก ความกว้างใหญ่ของดินแดนที่ครอบคลุม ๒ ทวีป ดังกล่าวทำให้มีชนชาติต่าง ๆ มากมายกว่า ๑๖๐ เชื้อชาติ และชาติพันธุ์ที่อยู่กระจัดกระจายตามส่วนต่าง ๆ ของประเทศก็มีวัฒนธรรมและภาษาที่แตกต่างกันมาก แต่ชาวรัสเซียส่วนใหญ่ในปัจจุบันสืบสายมาจากชนเผ่าสลาฟตะวันออก (Eastern Slav) ซึ่งตั้งถิ่นฐานในบริเวณตอนกลางของประเทศมาตั้งแต่ ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
รัสเซียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บน ๒ ทวีป คือยุโรปและเอเชีย มีเนื้อที่ ๑๗,๐๙๘,๒๔๒ ตารางกิโลเมตร นับเป็นประเทศที่กว้างใหญ่ที่สุดในโลก มีอาณาเขตทิศเหนือจดมหาสมุทรอาร์กติก ทิศตะวันออกจดมหาสมุทรแปซิฟิกทิศใต้ติดต่อกับประเทศจีน มองโกเลีย คาซัคสถาน อาเซอร์ไบจาน และจอร์เจีย และทิศตะวันตกจดทะเลดำ และติดต่อกับประเทศยูเครน เบลารุส ลัตเวีย เอสโตเนีย ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ เมืองหลวงคือ กรุงมอสโก (Moscow) ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาราชการ มีจำนวนประชากรประมาณ ๑๔๒,๕๗๐,๓๐๐ คน (ค.ศ. ๒๐๑๔) บางส่วนนับถือศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียออร์ทอดอกซ์ ศาสนาอิสลาม และอื่น ๆ แต่ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นผู้ไม่นับถือศาสนา
จากหลักฐานทางโบราณคดี เขตทางตอนใต้ของรัสเซียคือที่ราบสเต็ปป์ (Steppe) เป็นดินแดนแห่งแรกที่พวกเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนจากทวีปเอเชียอพยพเข้ามาอยู่ในยุคหินใหม่ (New Stone Age; Neolithic Age) เมื่อประมาณ ๕,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยเข้ามาอยู่ในบริเวณแถบหุบเขาของแม่น้ำนีเปอร์ (Dnieper) และแม่น้ำบัก (Bug) นอกจากรู้จักการเลี้ยงสัตว์แล้ว พวกเร่ร่อนดังกล่าวนี้ยังทำกสิกรรม ทอผ้า เครื่องปั้นดินเผา ตลอดจนรู้จักทองแดง ทองคำ เงินและสัมฤทธิ์ ใน ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกซิมเมอเรียน (Cimmerian) ซึ่งเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนจากทวีปเอเชียได้เข้ารุกรานชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในที่ราบสเต็ปป์และสามารถปกครองชนเผ่าพื้นเมืองเหล่านี้ได้ พวกซิมเมอเรียนตั้งบ้านเรือนอยู่ทางตอนเหนือของทะเลดำและเป็นชนเผ่าแรกในรัสเซียที่รู้จักนำเหล็กมาใช้เป็นอาวุธ แต่ใน ๗๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช
ใน ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกซาร์เมเทียน (Sarmatian) ซึ่งเป็นพวกเร่ร่อนเชื้อสายอิหร่านและเป็นชนเผ่านักรบที่ชำนาญการใช้หอกและดาบยาวจากตอนกลางของทวีปเอเชียได้ยกกองทัพเข้ารุกรานพวกชิเทียนพวกซาร์เมเทียนมีอำนาจปกครองดินแดนภาคใต้ของรัสเซียเป็นเวลาหลายร้อยปี จนถึงประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๓ พวกซาร์เมเทียนเป็นพวกนิยมเลี้ยงฝูงสัตว์ เช่น วัว ม้าชอบเดินทางเร่ร่อนและอาศัยอยู่บนเกวียน ในไม่ช้าพวกซาร์เมเทียนได้ยอมรับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของพวกชิเทียนและเริ่มติดต่อค้าขายกับชาวกริกในเมืองอาณานิคมและสถานีการค้าต่าง ๆ ในดินแดนรัสเซีย พวกซาร์เมเทียนประกอบด้วยชนหลายเผ่าพันธุ์ เผ่าพันธุ์ที่สำคัญ ได้แก่ พวกแอแลน (Alan) ซึ่งเป็นเชื้อสายพวกซาร์เมเทียนเผ่าสุดท้ายที่อพยพเข้ามาในรัสเซีย พวกแอแลนนี้ยังแยกออกเป็นพวกรุกส์-แอส (Rukhs-As) หรือพวกแอสผมสีอ่อน (fair-hair As) ซึ่งสันนิษฐานกันว่า คำว่า “รุกส์-แอส” ต่อมา
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑ อนารยชนเผ่ากอท (Goth) จากสแกนดิเนเวียได้เริ่มอพยพเข้ามาทางตอนใต้ของประเทศในแถบที่เรียกว่าที่ราบยูเรเชีย (Eurasia) โดยผ่านเข้ามาทางแม่น้ำวิสตูลา (Vistula) และจัดตั้งอาณาจักรเฮอร์มานิก (Hermanic) ขึ้น ซึ่งมีอาณาเขตครอบคลุมตั้งแต่ทะเลดำจนถึงทะเลบอลติก แต่ใน ค.ศ. ๓๗๐ อาณาจักรเฮอร์มานิกก็ถูกพวกฮั่น (Hun) ซึ่งเป็นชนเผ่ามองโกล (Mongol) จากภาคกลางของทวีปเอเชียเข้าโจมตีจนพวกกอทต้องอพยพหนีข้ามเขตเข้าไปในจักรวรรดิโรมัน พวกฮั่นมีอำนาจสูงสุดในยุโรปในสมัยของพระเจ้าอัติลา (Attila ค.ศ. ๔๓๓-๔๕๓) ซึ่งกองทัพฮั่นได้เข้ารุกรานจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก (Eastern Roman Empire) และแคว้นกอล (Gaul) หรือบริเวณที่เป็นประเทศฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และเยอรมนีปัจจุบันได้สำเร็จใน ค.ศ. ๔๔๗ และ ค.ศ. ๔๕๒ ตามลำดับ
ต่อมา พวกเอวาร์ (Avar) เชื้อสายมองโกลและพวกเติร์ก (Turk) ซึ่งเป็นชาวเอเชียอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ารุกรานรัสเซียในกึ่งกลางของคริสต์ศตวรรษที่ ๖ พวกเอวาร์ได้สร้างอาณาจักรซึ่งครอบคลุมบริเวณตั้งแต่แม่น้ำวอลกา (Volga) จนถึงแม่น้ำเอลเบ (Elbe) และใน ค.ศ. ๕๘๑ สามารถใช้อำนาจบังคับให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ส่งเครื่องบรรณาการให้แก่ตนได้ อย่างไรก็ตาม ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๗ กองทัพของจักรวรรดิไบแซนไทน์สามารถ เอาชนะพวกเอวาร์และมีผลให้อาณาจักรเอวาร์เสื่อมสลายลงในที่สุด ในคริสต์ศตวรรษที่ ๘ พวกคาซาร์ (Khazar) เชื้อสายเติร์กได้เข้ามาตั้งบ้านเรือนในบริเวณทางตอนเหนือของทะเลดำและทะเลแคสเปียน (Caspian) พวกคาซาร์ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าคนกลางในการค้าขายระหว่างจักรวรรดิไบแซนไทน์กับอาณาจักรของพวกอาหรับยิ่งไปกว่านั้นดินแดนของพวกคาซาร์ยังเป็นสื่อกลางในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ อิสลาม และยูดาห์ (Judaism) ในรัสเซียในไม่ช้าพวกคาซาร์ก็แผ่อำนาจเข้าปกครองดินแดนแถบแม่น้ำนีเปอร์ที่พวกสลาฟตะวันออกอาศัยอยู่และบังคับให้พวกสลาฟตะวันออกส่งเครื่องบรรณาการให้แก่ตน
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๙ พวกสลาฟตะวันออกได้รวมตัวกันอย่างแข็งขันและสามารถจัดตั้งเมืองขึ้นหลายแห่ง เช่น เคียฟ (Kiev) นอฟโกรอด (Novgorod) ตลอดจนเมืองท่าตามชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลดำเพื่อติดต่อค้าขายกับจักรวรรดิไบแซนไทน์ แต่อาณาจักรของพวกสลาฟตะวันออกเจริญรุ่งเรืองในช่วงระยะเวลาอันสั้นเพราะถูก พวกวาแรนเจียน (Varangian) ซึ่งเป็นชนเผ่าไวกิ้งจากสแกนดิเนเวียเข้ารุกราน โดยมีรูริค (Rurik) เป็นผู้นำพวกวาแรนเจียนสามารถยึดครองเมืองต่าง ๆ ของพวกสลาฟตะวันออกได้ ใน ค.ศ. ๘๖๒ รูริคได้สถาปนาราชวงศ์วาแรนเจียนขึ้นปกครองพวกสลาฟตะวันออกที่เมืองนอฟโกรอด ต่อมา ใน ค.ศ. ๘๘๒ โอเลก (Oleg) พระญาติและผู้สืบทอดราชบัลลังก์และเจ้าชายอีกอร์ (Igor) โอรสของโอเลก ราชวงศ์วาแรนเจียนก็สามารถขยายอาณาเขตและอิทธิพลออกไปอย่างกว้างขวาง จนสามารถจัดตั้งอาณาจักรขึ้นเป็นปึกแผ่นเรียกว่าอาณาจักรเคียฟ (Kiev) เพื่อปกครองชนเผ่าสลาฟและชนเผ่าต่าง ๆ ในรัสเซียโดยมีกรุงเคียฟเป็นราชธานีและศูนย์กลางอำนาจ อีกทั้งยังมีชัยชนะเหนือพวกกรีกจนเกือบยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ได้ นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๙๘๘ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของเจ้าชายวลาดีมีร์ (Vladimir) ราชวงศ์วาแรนเจียนยังหันมานับถือคริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์ทอดอกซ์แทนการนับถือเทพเจ้าและผี การนับถือคริสต์ศาสนาดังกล่าวนับเป็นอีกก้าวหนึ่งของการรับอารยธรรมตะวันตกเข้ามาในรัสเซีย อาณาจักรเคียฟจึงมีความมั่นคงและเป็นที่ยอมรับในอำนาจอธิปไตยจากอาณาจักรเพื่อนบ้านต่าง ๆ กรุงเคียฟที่เคยเป็นเพียงเมืองศูนย์กลางการค้าของพวกสลาฟแปรสภาพเป็นศูนย์กลางทางการปกครองเศรษฐกิจ สังคม ศิลปวัฒนธรรม และศาสนาในรัสเซียอาณาจักรเคียฟมีอายุยืนยาวจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ก่อนจะถูกพวกมองโกสจากทวีปเอเชียเข้ารุกราน
กล่าวได้ว่าประวัติศาสตร์อันแท้จริงของรัสเซียเริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกสแกนดิเนเวียได้เข้าปกครองเมืองต่าง ๆ ของพวกสลาฟตะวันออกและนับตั้งแต่ ค.ศ. ๘๘๒ เป็นต้นมา เชื้อสายของรูริคได้ปกครองอาณาจักรเคียฟเป็นเวลาติดต่อกันกว่า ๓ ศตวรรษ ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้อาณาจักรเคียฟได้ขยายอาณาเขตอย่างกว้างขวางจนมีพรมแดนจากทะเลดำจดทะเลบอลติกและจากทะเลแคสเปียนจดเทือกเขาคาร์เพเทียน (Carpathian) เจ้าผู้ครองอาณาจักรเคียฟ (Grand Prince of Kiev) ซึ่งมีฐานะเป็นเสมือนประมุขของรัสเซียในขณะนั้นทรงเจริญสัมพันธไมตรีทางการทูตและการค้ากับจักรวรรดิไบแซนไทน์และอาณาจักรอื่น ๆ ในเอเชียและยุโรปตะวันตก และทรงสร้างความเจริญให้แก่รัสเซียเป็นอันมาก กรุงเคียฟกลายเป็นนครที่มีรูปแบบของศิลปกรรมแบบกริกที่จักรวรรดิไบแซนไทน์ได้รับถ่ายทอดมา เป็นศูนย์กลางของระบอบการปกครองแบบฟิวดัลในยุโรปตะวันออกและความเจริญทางด้านวัฒนธรรมและศูนย์กลางอีกแห่งของคริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ พระประยูรญาติของเจ้าผู้ครองอาณาจักรเคียฟได้เสกสมรสกับสมาชิกในราชวงศ์ของดินแดนต่าง ๆ ในยุโรป เช่น จักรวรรดิไบแซนไทน์ สวีเดน ฝรั่งเศส ฮังการี นอร์เวย์ โปแลนด์ อันมีผลทำให้อาณาจักรเคียฟมีความสัมพันธ์กับโลกตะวันตกมากยิ่งขึ้น
อาณาจักรเคียฟมีความสำคัญและอิทธิพลสูงสุดในรัชสมัยของเจ้าชายยาโรสลาฟผู้ชาญฉลาด (Yaroslav the Wise ค.ศ. ๑๐๑๙-๑๐๕๔) ได้ทรงพัฒนาอาณาจักรเคียฟให้เจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมให้กรุงเคียฟเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและเป็นคู่แข่งที่สำคัญของกรุงคอนสแตนติโนเปิล นครหลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์เจ้าชายยาโรสลาฟทรงให้จัดตั้งโรงเรียนและห้องสมุดขึ้นในราชอาณาจักร อีกทั้งยังทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรม มีการสร้างมหาวิหารเซนต์โซเฟีย (Saint Sophia) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๐๓๗ ซึ่งเป็นปีที่เคียฟได้รับการจัดตั้งเป็นเขตอัครมุขมณฑล (Metropolitan See) โดยเลียนแบบมหาวิหารเซนต์โซเฟียที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลซึ่งเป็นศิลปะกรีก มีอาคารรูปเหลี่ยมหลังคาโค้งเป็นรูปโดมแต่พวกสลาฟก็ได้ประดับประดาใหม่ให้มีสีสันงดงามเจิดจ้าอันเกิดจากจินตนาการของตนเอง มหาวิหารเซนต์โซเฟียดังกล่าวนี้จึงได้กลายเป็นแม่แบบของศิลปะรัสเซียในสมัยต่อมา ขณะเดียวกันก็มีการจัดทำประมวลกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. ๑๐๓๖ เรียกว่า ความยุติธรรมของรัสเซีย (Russian Justice) ด้วย
อย่างไรก็ดี หลังจากที่เจ้าชายยาโรสลาฟสิ้นพระชนม์บรรดาเจ้านครต่าง ๆ พยายามแยกตัวเป็นอิสระจากอาณาจักรเคียฟ ทั้งพวกเร่ร่อนกลุ่มต่าง ๆ ก็เข้ารุกรานอาณาจักรเคียฟที่รุ่งเรืองจึงเริ่มเสื่อมลง ใน ค.ศ. ๑๑๖๙ เจ้าชายอันเดรย์ โบกอลยุบสกี (Andrei Bogolyubsky) แห่งรอสตอฟ-ซูซดัล (Rostov-Suzdal) เจ้าผู้ครองนครวลาดีมีร์ ซึ่งอยู่ห่างจากนครมอสโกไปทางตะวันออกประมาณ ๑๕๐ กิโลเมตร สามารถยึดกรุงเคียฟได้ และทรงประกาศให้นครวลาดีมีร์เป็นนครหลวงของรัสเซียแทนกรุงเคียฟ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ บรรดาเจ้านครต่าง ๆ ในรัสเซียต่างแตกแยกและแย่งชิงกันเป็นใหญ่ รัสเซียจึงกลายเป็นอาณาจักรที่อ่อนแอและไม่สามารถต่อต้านการรุกรานของพวกมองโกลซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนซึ่งอาศัยอยู่ในเขตทุ่งราบทางตอนเหนือของทวีปเอเชียได้ และต่อมาระหว่าง ค.ศ. ๑๒๓๗-๑๒๘๐ พวกมองโกลก็สามารถพิชิตดินแดนต่าง ๆ ของรัสเซียได้ทั้งหมด
การรุกรานของพวกมองโกลทำให้รัสเซียถูกตัดขาดจากจักรวรรดิไบแซนไทน์และโลกตะวันตกโดยสิ้นเชิงเป็นเวลากว่า ๒ ศตวรรษ รัสเซียต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและมีวัฒนธรรมล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ทั้งในด้านสภาพเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ ชาวนาและขุนนางต่างยากจน ทาสติดที่ดินและชาวนาถูกบังคับให้ทำงานหนักเพื่อเลี้ยงดูกองทัพของมองโกล ส่วนขุนนางก็ขาดการเรียนรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรมจนกลายเป็นผู้ไม่รู้หนังสือและขาดระเบียบวินัย อย่างไรก็ดี พวกมองโกลก็ไม่ได้ก้าวก่ายกับการดำเนินชีวิตของชาวรัสเซียตราบเท่าที่สภาพทางการเมืองและสังคมอยู่ในภาวะปรกติ ทั้งยังมีขันติธรรมทางศาสนาโดยอนุญาตให้ชาวรัสเซียนับถือและปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อในคริสต์ศาสนาได้เหมือนเดิมซึ่งทำให้รัสเซียสามารถรักษาวัฒนธรรมของตนเองไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาที่พวกมองโกลปกครองกว่า ๒ ศตวรรษนั้น แม้รัสเซียต้องเผชิญกับความยากลำบากทางเศรษฐกิจและการถูกตัดขาดจากโลกตะวันตก แต่การปกครองที่รวมศูนย์อำนาจที่มีประสิทธิภาพของมองโกลก็ช่วยทำให้นครรัฐต่าง ๆ ในรัสเซียดำรงอยู่ต่อไปได้โดยไม่ทำศึกสงครามแย่งชิงอำนาจกันจนต้องประสบกับภาวะล่มสลาย ในทางตรงกันข้าม การปกครองของพวกมองโกลทำให้พวกนครรัฐต่าง ๆ รวมตัวและมีสามัคคีกันในการต่อต้านอำนาจพวกมองโกล จนสามารถเป็นไทและพัฒนาเป็นรัฐที่เข้มแข็งได้ในที่สุด
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ เจ้าผู้ครองนครมอสโกได้รับสิทธิพิเศษจากข่านแห่งคาซานให้มีอำนาจในการพิพากษากรณีพิพาทระหว่างเจ้าผู้ครองนครรัสเซียต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นอำนาจและหน้าที่ของข่าน สิทธิดังกล่าวนี้กอปรกับอำนาจในการรวบรวมบรรณาการจึงทำให้นครมอสโก มีฐานะทางการเมืองและการเงินมั่นคงที่เจ้าผู้ครองนครรัฐอื่น ๆ ต่างเกรงขามและเข้าไปสวามิภักดิ์ด้วย เจ้าชายอีวานที่ ๑ หรืออีวาน (จอห์น) กาลิตา [Ivan (John) Kalita ค.ศ. ๑๓๒๕-๑๓๔๑] ได้รับการยอมรับจากพวกมองโกลเป็นอันมาก จนได้รับตำแหน่งใหม่ว่าเจ้าผู้ครองนครแห่งวลาดีมีร์และรัสทั้งปวง (Grand Prince of Vladimir and All Rus) ต่อมา ในรัชสมัยพระเจ้าอีวานที่ ๓ [Ivan III ค.ศ. ๑๔๖๒-๑๕๐๕ หรือซาร์อีวานมหาราช (Ivan the Great)] หลังจากปราบปรามนครอื่น ๆ ได้สำเร็จ นครมอสโกได้ประกาศตนเป็นเอกราชจากมองโกลและรวมนครอื่น ๆ เข้ากับมอสโกจัดตั้งเป็นอาณาจักรมัสโควี (Muscovy) นครมอสโกก็ได้รับการสถาปนาเป็นเมืองหลวงใน ค.ศ. ๑๔๘๐ อาณาจักรมัสโควีจึงเป็นเสมือนจักรวรรดิโรมันที่ ๓ (The Third Rome) เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของการปกครองและศาสนาของยุโรปตะวันออก โดยสืบทอดเจตนารมณ์ทางด้านการเมืองและศาสนาของจักรวรรดิไบแซนไทน์ (หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก) ซึ่งใน ค.ศ. ๑๔๕๓ ได้สูญเสียอำนาจแก่พวกออตโตมันเติร์ก (Ottoman Turks) พระเจ้าอีวานที่ ๓ จึงทรงเป็นผู้นำฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรตามทฤษฎี “สันตะปาปาราชันย์” (Caesaro-papism) อีกทั้งในบางโอกาสยังทรงใช้พระอิสริยยศนำหน้าพระนามว่า “ซาร์” (Tsar) ซึ่งเป็นคำย่อมาจากคำว่า “ซีซาร์” (Caesar) ที่นิยมเรียกจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันอีกด้วย นอกจากนี้ ก่อนที่จะสถาปนาอำนาจสูงสุดในฐานะ “ซาร์” พระองค์ยังทรงสร้างความชอบธรรมในฐานะ “พระญาติ” กับจักรพรรดิแห่งไบแซนไทน์องค์สุดท้ายด้วยการอภิเษกสมรสกับโซเฟีย เพลีออโลกัส (Sophia Palaeologus) พระภาติยะ (หลานลุง) ในจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ ๑๑ (Constantine XI ค.ศ. ๑๔๔๙-๑๔๕๓) ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิไบแซนไทน์และมีการนำเอาตรานกอินทรี ๒ เศียรซึ่งเป็นตราแผ่นดินของจักรวรรดิไบแซนไทน์มาใช้เป็นเครื่องประกอบเครื่องราชกกุธภัณฑ์และสัญลักษณ์ของอาณาจักรมัสโควีด้วย นอกจากนี้ เพื่อให้สมพระเกียรติยศของประมุขของ “จักรวรรดิโรมันที่ ๓” มากยิ่งขึ้นจึงมีการขยายและสร้างพระราชวังเครมลิน (Kremlin) ให้ใหญ่โตโออ่า รวมทั้งสร้างมหาวิหารหลวงสำคัญ ๆ หลายแห่งเพื่อใช้ในงานพระราชพิธีสำคัญและเป็นที่ฝังพระศพของซาร์และพระราชวงศ์ อย่างไรก็ตาม อาณาจักรมัสโควีก็ยังไม่อาจรวมตัวเป็นปึกแผ่นอย่างมั่นคงได้ในสมัยซาร์อีวานที่ ๓ เพราะดินแดนหลายแห่งรวมทั้งคาซาน (Kazan) อัสตราฮัน (Astrakhan) และดินแดนบริเวณรอบคาบสมุทรไครเมียยังคงตกอยู่ใต้อำนาจของพวกมองโกสแต่ต่อมาในรัชสมัยของซาร์วาซีลีที่ ๓ (Vasily III ค.ศ. ๑๕๐๕-๑๕๓๓) และซาร์อีวานที่ ๔ [Ivan IV ค.ศ. ๑๕๓๓-๑๕๘๔ หรืออีวานผู้เหี้ยมโหด (Ivan the Terrible)] พระราชโอรสรัสเซียจึงสามารถผนวกดินแดนส่วนใหญ่ดังกล่าวนี้ได้
ในรัชสมัยซาร์อีวานที่ ๔ พระองค์ทรงเป็นประมุของค์แรกของรัสเซียที่ได้รับคำประกาศพระอิสริยยศอย่างเป็นทางการว่า “ซาร์แห่งรัสทั้งปวง” (Tsar of All Rus) และโปรดใช้พระสหายสนิทที่เยาว์วัยและบุคคลที่มีความสามารถระดับต่าง ๆ ทางสังคมมาช่วยบริหารราชการ ใน ค.ศ. ๑๕๕๒ และ ค.ศ. ๑๕๕๖ ทรงประสบความสำเร็จในการกำจัดอำนาจของพวกมองโกสออกจากรัสเซีย และทำให้ลุ่มแม่น้ำวอลกาทั้งหมดรวมอยู่ในพรมแดนของรัสเซียตลอดจนขยายอำนาจเข้าปกครองไซบีเรียได้ใน ค.ศ. ๑๕๘๑ รัสเซียจึงสามารถสถาปนาขึ้นเป็นจักรวรรดิได้ในช่วงครึ่งหลังของรัชกาล ซาร์อีวานที่ ๔ ทรงมีพฤติกรรมที่โหดร้ายจนได้รับสมญาว่า “ผู้เหี้ยมโหด” เพราะใครที่ขัดพระทัยจะถูกลงทัณฑ์ทันทีด้วยธารพระกรเหล็กที่ทรงถือติดพระหัตถ์ และแม้แต่พระราชโอรสก็ทรงถูกลงทัณฑ์ด้วยธารพระกรเหล็กจนบาดเจ็บและสิ้นพระชนม์ในเวลาต่อมา เมื่อนครนอฟโกรอดก่อกบฏต่อพระองค์ ก็ทรงส่งกองทัพไปปราบปรามและสังหารชาวเมืองอย่างทารุณรวมทั้งจับชนชั้นผู้นำและครอบครัวมาประหารอย่างเหี้ยมโหด ณ จัตุรัสแดง อย่างไรก็ตาม แม้จะปกครองรัสเซียอย่างกดขี่ทารุณ แต่กทรงสนพระทัยที่จะปรับปรุงรัสเซียให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศตะวันตกด้วยการพยายามขยายการค้ากับต่างประเทศมากขึ้นตามลัทธิพาณิชยนิยม (mercantilism) ที่เริ่มแพร่หลายในยุโรปขณะนั้น รวมทั้งพยายามเช้ายึดครองทะเลบอลติกเพื่อให้รัสเซียสามารถ “เปิดหน้าต่างแลยุโรป” (a window looking on Europe) ได้ แต่ประสบความล้มเหลว นอกจากนี้ รัสเซียก็สร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับอังกฤษด้วย
หลังซาร์อีวานผู้เหี้ยมโหดเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. ๑๕๘๔ ราชบัลลังก์เป็นของซาร์เฟโอดอร์ที่ ๑ (Feodor I ค.ศ. ๑๕๘๔-๑๕๙๘) พระราชโอรสที่ทรงอ่อนแอและไร้ความสามารถ พระองค์ปกครองประเทศเพียงช่วงเวลาอันสั้นและสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท อัครบิดรแห่งมอสโก (Patriarch of Moscow) จึงสนับสนุนสภาแผ่นดินหรือสภาเซมสกีโซบอร์ (Zemskii Sobor) และสภาโบยาร์ (Boyar Council) หรือสภาขุนนางให้เลือกบอริส โกดูนอฟ (Boris Godunov) พระเชษฐาของซารีนาอีรีนา (Irina) พระมเหสีในซาร์เฟโอดอร์ที่ ๑ เป็นซาร์ (ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. ๑๕๙๘-๑๖๐๕) ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่รัสเซียเลือกซาร์ด้วยวิธีดังกล่าว การเถลิงอำนาจของซาร์บอริสใน ค.ศ. ๑๕๙๘ นับเป็นจุดเริ่มต้นของสมัยแห่งความยุ่งยาก (Time of Troubles) ครั้งที่ ๑ ในประวัติศาสตร์รัสเซีย เพราะมีผู้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์มากมายซึ่งรวมทั้งตระกูลโรมานอฟ (Romanov) ที่เป็นราชินิกุลในสายซารีนาอะนัสตาเซีย (Anastasia) พระราชมารดาของซาร์เฟโอดอร์ที่ ๑ ด้วย
ปัญหาการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของฝ่ายต่าง ๆ หลังจากซาร์บอริส โกดูนอฟสิ้นอำนาจทำให้ระหว่าง ค.ศ. ๑๖๐๕-๑๖๑๐ รัสเซียต้องเผชิญกับการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์ของดิมีตรีตัวปลอม (False Dmitri) และความปั่นป่วนทางสังคมและการเมือง ทั้งยังเกิดสงครามกลางเมืองและการจลาจลวุ่นวายไปทั่วประเทศ ระหว่าง ค.ศ. ๑๖๑๐-๑๖๑๓ ประเทศยังตกอยู่ในภาวะขาดผู้นำหรือช่วงว่างระหว่างรัชกาล (interregnum) ด้วย ภาวะการขาดผู้นำซึ่งบ้านเมืองต้องเผชิญกับการรุกรานจากสวีเดนและโปแลนด์ และความไม่สงบภายในจึงทำให้สภาแผ่นดินซึ่งประกอบด้วยนักบวช ขุนนาง คหบดี พ่อค้าชาวเมืองและชาวนาพร้อมใจกันเลือกซาร์พระองคํใหม่ขึ้นและต่างตกลงเลือกไมเคิล โรมานอฟ (Michael Romanov) เป็นซาร์เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๖๑๓ โดยเฉลิมพระนามซาร์ไมเคิลและนับเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์โรมานอฟ (Romanov)*
ในช่วง ๗๐ ปีแรก (ค.ศ. ๑๖๑๓-๑๖๘๒) ของการประดิษฐานราชวงศ์โรมานอฟ รัสเซียได้เข้าสู่ยุคหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ระหว่าง “ยุคเก่า” กับ “ยุคใหม่” ความวุ่นวายภายในและสงครามในสมัยแห่งความยุ่งยากในระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ จนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ มีผลกระทบต่อทัศนคติและค่านิยมเก่า ๆ ของชาวรัสเซียเป็นอันมาก ชาวรัสเซียต้องยอมรับความเจริญก้าวหน้าทางด้านยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก ในรัชสมัยซาร์ไมเคิล (ค.ศ. ๑๖๑๓-๑๖๔๕) ซาร์อะเล็กเซย์ (Alexei ค.ศ. ๑๖๔๕-๑๖๗๖) และซาร์เฟโอดอร์ที่ ๓ (Feodor III ค.ศ. ๑๖๗๖-๑๖๘๒) รัสเซียได้เข้าสู่ระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ซาร์สามารถรวบอำนาจการปกครองไร้ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ซาร์ก็ทรงสนพระทัยที่จะปรับปรุงประเทศให้เป็นแบบตะวันตกโดยดัดแปลงความเจริญของยุโรปตะวันตกให้เข้ากับสังคมรัสเซียอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น ปรับปรุงยุทธวิธีการรบและอาวุธส่งเสริมอุตสาหกรรมโดยต้อนรับพ่อค้า ช่างฝีมือแขนงต่าง ๆ ที่ลี้ภัยทางการเมืองและศาสนาซึ่งเป็นผลจากการปฏิรูปศาสนาและสงครามศาสนาในประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันตกให้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในรัสเซีย ตลอดจนเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีที่กดขี่สตรีตามความนิยมของตะวันออก อย่างไรก็ตาม การปรับปรุงประเทศให้ก้าวหน้าก็ยังประสบความสำเร็จไม่มากนักเพราะการยอมรับอิทธิพลตะวันตกเกิดขึ้นเฉพาะในพวกชนชั้นสูงที่เป็นคนกลุ่มน้อย ประชาชนส่วนใหญ่ยังคงผูกพันกับความเชื่อและค่านิยมแบบเก่า ในด้านสังคม รัสเซียก็ยังล้าหลังประเทศตะวันตกมาก เพราะมีการออกกฎหมายลิดรอนสิทธิเสรีภาพชาวนาและทาสติดที่ดิน รวมทั้งห้ามชาวเมืองเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัย ระบบทาสติดที่ดินจึงขยายตัวกว้างและหยั่งรากลึกในสังคมจนเป็นอุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอุตสาหกรรม นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นและปัญหาทางสังคมและการเมืองซึ่ง ก่อให้เกิดการลุกฮือและการแย่งชิงอำนาจกันอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การรับความเจริญของยุโรปตะวันตกเข้ามาในรัสเซียในสมัยต้นราชวงศ์โรมานอฟ นับว่ามีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์รัสเซียสมัยใหม่อย่างมากเพราะเป็นการเริ่มต้นของการปฏิรูปจักรวรรดิรัสเซียให้พัฒนาขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจตะวันตก ซาร์ปีเตอร์ที่ ๑ มหาราช (Peter I the Great ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) และ ซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ มหาราช (Catherine II the Great ค.ศ. ๑๗๖๒-๑๗๙๖)* ได้เป็นผู้สร้างฐานอำนาจให้รัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ และทำให้รัสเซียมีอารยธรรมแบบยุโรปตะวันตกอย่างสมบูรณ์
ในรัชสมัยของซาร์ปีเตอร์ที่ ๑ นอกจากการสร้างรัสเซียให้เป็นรัฐทันสมัยตามแบบตะวันตกด้วยนโยบายการปฏิรูปด้านต่าง ๆ แล้วนโยบายสำคัญของพระองค์ คือ การขยายอำนาจทางทหารและทำให้รัสเซียซึ่งไม่มีทางออกสู่ทะเลในด้านตะวันตก ให้มีเมืองท่าออกสู่ทะเลทั้งด้านทะเลบอลติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รัสเซียจึงก่อสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire)* และสวีเดนเพื่อสร้างเมืองท่าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและบอลดิกตามลำดับ อย่างไรก็ดี การขยายอำนาจทางตอนใต้เพื่อควบคุมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไม่ประสบความสำเร็จเพราะอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์ขัดขวางและรัสเซียพ่ายแพ้สงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน รัสเซียจึงต้องยอมทำสนธิสัญญาสงบศึกกับออตโตมันใน ค.ศ. ๑๗๗๑ และสูญเสียอำนาจการควบคุมเมืองอาซอฟ (Azov) ตากันรอก (Taganrog) และป้อมปราการต่าง ๆ บนแม่นํ้านีเปอร์ซึ่งทำให้ต้องปิด “หน้าต่างสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน” ส่วนในการทำสงครามกับสวีเดนที่เรียกว่า “สงครามเหนือครั้งยิ่งใหญ่” (Great Northern War) ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๐๙-๑๗๒๑ รัสเซียมีชัยชนะและได้ครองชายฝั่งทะเลบอลติกซึ่งทำให้สามารถควบคุมอ่าวฟินแลนด์ได้ชัยชนะในสงครามเหนือครั้งยิ่งใหญ่ได้ทำให้รัสเซียเป็นจักรวรรดิที่น่าเกรงขามที่มีส่วนคุมโชคชะตาของยุโรป ในเวลาต่อมาซาร์ปีเตอร์ที่ ๑ จึงทรงได้รับสถาปนาเป็น “จักรพรรดิแห่งชาวรัสเซียทั้งปวง” (Emperor of all the Russians) ทั้งได้รับถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” ด้วย พระองค์ได้ใช้ดินแดนต่าง ๆ บนชายฝั่งทะเลบอลติกติดต่อกับประเทศยุโรปและโปรดให้สร้างทัพเรือที่ทะเลบอลติก เพื่อป้องกันกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (St. Petersburg) นครหลวงใหม่ที่โปรดให้สร้างขึ้นใน ค.ศ. ๑๗๐๒ กรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กจึงเป็นสัญลักษณ์ของซาร์ปีเตอร์มหาราชในการสร้างรัสเซียให้เป็นชาติตะวันตกและเจริญทัดเทียมอารยประเทศตะวันตก ประมุของค์ต่อ ๆ มาก็สร้างและพัฒนาปรับปรุงกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กให้กลายเป็น “มหานคร” ที่งดงามแห่งหนึ่งของยุโรปจนได้ชื่อว่าเป็น “อัญมณีประดับยอดมหามงกุฎ” (top crown jewelry) ของราชวงศ์โรมานอฟ นอกจากนี้ ซาร์ปีเตอร์ยังทรงคิดประดิษฐ์ธงชาติตามแบบอย่างชาติตะวันตกขึ้นด้วยโดยประกอบด้วยแถบสีขาว น้ำเงิน และแดงในแนวนอนธงชาติสามสีได้ใช้กันสืบมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๖๙๙ จนถึงปัจจุบันยกเว้นในช่วงระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๘-๑๙๙๑ เท่านั้นที่รัสเซียเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยมโดยช่วงเวลาดังกล่าวใช้ธงแดงที่มีรูปสัญลักษณ์ฆ้อนกับเคียวและดาวบริเวณมุมขวาของธงเป็นธงชาติ
เมื่อซาร์ปีเตอร์มหาราชเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. ๑๗๒๕ โดยมิได้ทรงกำหนดองค์รัชทายาทตามที่ระบุไว้ในพระราชโองการ ค.ศ. ๑๗๒๒ (Decree of 1722) ที่ให้อำนาจ แก่ซาร์ในการเลือกรัชทายาท รัสเซียได้เข้าสู่ “สมัยแห่งความยุ่งยากครั้งที่ ๒” หรือที่เรียกกันอีกชื่อว่า “ยุคปฏิวัติวังหลวง” (Era of Palace Revolutions) ซึ่งกินระยะเวลาทั้งสิ้น ๓๗ ปี (ค.ศ. ๑๗๒๕-๑๗๖๒) สิ้นสุดลงเมื่อซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ มหาราชเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ใน ค.ศ. ๑๗๖๒ ในช่วงเวลาดังกล่าว รัสเซียประสบกับความวุ่นวายทางการเมืองอันเนื่องจากการไร้เสถียรภาพในระบบการสืบสันตติวงศ์และการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเจ้านายในราชวงศ์โรมานอฟซึ่งทำให้กลุ่มนายทหารองครักษ์กลายเป็นกลไกสำคัญในการเลือกพระประมุข ขณะเดียวกันพวกขุนนางตระกูลสำคัญ ๆ และข้าราชสำนักที่เป็นคนโปรดและชู้รักก็ผลัดกันเข้ามามีอำนาจในการบริหารปกครองประเทศและอยู่เบื้องหลังราชบัลลังก์ พระประมุขที่ผลัดกันขึ้นปกครองด้วยการสนับสนุนของกลุ่มขุนนางที่มีอำนาจมีจำนวนทั้งสิ้น ๖ พระองค์ ประกอบด้วยซารีนาแคเทอรินที่ ๑ (Catherine I ค.ศ. ๑๗๒๕-๑๗๒๗) ซาร์ปีเตอร์ที่ ๒ (Peter II ค.ศ. ๑๗๒๗-๑๗๓๐) ซารีนาแอนนา (Anna ค.ศ. ๑๗๓๐-๑๗๔๐) ซาร์อีวานที่ ๖ (Ivan VI ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๔๑) ซึ่งขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุเพียง ๒ เดือนเท่านั้น โดยมีเจ้าหญิงแอนนา เลโอโปสดอฟนา (Anna Leopoldovna) พระราชมารดาเป็นผู้สำเร็จราชการซารีนาเอลิซาเบท (Elizabeth ค.ศ. ๑๗๔๑-๑๗๖๑) และซาร์ปีเตอร์ที่ ๓ (Peter III ค.ศ. ๑๗๖๑-๑๗๖๒) ในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ รัชสมัยของซารีนาเอลิซาเบทซึ่งมีความมั่นคงและยาวนานที่สุดลือว่าเป็นจุดเปลี่ยนผ่านที่สำคัญระหว่างรัชสมัยซาร์ปีเตอร์มหาราชกับซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ มหาราช ดังจะเห็นได้ว่าในรัชกาลที่ยาวนาน ๒๐ ปีนี้ รัสเซียได้มุ่งกลับไปสนใจความเจริญของชาติยุโรปตะวันตกอย่างจริงจังอีกครั้ง และนำแนวคิดต่าง ๆ ทั้งในด้านศิลปวิทยาการ สังคมและวัฒนธรรมมาเป็นเครื่องมือในการสร้างความเจริญให้แก่รัสเซีย ทั้งรัสเซียยังเข้าไปมีบทบาทสำคัญในสงครามเจ็ดปี (Seven Years’ War ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) โดยเข้าร่วมกับออสเตรียและฝรั่งเศสทำสงครามกับปรัสเซียและอังกฤษอีกด้วย
สมัยแห่งความยุ่งยากครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๑๗๖๒ พร้อมกับการขึ้นครองราชสมบัติของซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ มหาราช แม้การขึ้นครองราชย์ของพระนางจะเกิดขึ้นจากการก่อการปฏิวัติรัฐประหารและช่วงชิงอำนาจจากซาร์ปีเตอร์ที่ ๓ พระราชสวามี แต่รัชสมัยของพระองค์ก็เป็นช่วงที่รัสเซียเริ่มเข้าสู่ “ยุคทอง” เพราะต่อมารัสเซียได้กลายเป็นมหาอำนาจอันดับ ๑ ของยุโรปที่มีบทบาทสูงเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศอย่างแท้จริงซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ ทรงดำเนินนโยบายสร้างรัสเซียให้เป็นชาติตะวันตกและขยายพรมแดนตามแนวทางของซาร์ปีเตอร์มหาราชจนสามารถเปิด “หน้าต่างสู่ทะเล” ทางด้านทะเลดำและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้สำเร็จอีกทั้งยังครอบครองดินแดนถึง ๒ ใน ๓ ของโปแลนด์ซึ่งเป็นศัตรูเก่าและทำให้โปแลนด์ถูกยุบและหายไปจากแผนที่ของยุโรประหว่าง ค.ศ. ๑๗๙๕-๑๙๑๘ นอกจากนี้ ซารีนาแคเทอรีนที่ ๒ ยังนำแนวความคิดของนักปรัชญาเมธีของยุโรปในยุคภูมิธรรม (Age of Enlightenment) มาประยุกต์ใช้เป็นแนวทางปฏิรูประบอบการปกครองและสังคมจนทำให้รัสเซียเจริญก้าวหน้าทัดเทียมมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ พระองค์จึงได้รับสมัญญาว่า “กษัตริย์ภูมิธรรม” (Enlightened Despot) และได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น “มหาราช” ซึ่งทรงเป็นราชนารีเพียงพระองค์เดียวในประวัติศาสตร์รัสเซียที่ได้รับการถวายพระเกียรติสูงสุด
ในรัชสมัยซาร์ปอล (Paul ค.ศ. ๑๗๙๖-๑๘๐๑)* พระราชโอรส พระองค์ทรงออกพระราชโองการ ค.ศ. ๑๗๙๗ (Decree of 1797) ว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์โดยให้สิทธิเฉพาะแก่พระราชวงศ์ฝ่ายชายที่เป็นพระราชโอรสองค์โตและให้ตัดสิทธิของพระราชธิดาและเชื้อสายของพระราชธิดาทั้งหมด กฎหมายดังกล่าวทำให้รัสเซียมีระบบการสืบสันตติวงศ์ที่มั่นคงและทำให้ประเทศปลอดจากภาวะการช่วงชิงบัลลังก์ที่บั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลจนถึงสมัยที่ราชวงศ์สิ้นอำนาจเพราะการปฏิวัติเดือนตุลาคม (October Revolution ค.ศ. ๑๙๑๗)* ส่วนในด้านการต่างประเทศ ในระยะแรกซาร์ปอลทรงพยายามหลีกเลี่ยงการเข้ายุ่งเกี่ยวในสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolutionary Wars ค.ศ. ๑๗๙๒-๑๘๐๒)* แต่ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๙๘-๑๗๙๙ ก็เข้าเป็นพันธมิตรกับอังกฤษและเนเธอร์แลนด์ต่อต้านฝรั่งเศสอย่างไรก็ตาม เมื่อนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte)* ยึดอำนาจการปกครองในฝรั่งเศสได้และปกครองในระบบกงสุล (Consulate System)* ซาร์ปอลซึ่งทรงชื่นชมนโปเลียนอย่างมากในฐานะนายทหารในอุดมคติจึงทรงหันมาฟื้นสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศสและต่อต้านอังกฤษแทน ต่อมาใน ค.ศ. ๑๘๐๑ พระองค์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ และแกรนด์ดุ๊กอะเล็กซานเดอร์พระราชโอรสองค์โตก็ได้ชื้นครองราชย์เป็นซาร์องค์ใหม่ตามที่กำหนดไว้ในพระราชโองการ ค.ศ. ๑๗๙๗ เฉลิมพระนามเป็นซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ (Alexander I ค.ศ. ๑๘๐๑-๑๘๒๕)*
เมื่อซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ เสด็จขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. ๑๘๐๑ รัสเซียกำลังเผชิญกับการขยายอำนาจของฝรั่งเศสและต้องรบกับฝรั่งเศสในสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕)* แต่ก็ไม่อาจต่อต้านอิทธิพลของฝรั่งเศสได้จนต้องยอมทำสนธิสัญญาทิลซิท (Treaty of Tilsit)* เพื่อให้ความร่วมมือและเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. ๑๘๐๗ อย่างไรก็ตาม เมื่อรัสเซียถอนตัวจากการปฏิบัติตามระบบภาคพื้นทวีป (Continental System)* ของฝรั่งเศสในการต่อต้านอังกฤษ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ จึงยกกำลังบุกโจมตีนศรมอสโกใน ค.ศ. ๑๘๑๒ แต่ประสบความล้มเหลวต่อมากองทัพมหาอำนาจยุโรปได้รวมตัวกันทำสงครามสหพันธมิตรครั้งที่ ๔ (Fourth Coalition War) โดยมีรัสเซียเป็นแกนนำยาตราทัพเข้ากรุงปารีส จักรพรรดินโปเลียนจำต้องยอมแพ้โดยไม่มีเงื่อนไขในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๘๑๔ ชัยชนะครั้งนี้ทำให้รัสเซียได้รับการยกย่องและยอมรับเป็นประเทศมหาอำนาจของยุโรป ในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๔)* รัสเซียก็มีบทบาทสำคัญในฐานะผู้นำกลุ่มอนุรักษนิยมที่ต่อต้านแนวความคิดเสรีนิยมและชาตินิยมเพื่อพยายามรักษาสถานะเดิมของยุโรปก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789)* ไว้ รัสเซียให้การสนับสนุนแนวนโยบายของเจ้าชายเคลเมนส์ ฟอน เมทเทอร์นิช (Klemens Fürst von Metternich)* เสนาบดีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรีย (ต่อมาดำรงตำแหน่งอัครเสนาบดี) ในการปราบปรามพวกเสรีนิยมในประเทศต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็เพิกเฉยที่จะปฏิรูปการเมืองและสังคมรัสเซียตามข้อเรียกร้องของปัญญาชน ทั้งมุ่งขยายอำนาจและสร้างความยิ่งใหญ่ของรัสเซียในต่างแดนโดยเฉพาะในจักรวรรดิออตโตมัน ความพยายามของรัสเซียในการเข้ายึดครองคาบสมุทรบอลข่านจึงนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองกับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ ในปัญหาตะวันออก (Eastern Question)* ตลอดช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์หลังซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ สวรรคตในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๘๒๕ ได้นำไปสู่การเกิดกบฏเรียกร้องรัฐธรรมนูญหรือที่เรียกกันต่อมาว่ากบฏเดือนธันวาคม (Decembrist Revolt)* กบฏที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายหลักที่จะล้มเลิกระบบทาสติดที่ดินและการปฏิรูปประเทศให้ทันสมัย แต่ประสบความล้มเหลวผลกระทบที่สำคัญของกบฏเดือนธันวาคมคือ ซาร์นิโคลัสที่ ๑ (Nicholas I ค.ศ. ๑๘๒๔-๑๘๔๔)* ทรงพยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกันไม่ให้เกิดการจลาจลและการกบฏขึ้นในรัสเซียได้อีก พระองค์ทรงจัดตั้งกองตำรวจลับสอดส่องและควบคุมประชาชนและต่อต้านการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงสังคมทุกประการ รวมทั้งสร้างรัสเซียให้เป็นรัฐวินัยเพื่อบังคับประชาชนให้ปฏิบัติตามระเบียบและเชื่อมั่นในผู้มีอำนาจสูงกว่า ขณะเดียวกันรัสเซียก็ร่วมมือกับออสเตรียและปรัสเซียในการเข้าแทรกแซงเพื่อปราบปรามการกบฏและการปฏิวัติในประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ในปลายรัชสมัยของนิโคลัสที่ ๑ รัสเซียได้ก่อสงครามกับตุรกีหรือสงครามไครเมีย (Crimean War ค.ศ. ๑๘๔๓ ๑๘๔๖)* ซึ่งเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกระหว่างประเทศมหาอำนาจยุโรปหลังจากว่างเว้นการสงครามมาเป็นเวลาเกือบ ๔๐ ปี รัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และต้องหมดบทบาทในเวทีการเมืองระหว่างประเทศไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ในช่วงที่ซาร์นิโคลัสที่ ๑ ทรงมุ่งขยายอำนาจของรัสเซียในต่างประเทศและควบคุมทางสังคมอย่างเข้มงวดนั้น กลุ่มปัญญาชนก็เริ่มรวมกลุ่มกันเคลื่อนไหวต่อต้านอำนาจรัฐและระบบซาร์มากขึ้นโดยแบ่งเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มสลาฟนิยม (Slavophiles) กับกลุ่มตะวันตกนิยม (Westernizers) ปัญญาชนทั้ง ๒ กลุ่มต่างเรียกร้องการปฏิรูปสังคมเพื่อปลดปล่อยทาสติดที่ดินให้เป็นอิสระและการทอนอำนาจอัตตาธิปไตยของซาร์ รวมทั้งการมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดเห็น แม้การเคลื่อนไหวดังกล่าวจะประสบความสำเร็จไม่มากนัก แต่แนวความคิดของปัญญาชนทั้ง ๒ กลุ่มก็มีอิทธิพลต่อขบวนการปฏิวัติรัสเซียที่ก่อตัวขึ้นในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ อะเล็กซานเดอร์ เฮอร์เซน (Alexander Herzen)* นักคิดคนสำคัญของกลุ่มตะวันตกนิยมได้ปรับแนวความคิดของพวกสลาฟนิยมเข้ากับแนวทางการปฏิวัติเป็นแนวความคิดสังคมนิยมรัสเซียที่เรียกกันว่านารอดนิค (Narodnik)* หรือรัสเซียปอปปูลิสต์ (Russian Populism)* ต่อมา นีโคไล เชียร์นีเชฟสกี (Nikolai Chernyshevsky)* มีฮาอิล บาคูนิน (Mikhail Bakunin)* และปัญญาชนปฏิวัติคนอื่น ๆ ก็นำแนวความคิดสังคมนิยมของเฮอร์เซนไปเผยแพร่และพัฒนาต่อจนกลายเป็นแนวความคิดที่ยอมรับกันทั่วไปในหมู่ปัญญาชนรัสเซียที่ฝักใฝ่ในการปฏิวัติในช่วงทศวรรษ ๑๘๖๐-๑๘๗๐
ความพ่ายแพ้ในสงครามไครเมีย ค.ศ. ๑๘๕๖ ทำให้รัสเซียหันมาพัฒนาปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยทัดเทียมประเทศตะวันตก ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๒ (Alexander II ค.ศ. ๑๘๕๕-๑๘๘๑)* ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชสมบัติก่อนสงครามไครเมียสิ้นสุดลง จึงทรงเริ่มปฏิรูปสังคมด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาปลดปล่อยทาสติดที่ดิน (Edict of Emancipation of Serfs)* ใน ค.ศ. ๑๘๖๑ และทรงปฏิรูปทางด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการศาล กองทัพ การคลัง และอื่น ๆ ซึ่งทำให้รัชสมัยของพระองค์ได้ชื่อว่า “ยุคแห่งเสรีนิยม” อยำงไรก็ตาม ผลการปฏิรูปก็เป็นไปเพื่อรักษาอำนาจอัตตาธิปไตยให้มั่นคงเพราะสถาบันซาร์ยังคงมีอำนาจเด็ดขาด ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปยังคงยากจนแร้นแค้นและขุนนางเจ้าของที่ดินก็ยังครอบครองที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศทั้งมีชีวิตที่สุขสบาย นอกจากนี้ รัสเซียยังคงล้าหลังด้านเกษตรกรรมเพราะชาวนาขาดความรู้ความเข้าใจด้านเทคโนโลยีและไม่มีทุนทรัพย์ที่จะปรับปรุงผืนดินและวิธีการผลิตให้ดีขึ้น ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ รัสเซียยังถูกคุกคามด้วยทุพภิกขภัยอย่างต่อเนื่อง จำนวนผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปี รัฐบาลยังเก็บภาษีชาวนาอย่างหนักทั้งขึ้นภาษีสุราซึ่งเป็นที่นิยมของประชาชนในอัตราที่สูง ความไม่พอใจของประชาชนจึงเกิดขึ้นทั่วไป กลุ่มปัญญาชนที่ต่อต้านรัฐบาลและซาร์จึงเคลื่อนไหวปลุกระดมทางการเมืองทุกรูปแบบเพื่อผลักดันการปฏิวัติให้เกิดขึ้น และในท้ายที่สุดก็หันมาใช้วิธีการรุนแรงและการก่อการร้าย มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญในแวดวงรัฐบาลและลอบปลงพระชนม์ซาร์หลายครั้งจนสามารถปลงพระชนม์ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๒ ได้สำเร็จเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ค.ศ. ๑๘๘๑
การสวรรคตอย่างน่าอเนจอนาถของพระราชบิดาทำให้ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๓ (Alexander III ค.ศ. ๑๘๘๑-๑๘๙๔)* ทรงดำเนินนโยบายที่เข้มงวดในการปกครองและยกเลิกการปฏิรูปต่าง ๆ ตลอดจนนำแนวความคิดการสร้างรัสเซียให้เป็นรัฐวินัยกลับมาใช้อีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ ยังมีการออกกฎเฉพาะกาลเกี่ยวกับมาตรการความมั่นคงของรัฐ ให้อำนาจรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นในการปราบปรามการลุกฮือของประชาชนและการรักษาความสงบ กฎเฉพาะกาลทำให้การเคลื่อนไหวปฏิวัติหยุดนิ่งและนักปฏิวัติจำนวนหนึ่งหนีออกนอกประเทศ กลุ่มนักปฏิวัติเหล่านี้ซึ่งมีเกออร์กี เปลฮานอฟ (Georgi Plekhanov)* เป็นผู้นำได้หันไปรับแนวความคิดลัทธิมากซ์ (Marxism)* ซึ่งมีอิทธิพลต่อขบวนการสังคมนิยมยุโรปในขณะนั้นและนำกลับมาเผยแพร่ในประเทศ ลัทธิมากซ์จึงเริ่มมีบทบาทสำคัญขึ้นในขบวนการปฏิวัติรัสเซีย และการเคลื่อนไหวจัดตั้งพรรคปฏิวัติแนวทางลัทธิมากซ์ก็ขยายตัวและเติบโตขึ้นในรัสเซียจนสามารถจัดตั้งพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (Russian Social Democratic Labour Party-RSDLP) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพรรคบอลเชวิค (Bolsheviks) ขึ้นได้สำเร็จในต้นทศวรรษ ๑๙๐๐
ในด้านการต่างประเทศ รัสเซียสนับสนุนแนวนโยบายของเจ้าชายออทโท ฟอน บิลมาร์ค (Otto von Bismarck)* อัครมหาเสนาบดีแห่งจักรวรรดิเยอรมัน (German Empire)* ด้วยการร่วมลงนามในสันนิบาตสามจักรพรรดิ (Dreikaiserbund - League of the Three Emperors)* กับจักรวรรดิเยอรมันและจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี (Austro-Hungarian Empire)* เพื่อกีดกันให้ฝรั่งเศสอยู่อย่างโดดเดี่ยวและป้องกันไม่ให้แสวงหาพันธมิตรเพื่อแก้แค้นเยอรมนีในการทำลายเกียรติภูมิของชาติในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย (Franco-Prussian War ค.ศ. ๑๘๗๐ ๑๘๗๑)* ความร่วมมือระหว่างมหาอำนาจทั้งสามในรูปของสันนิบาตสามจักรพรรดิเกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. ๑๘๗๓-๑๘๗๘ และ ค.ศ. ๑๘๘๑-๑๘๘๗ หลัง ค.ศ. ๑๘๘๗ รัสเซียขัดแย้งกับออสเตรีย-ฮังการีในปัญหาตะวันออกจึงไม่ต่ออายุสัญญาแต่กระนั้นรัสเซียก็ร่วมมือกับเยอรมนีทำสนธิสัญญาลับคือสนธิสัญญาประกันพันธไมตรี (Reinsurance Treaty)* ใน ค.ศ. ๑๘๘๗ แต่ต่อมาเมื่อรัสเซียทราบว่าเยอรมนีทำสนธิสัญญาพันธไมตรีทวิภาคี ค.ศ. ๑๘๗๙ (Dual Alliance 1879)* กับออสเตรีย-ฮังการี โดยเยอรมนีจะไม่รักษาความเป็นกลางในกรณีที่รัสเซียก่อสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี รัสเซียจึงผูกไมตรีกับฝรั่งเศสและร่วมกันทำสนธิสัญญาพันธไมตรีทวิภาคี ค.ศ. ๑๘๙๔ (Dual Alliance 1894)* เพื่อคานอำนาจเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี และเพื่อตอบโต้การรวมตัวระหว่างเยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี กับอิตาลีในสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี (Triple Alliance ค.ศ. ๑๘๘๒)* ต่อมา อังกฤษก็ได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับรัสเซียและฝรั่งเศสซึ่งทำให้เกิดการขยายตัวของภาคีสมาชิกสนธิสัญญาพันธไมตรีทวิภาคี ค.ศ. ๑๘๙๔ เป็นกลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี (Triple Entente)* ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๐๗ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ มหาอำนาจยุโรปจึงแบ่งออกเป็น ๒ ค่าย
เมื่อซาร์นิโคลัสที่ ๒ (Nicholas II ค.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๑๗)* เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ใน ค.ศ. ๑๘๙๔ พระองค์ทรงดำเนินนโยบายต่าง ๆ ตามรอยซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๓ พระบิดาด้วยการปกครองประเทศอย่างเข้มงวด และปกป้องรักษาอำนาจอธิปไตยของซาร์รวมทั้งปราบปรามการเคลื่อนไหวของประชาชนอย่างเด็ดขาด นโยบายดังกล่าวก่อให้เกิดการต่อต้านพระองค์อย่างมาก และยิ่งเมื่อรัสเซียพ่ายแพ้ในสงครามรัสเซีย-ญี่ปุ่น (Russo-Japanese War ค.ศ. ๑๙๐๔-๑๙๐๔)* ความไม่พอใจของประชาชนก็ยิ่งขยายตัวในวงกว้าง กลุ่มปัญญาชนเสรีนิยมหัวก้าวหน้าที่มีปาเวล นีโคลาเยวิช มิลยูคอฟ (Pavel Nikolayevich Milyukov)* เป็นผู้นำก็ร่วมมือกับกลุ่มการเมืองอื่น ๆ เรียกร้องการปฏิรูปทางสังคมและการเมืองกลุ่มการเมืองฝ่ายซ้ายก็เคลื่อนไหวปลุกระดมการต่อต้านรัฐบาลมากขึ้น ในต้นเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๐๕ มีการชุมนุมนัดหยุดงานทั่วไปและมีการเดินขบวนอย่างสันติในกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อถวายฎีกาต่อซาร์นิโคลัสที่ ๒ ให้ทรงปฏิรูปการเมืองและสังคมแต่ล้มเหลว ทหาร
อย่างไรก็ตาม การเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ (First World War)* ใน ค.ศ. ๑๙๑๔ และปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในที่สืบเนื่องจากนักบวชเกรกอรี รัสปูติน (Gregory Rasputin)* ซึ่งเป็นที่โปรดปรานของซารีนาอะเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนา (Alexandra Feodorovna)* พระมเหสีในซาร์นิโคลัสที่ ๒ เข้าก้าวก่ายในงานบริหารราชการแผ่นดินทำให้รัฐบาลถูกวิพากษ์โจมตีอย่างมาก สงครามที่ยืดเยื้อและความพ่ายแพ้ของกองทัพรัสเซียอย่างต่อเนื่องได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวต่อต้านสงคราม และการเกิดการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution)* ในกรุงเปโตรกราด (Petrograd) ใน ค.ศ. ๑๙๑๗ ซาร์นิโคลัสที่ ๒ ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองไว้ได้และพระองค์จำต้องยอมประกาศสละราชบัลลังก์แก่พระอนุชาแกรนด์ดุ๊กไมเคิล อะเล็กซานโดวิช (Michael Alexandovich) แต่ทรงปฏิเสธและมอบอำนาจการปกครองให้กับเจ้าชายเกรกอรี ลวอฟ (Gregory Lvov)* นายกรัฐมนตรีรัฐบาลเฉพาะกาล การปฏิเสธราชบัลลังก์ดังกล่าวมีผลให้ราชวงศ์โรมานอฟที่ปกครองรัสเซียกว่า ๓๐๐ ปีถึงกาลอวสาน พระราชวงศ์ทั้งหมดถูกควบคุมตัวและกักบริเวณที่พระราชวังลิเดียที่ซาร์สโกเอเซโล (Tsarskoe Selo) และต่อมาที่เมืองเยคาเตรินบุร์ก (Yekaterinburg) ในไซบีเรียตามลำดับ
หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ รัสเซียปกครองแบบทวิอำนาจระหว่างรัฐบาลเฉพาะกาลกับสภาโซเวียตซึ่งต่างคุมเชิงและแย่งชิงอำนาจทางการเมืองกัน วลาดีมีร์ เลนิน ผู้นำบอลเชวิคที่กลับเข้าประเทศในเดือนเมษายนพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองให้โค่นรัฐบาลเฉพาะกาลซึ่งนำไปสู่การลุกฮือในเดือนกรกฎาคม แต่ประสบความล้มเหลว อะเล็กซานเดอร์ เคเรนสกี (Alexander Kerensky)* นายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกาศดำเนินนโยบายสงครามต่อไปและแต่งตั้งนายพลลาฟร์ คอร์นีลอฟ (Lavr Kornilov)* เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ความนิยมต่อคอร์นีลอฟที่มีมากขึ้นทำให้เคเรนสกีหาทางกำจัดเขาและนำไปสู่กรณีคอร์นีลอฟ (Kornilov Affair)* ในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๑๗ หลังเหตุการณ์ครั้งนี้บอลเชวิคซึ่งมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านคอร์นีลอฟมีอิทธิพลมากขึ้นในสภาโซเวียต เลนินจึงเรียกร้องให้ยึดอำนาจทางการเมือง แต่เลฟ คาเมเนฟ (Lev Kamenev)* และกรีกอรี ซีโนเวียฟ (Grigori Zinoviev)* พยายามคัดค้านโดยอ้างว่าเงื่อนไขการยึดอำนาจยังไม่สุกงอมพอ อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะกรรมการกลางบอลเชวิคมีมติให้ยึดอำนาจและนำไปสู่การเกิดการปฏิวัติเดือนตุลาคม (October Revolution)* ในกรุงเปโตรกราด ในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ รัฐบาลเฉพาะกาลถูกโค่นอำนาจและรัสเซียเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบคอมมิวนิสต์และเรียกชื่อประเทศว่าสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย (Russian Soviet Federative Socialist Republic-REFSR)
ชัยชนะของการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ทำให้รัสเซียเป็นประเทศสังคมนิยมประเทศแรกของโลกและเป็นประเทศแม่แบบของการปฏิวัติที่สร้างแรงบันดาลใจแก่นักปฏิวัติและประชาชาติต่าง ๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นแบบรัสเซีย ความสำเร็จของเลนินผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต (Soviet Communist Party) ในการวางรากฐานของระบอบสังคมนิยมระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๗-๑๙๒๔ ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตเชื่อมั่นว่า ชนชั้นกรรมาชีพในประเทศต่าง ๆ จะก่อการปฏิวัติขึ้นในดินแดนส่วนต่าง ๆ ของโลก รัสเซียซึ่งเรียกกันทั่วไปในเวลาต่อมาว่า สหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตหรือสหภาพโซเวียต (Union of Soviet Socialist Republics-USSR) จึงพยายามผลักดันการก่อการปฏิวัติโลกและขยายอิทธิพลทางการเมืองไปยังนานาประเทศ การขยายอำนาจของสหภาพโซเวียตมีส่วนทำให้โลกในเวลาต่อมาถูกแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย อำนาจคือ ฝ่ายคอมมิวนิสต์กับฝ่ายเสรีประชาธิปไตยและนำไปสู่การเกิดภาวะสงครามเย็น (Cold War)* ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๙๑ นอกจากนี้ สหภาพโซเวียตในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ (Second World War)* ได้กลายเป็นประเทศอภิมหาอำนาจที่มีบทบาทสำคัญในเวทีการเมืองโลก และแนวความคิดลัทธิมากซ์-เลนิน (Marxism-Leninism) ของโซเวียตก็เป็นแนวความคิดทางการเมืองที่โดดเด่นในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐
ในการสร้างระบอบสังคมนิยมตามแนวความคิดลัทธิมากซ์-เลนินได้นำระบบเผด็จการมาใช้โดยจัดตั้งเชกา (Cheka)* หรือตำรวจลับเพื่อปราบปรามกวาดล้างฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติและควบคุมประชาชน และสร้างค่ายกักกันแรงงาน (Collective Labour Camp)* ขึ้นเพื่อใช่กำจัดศัตรูทางเมืองและกวาดล้างประชาชนที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูของการปฏิวัติ เลนินยังประกาศถอนตัวจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วยการทำสนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์ (Brest-Litovsk Treaty)* กับเยอรมนีเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ ขณะเดียวกันเลนินก็สั่งให้ปลงพระชนม์หมู่พระราชวงศ์เพื่อป้องกันการเคลื่อนไหวของกลุ่มกษัตริย์นิยมที่จะคืนอำนาจแก่สถาบันซาร์ เขายังสนับสนุนให้องค์การโคมินเทิร์น (Comintern)* หรือองค์การคอมมิวนิสต์สากลที่ ๓ (Third International)* ผลักดันพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ให้ก่อการปฏิวัติขึ้นในยุโรปแต่ก็ประสบความสำเร็จไม่มากนัก นโยบายการปกครองประเทศดังกล่าวได้นำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองรัสเซีย (Russian Civil War)* ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๘-๑๙๒๑ ซึ่งฝ่ายปฏิวัติมีชัยชนะหลังสงครามกลางเมืองรัฐบาลโซเวียตประกาศใช้นโยบายเศรษฐกิจใหม่หรือเนป (New Economic Policy-NEP)* เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจและเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงจากเหตุการณ์กบฏครอนชตัดท์ (Krontstadt Revolt)* นอกจากนี้ รัฐบาลโซเวียตยังให้ความสำคัญกับการสร้างงานศิลปวัฒนธรรมคอมมิวนิสต์และรณรงค์การขจัดความไม่รู้หนังสือให้หมดไปจากสังคมโซเวียต อะนาโตลี ลูนาชาร์สกี (Anotoly Lunacharsky)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ผลักดันนโยบายดังกล่าว จนประสบความสำเร็จ และในปลายเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๑๘ มีการยกเลิกปฏิทินจูเลียนแบบเก่ามาใช้ปฏิทินเกรเกอเรียนตามแบบประเทศตะวันตก ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๘-๑๙๒๙ ก็ได้ชื่อว่าเป็นสมัยทองของศิลปวัฒนธรรมโซเวียต
ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๒๒-๑๙๒๓ เลนินล้มป่วยและต้องถอนตัวจากงานการเมือง โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin)* เลขาธิการใหญ่ของพรรคจึงเห็นเป็นโอกาสดำเนินการปรับกลไกการบริหารเพื่อรวบอำนาจการปกครองแม้เลนินจะตระหนักถึงแผนการสร้างอำนาจของสตาลินแต่เขาก็ไม่สามารถขัดขวางได้เพราะตรอตสกีสหายสนิทที่เขาต้องการให้เป็นผู้นำการต่อต้านสตาลินปฏิเสธที่จะร่วมมือ และเสนินก็ป่วยหนักจนถึงแก่อสัญกรรมในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๒๔ ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๒๔-๑๙๒๗ เป็นช่วงความขัดแย้งภายในพรรคและการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่างแกนนำพรรคกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งท้ายที่สุดสตาลินสามารถกำจัดฝ่ายตรงข้ามได้หมดและเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจสูงสุด สตาลินปกครองประเทศอย่างเข้มงวดและผลักดันการเปลี่ยนสังคมโซเวียตให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัยโดยเสนอแนวความคิดสังคมนิยมในประเทศเดียว (Socialism in One Country)* เพื่อสร้างระบอบสังคมนิยมให้เกิดขึ้นโดยไม่อาศัยการปฏิวัติจากประเทศในยุโรปมาหนุนช่วย เขาล้มเลิกนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และประกาศใช่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปี (Five Year Plan) เพื่อปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจของรัสเซียเป็นระบบสังคมนิยม ความสำเร็จของแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปีฉบับแรก (ค.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๓๓) ทำให้สหภาพโซเวียตในเวลาต่อมากำหนดแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปีฉบับต่าง ๆ อีกหลายฉบับจนถึง ค.ศ. ๑๙๙๑ โดยเกือบทุกฉบับเน้นความเจริญก้าวหน้าทางอุตสาหกรรม
ในปลาย ค.ศ. ๑๙๓๔ เซียร์เกย์ มีโรโนวิช คีรอฟ (Sergey Mironovich Kirov)* เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์สาขาเลนินกราดซึ่งเป็นคู่แข่งของสตาลินถูกลอบสังหาร สตาลินจึงใช้เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข้ออ้างกวาดล้างศัตรูทางการเมืองของเขา และนำไปสู่สมัยแห่งความเหี้ยมโหดทางการเมืองหรือการกวาดล้างครั้งใหญ่ (Great Purges) ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๓๖-๑๙๓๘ ประมาณว่าสมาชิกพรรคและประชาชนที่ถูกสังหารมีจำนวนกว่า ๕๐๐,๐๐๐ คน นีโคไล เยจอฟ (Nikolai Yezhov)* หัวหน้าตำรวจลับที่สืบอำนาจจากเกนรีฮ์ ยาโกดา (Genrikh Yagoda) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการกวาดล้างอย่างรุนแรงทั่วประเทศจนสตาลินเริ่มวิตกว่าจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ เพราะการกวาดล้างเกินขอบเขตที่เขาต้องการจะมีส่วนทำลายภาพลักษณ์ของพรรค สตาลินจึงหาทางกำจัดเยจอฟและแต่งตั้งลัฟเรนตี เบเรีย (Lavrenty Beria)* ให้ดำรงตำแหน่งแทนสตาลินยังพยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ด้วยการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น ซึ่งเรียกกันต่อมาว่ารัฐธรรมนูญฉบับสตาลิน ค.ศ. ๑๙๓๖ และขณะเดียวกันก็สนับสนุนเรื่องการลดกำลังอาวุธขององค์การสันนิบาตชาติ (League of Nations)* รวมทั้งถอนตัวออกจากการแทรกแซงในสงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War ค.ศ.๑๙๓๖-๑๙๓๙)* มัคซิม ลิวีนอฟ (Maksim Litvinov)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของโซเวียตยังเคลื่อนไหวเรียกร้องให้ประเทศตะวันตกร่วมมือกันต่อต้านเยอรมนีซึ่งมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)* เป็นผู้นำแต่ประเทศตะวันตกซึ่งยังคงหวาดระแวงสหภาพโซเวียตไม่สนใจต่อข้อเรียกร้องของลิวีนอฟและดำเนินนโยบายเอาใจอักษะประเทศ (Appeasement Policy)* ด้วยการโอนอ่อนต่อความต้องการของเยอรมนีเพื่อหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งที่จะนำไปสู่การเกิดสงคราม
ใน ค.ศ. ๑๙๓๘ ประเทศมหาอำนาจตะวันตก บีบบังคับให้เชโกสโลวะเกียยกซูเดเทนลันด์ (Sudeten-land) ให้แก่เยอรมนีตามความตกลงมิวนิก (Munich Agreement ค.ศ. ๑๙๓๘)* สตาลินจึงเห็นว่าระบบการประกันความมั่นคงร่วมกัน (Collective Security) ล้มเหลวและไม่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของอังกฤษกับฝรั่งเศส สหภาพโซเวียตจึงลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างนาซี-โซเวียต (Nazi-Soviet Nonaggression Pact)* หรือกติกาสัญญาริบเบนทรอพ-โมโลตอฟ (Ribbentrop-Molotov Pact)* เป็นเวลา ๑๐ ปีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ หนึ่งสัปดาห์หลังการทำกติกาสัญญาไม่รุกรานกัน เยอรมนีก็บุกโจมตีโปแลนด์เมื่อวันที่ ๑ กันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙ และนำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ เยอรมนีมีชัยชนะอย่างรวดเร็วและในกลาง ค.ศ. ๑๙๔๐ ประเทศในยุโรปเกือบทั้งหมดยกเว้นอังกฤษก็ตกอยู่ใต้การยึดครองของเยอรมนี แต่ความล้มเหลวของการโจมตีในยุทธการที่เกาะอังกฤษ (Battle of Britain)* ค.ศ. ๑๙๔๐ ทำให้เยอรมนีเปิดแนวรบด้านตะวันออกด้วยการบุกโจมตีสหภาพโซเวียตในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๑ เพื่อหวังชัยชนะและเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของเยอรมนี อังกฤษประกาศสนับสนุนสหภาพโซเวียตทันทีและตามด้วยสหรัฐอเมริกาในปลาย ค.ศ. ๑๙๔๑ ซึ่งนำไปสู่สมัยการเป็นพันธมิตรอันยิ่งใหญ่ (Grand Alliances) ระหว่าง ๓ ประเทศมหาอำนาจระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๑-๑๙๔๕ สหภาพโซเวียตยืนหยัดต่อสู้การบุกหนักของเยอรมนีอย่างทรหดและสามารถป้องกันการปิดล้อมเมืองเลนินกราด (Siege of Leningrad)* และต่อมามีชัยชนะต่อเยอรมนีในยุทธการที่สตาลินกราด (Battle of Stalingrad)* และยุทธการที่เมืองคุรสค์ (Battle of Kursk)* ได้ตามลำดับ การพ่ายแพ้อย่างยับเยินของเยอรมนีที่เมืองคุรสค์ทำให้เยอรมนีต้องล่าถอยออกจากแนวรบตะวันออก และขณะเดียวกันก็นำไปสู่การประชุมสำคัญครั้งแรกของฝ่ายพันธมิตรที่กรุงมอสโกเพื่อหารือเกี่ยวกับการเอาชนะเยอรมนีและตกลงกันว่าด้วยความมั่นคงทั่วไปของยุโรปเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ความสำเร็จของการประชุมที่กรุงมอสโก (Moscow Conference ค.ศ. ๑๙๔๓)* จึงนำไปสู่การเกิดการประชุมครั้งสำคัญอีกหลายครั้งเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายสงครามและอนาคตของยุโรปในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะสิ้นสุดลง กล่าวคือ การประชุมที่เตหะราน (Tehran Conference ค.ศ. ๑๙๔๓)* การประชุมที่ไคโร (Cairo Conference ค.ศ. ๑๙๔๓)* การประชุมที่ยัลตา (Yalta Conference ค.ศ. ๑๙๔๔)* และการประชุมที่พอทสดัม (Potsdam Conference ค.ศ. ๑๙๔๔)*
เมื่อประเทศพันธมิตรยกพลขึ้นบกในวันดี-เดย์ (D-Day)* ที่หาดนอร์มองดีเมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๔ และสามารถปลดปล่อยเบลเยียม เนเธอร์แลนด์และฝรั่งเศสได้สำเร็จ กองทัพเยอรมนีเริ่มเป็นฝ่ายล่าถอยอย่างต่อเนื่อง และหลังยุทธการที่เบอร์ลิน (Battle of Berlin)* ค.ศ. ๑๙๔๔ เยอรมนีก็ยอมแพ้ สงครามในยุโรปจึงสิ้นสุดลงพร้อมกับการล่มสลายของจักรวรรดิไรค์ที่ ๓ (Third Reich)* ชัยชนะในสงครามโลกทำให้สหภาพโซเวียตมีฐานะเป็นประเทศอภิมหาอำนาจและเริ่มขยายอิทธิพลและอำนาจเข้าครอบงำประเทศยุโรปตะวันออก นโยบายดังกล่าวได้นำไปสู่ความขัดแย้งและการแข่งขันกันทางการเมืองกับสหรัฐอเมริกา สงครามเย็นจึงก่อตัวขึ้นในยุโรปช่วงปลาย ค.ศ. ๑๙๔๕ และในเวลาอันสั้นก็ขยายขอบเขตออกไปทั่วโลก
หลังสงครามโลกสิ้นสุดลง สหภาพโซเวียตหันมาปกครองประเทศอย่างเข้มงวดอีกครั้งหนึ่งและประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ๕ ปี ฉบับที่ ๔ และ ๕ เพื่อฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจของประเทศในต้น ค.ศ.๑๙๔๙ มีการจัดตั้งองค์การโคเมคอน (Comecon)* ขึ้นเพื่อตอบโต้แผนมาร์แชลล์ (Marshall Plan)* ของสหรัฐอเมริกาและเพื่อร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหภาพโซเวียตกับประเทศยุโรปตะวันออก ขณะเดียวกันก็มีการจัดตั้งสำนักงานข่าวสารคอมมิวนิสต์ (Communist Information Bureau)* หรือองค์การโคมินฟอร์ม (Cominform)* ขึ้นเพื่อควบคุมประเทศยุโรปตะวันออกและเพื่อเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ข่าวสารลัทธิคอมมิวนิสต์ ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๒ มีการเปิดประชุมใหญ่พรรคครั้งที่ ๑๙ ขึ้นที่กรุงมอสโกเพื่อสรุปบทเรียนจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ และกำหนดแนวนโยบายของประเทศหลังสงคราม มีการเปลี่ยนชื่อพรรคคอมมิวนิสต์จากพรรคคอมมิวนิสต์ทั้งมวลแห่งบอลเชวิค (All Union Communist Party of Bolsheviks) เป็นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสหภาพโซเวียต (Communist Party of the Soviet Union-CPSU) หลังการประชุมใหญ่ครั้งนี้ไม่นานนัก มีการสืบพบแผนฆาตกรรมผู้นำพรรคและบุคคลสำคัญของประเทศที่เรียกว่า แผนฆาตกรรมของคณะแพทย์ (Doctors’ Plot)* ใน ค.ศ. ๑๙๕๓ การกวาดล้างอย่างรุนแรงจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ดำเนินไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เพราะสตาลินถึงแก่อสัญกรรมในต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๕๓
หลังอสัญกรรมของสตาลิน เป็นที่คาดหมายกันว่าเกออร์กี มาเลนคอฟ (Georgi Malenkov)* จะได้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรค แต่นีกีตา ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev)* ร่วมมือกับเบเรียหัวหน้าตำรวจลับ และเวียเชสลัฟ โมโลตอฟ (Vyasheslav Molotov)* แกนนำพรรคอาวุโสขัดขวางและในท้ายที่สุดครุชชอฟก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้นำพรรคใน ค.ศ. ๑๙๕๖ ในการประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตครั้งที่ ๒๐ (Twentieth Congress of the Communist Party of the Soviet)* ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๕๖ ครุชชอฟได้ประกาศนโยบายต่างประเทศด้วยหลักการการอยู่ร่วมกันโดยสันติ (peaceful coexistence) กับประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแตกต่างกัน และการยอมรับแนวทางอันหลากหลายของพรรคคอมมิวนิสต์ไนประเทศยุโรปตะวันออกในการสร้างสรรค์ระบอบสังคมนิยมที่แตกต่างจากสหภาพโซเวียต เขาประกาศยุบค่ายกักกันแรงงานและยกเลิกการทำรุณหฤโหดต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องมือของพรรครวมทั้งผ่อนคลายความเข้มงวดทางสังคมและการเมือง นอกจากนี้ ครุชชอฟยังกล่าวสุนทรพจน์ลับโจมตีสตาลินและแนวความคิดลัทธิการบูชาบุคคล (Cult of Personality)* ที่สตาลินสร้างขึ้นเพื่อทำลายแนวความคิดและอิทธิพลของลัทธิสตาลิน (Stalinism)* การประชุมใหญ่ ค.ศ. ๑๙๕๖ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของนโยบายการล้มล้างอิทธิพลสตาลิน (De-Stalinization)* และนำไปสู่บรรยากาศเสรีที่เป็นประชาธิปไตยทั้งในสหภาพโซเวียตและประเทศบริวารโซเวียต (Soviet Bloc) ครุชชอฟจึงมีบทบาทโดดเด่นในฐานะผู้นำนักปฏิรูป
นโยบายการล้มล้างอิทธิพลสตาลินทำให้ประเทศยุโรปตะวันออกเห็นเป็นโอกาสเคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมือง แม้สหภาพโซเวียตจะสนับสนุนแนวทางการปฏิรูปในโปแลนด์ที่มีวลาดิสลัฟ โกมุลกา (Wladyslav Gomulka) เป็นผู้นำ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางปฏิรูปของอิมเร นอจ (Imre Nagy) ในฮังการีซึ่งต้องการแยกตัวออกจากองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ (Warsaw Treaty Organization-WTO)* และให้สหภาพโซเวียตถอนกำลังออกจากประเทศ สหภาพโซเวียตจึงส่งกำลังทหารปราบปรามการลุกฮือของชาวฮังการี (Hungarian Uprising)* ใน ค.ศ. ๑๙๕๖ และสนับสนุนให้ยานอช คาดาร์ (János Kádár)* เป็นผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ฮังการีสืบต่อจากนอจ ในการบุกปราบปรามฮังการีครั้งนี้ยอซีป บรอชหรือตีโต (Josip Broz; Tito)* ผู้นำยูโกสลาเวียที่เพิ่งปรับฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหภาพโซเวียตใหม่ก็สนับสนุนครุชชอฟอย่างมาก
ใน ค.ศ. ๑๙๕๗ สหภาพโซเวียตประสบความสำเร็จในการส่งดาวเทียมสปุตนิค (Sputnik) ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของโลกไปโคจรรอบโลกได้สำเร็จ อีก ๔ ปีต่อมาในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๖๑ ก็ส่งยานอวกาศวอสตอค ๑ (Vostok I) พร้อมกับมนุษย์คนแรกไปโคจรรอบโลกอยู่ในอวกาศครบ ๑ รอบเป็นเวลา ๑๐๘ นาที ยูรี กาการิน (Yuri Gagarin) มนุษย์อวกาศคนแรกของโลกกลายเป็นวีรบุรุษของสหภาพโซเวียต ความสำเร็จทางอวกาศดังกล่าวทำให้สหภาพโซเวียตสามารถพัฒนาระบบการส่งหัวรบนิวเคลียร์ในรูปขีปนาวุธไปโจมตีในระยะไกลได้และมีศักยภาพทางนิวเคลียร์เท่าเทียมสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตาม ต่อมาครุชชอฟก็ตระหนักถึงภัยของสงครามนิวเคลียร์และไม่ต้องการเผชิญหน้าโดยตรงกับสหรัฐอเมริกา ครุชชอฟจึงเปิดทางที่จะให้มีการเจรจาลดกำลังอาวุธและควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ทั้งกับสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปตะวันตกจนท้ายที่สุดได้นำไปสู่การลงนามร่วมกันระหว่างสหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสหภาพโซเวียตที่กรุงมอสโกในสนธิสัญญาห้ามการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Test Ban Treaty)* ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๖๓
ในต้นทศวรรษ ๑๙๖๐ บรรยากาศความร่วมมืออันดีระหว่างประเทศได้เปราะบางขึ้นเมื่อสหภาพโซเวียตได้สร้างกำแพงเบอร์ลิน (Berlin Wall)* ใน ค.ศ. ๑๙๖๑ ปิดกั้นพรมแดนในนครเบอร์ลินระหว่างเบอร์ลินตะวันตกกับเบอร์ลินตะวันออกเพื่อป้องกันการหลบหนีของชาวเยอรมันในเยอรมนีตะวันออกมาเยอรมนีตะวันตก ต่อมาในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๖๒ สหภาพโซเวียตก็จุดชนวนความตึงเครียดของสงครามเย็นในวิกฤตการณ์ขีปนาวุธที่คิวบา (Cuba Missile Crisis) วิกฤตการณ์ขีปนาวุธที่คิวบาส่งผลกระทบต่อสถานภาพความเป็นผู้นำของครุชชอฟไม่น้อยเพราะฝ่ายกองทัพไม่พอใจการดำเนินนโยบายของครุชชอฟอย่างมาก และสาธารณรัฐประชาชนจีนซึ่งขุ่นเคืองการวิพากษ์โจมตีสตาลินของครุชชอฟมาก่อนก็โจมตีสหภาพโซเวียตอย่างหนักโดยกล่าวหาว่าสหภาพโซเวียตอ่อนข้อต่อสหรัฐอเมริกาและเป็นฝ่ายลัทธิแก้ที่ไม่ยึดมั่นในหลักการลัทธิมากซ์-เลนิน ความเพลี่ยงพล้ำทางการทูตของครุชชอฟดังกล่าวจึงนำไปสู่การคบคิดของกลุ่มแกนนำพรรคที่มีเลโอนิด เบรจเนฟ (Leonid Brezhnev)* สหายสนิทที่ครุชชอฟไว้วางใจเป็นผู้นำ ครุชชอฟจึงถูกบีบบังคับให้ลาออกจากตำแหน่งผู้นำพรรคและผู้นำประเทศในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๖๔ ด้วยข้ออ้างปัญหาสุขภาพ
การสิ้นอำนาจของครุชชอฟไม่เพียงเป็นการสิ้นสุดของบรรยากาศเสรีทางประชาธิปไตยเท่านั้น แต่ยังเป็นการเริ่มต้นสมัยของความอับเฉาทางปัญญาและการควบคุมทางสังคมที่เข้มงวดอีกครั้งหนึ่ง เบรจเนฟผู้นำคนใหม่เป็นคนหัวเก่าและผู้นิยมสตาลิน เขานำระบอบสตาลินกลับมาใช้ปกครองประเทศอีกครั้งหนึ่งและสนับสนุนให้ยูรี อันโดรปอฟ (Yuri Andropov)* หัวหน้าคณะกรรมาธิการเพื่อความมั่นคงแห่งรัฐหรือเคจีบี (Committee for State Security-KGB)* มีอำนาจมากขึ้นในการควบคุมและปราบปรามประชาชน ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๖๙ และ ค.ศ. ๑๙๗๖-๑๙๗๓ รัฐบาลเพิ่มมาตรการเข้มงวดทางสังคมและปราบปรามการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะการกวาดล้างซามิซดัต (Samizdat) สิ่งพิมพ์ใต้ดินที่เป็นสื่อแสดงออกทางความคิดเห็นและเป็นรูปแบบของการเคลื่อนไหวต่อสู้ของขบวนการประชาชนในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๖๘ สหภาพโซเวียตยังส่งกองทัพขององค์การสนธิสัญญาวอร์ซอปราบปรามขบวนการประชาธิปไตยในเชโกสโสวะเกียซึ่งมีอะเล็กซานเดอร์ ดูบเชก (Alexander Dubček)* เป็นผู้นำ ต่อมาในปลายเดือนกันยายน เบรจเนฟ ก็ประกาศหลักการเบรจเนฟ (Brezhnev Doctrine)* โดยยํ้าความมีอธิปไตยจำกัดของประเทศสังคมนิยมและการยืนยันสิทธิและพันธะหน้าที่ของสหภาพโซเวียตที่จะพิทักษ์ปกป้องความมั่นคงของระบอบสังคมนิยมในประเทศยุโรปตะวันออกและการจะเข้าแทรกแซงทางทหารในประเทศยุโรปตะวันออกเพื่อปราบปรามศัตรูของระบอบสังคมนิยม หลักการเบรจเนฟไม่เพียงเป็นการประกาศเขตอิทธิพลของสหภาพโซเวียตเท่านั้นแต่ยังเป็นมาตรการควบคุมประเทศยุโรปตะวันออกเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของสหภาพโซเวียตด้วย
ในต้นทศวรรษ ๑๙๗๐ สหรัฐอเมริกาได้ปรับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้ใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งระหว่างสหภาพโซเวียตกับจีนดำเนินนโยบายที่เรียกว่าการเมืองสามเส้าโดยสหรัฐอเมริกาเป็นฝ่ายถ่วงดุลในการเจรจาติดต่อกับ ๒ ประเทศมหาอำนาจนโยบายดังกล่าวมีส่วนทำให้บรรยากาศอันตึงเครียดของสงครามเย็นในยุโรปและดินแดนส่วนอื่น ๆ ของโลกผ่อนคลายลง และนำไปสู่ยุคแห่งการผ่อนคลายความตึงเครียด (Deténte)* สหภาพโซเวียตได้ประชุมหารือร่วมกับสหรัฐอเมริกาหลายครั้งเพื่อควบคุมการสะสมยุทโธปกรณ์และการจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ จนมีการลงนามร่วมกันในข้อตกลงการเจรจาจำกัดอาวุธทางยุทธศาสตร์ครั้งที่ ๑ (Strategic Arms Limitation Talks-SALT I) ที่กรุงมอสโกในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๗๒ ในขณะเดียวกันอันเดรย์ โกรมีโค (Andrei Gromyko)* รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศโซเวียตก็หันมาปรับความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับประเทศตะวันตกโดยเฉพาะเยอรมนีตะวันตก และนำไปสู่การตกลงเกี่ยวกับปัญหาสถานภาพนครเบอร์ลินและเส้นเขตแดนระหว่างเยอรมนีตะวันตกกับโปแลนด์ ความตกลงดังกล่าวมีส่วนทำให้นโยบายมุ่งตะวันออก (Ostpolitik)* ของวิลลี บรันดท์ (Willy Brandt)* นายกรัฐมนตรีเยอรมนีตะวันตกประสบความสำเร็จมากขึ้น ทั้งทำให้เกิดการประชุมครั้งสำคัญระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรปตะวันตกอื่นๆ ในการประชุมเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือกันในยุโรปหรือซีเอสซีอี (Conference on Security and Cooperation in Europe-CSCE)* ใน ค.ศ. ๑๙๗๕ ผลที่สำคัญของการประชุมคือ ข้อตกลงเฮลซิงกิ (Helsinki Agreement)* ซึ่งยอมรับการแบ่งเขตแดนระหว่างยุโรปตะวันตกกับยุโรปตะวันออก และความร่วมมือกันทางด้านต่าง ๆ แต่ที่สำคัญที่สุดคือข้อตกลงในหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในประเทศต่าง ๆ ข้อตกลงดังกล่าวนี้ได้ก่อให้เกิดการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพในประเทศยุโรปตะวันออกและการก่อตัวของขบวนการประชาธิปไตย เช่น กลุ่มกฎบัตร ๗๗ (Charter 77)* ในเชโกสโลวะเกียและขบวนการโซลิดาริตี (Solidarity) ในโปแลนด์ซึ่งรัฐบาลโซเวียตไม่อาจปราบปรามได้
ในต้นทศวรรษ ๑๙๘๐ เบรจเนฟล้มป่วยและแทบจะไม่มีบทบาทและอำนาจในการตัดสินใจใด ๆ ในเรื่องนโยบายการปกครองทั้งภายในและภายนอกประเทศ แกนนำโปลิตบูโรได้พยายามปกปิดอาการป่วยของเบรจเนฟต่อสาธารณชนและโหมสดุดีความเป็นผู้นำของเบรจเนฟอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้ตระหนักถึงการชักใยอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ในช่วงเวลาเดียวกัน สหภาพโซเวียตได้ส่งกองทหารเข้าแทรกแซงในอัฟกานิสถานซึ่งทำให้บรรยากาศการเมืองโลกตึงเครียดและในเวลาต่อมาสงครามอัฟกานิสถานได้กลายเป็น “สงครามเวียดนามของสหภาพโซเวียต”
ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๒-๑๙๘๕ สหภาพโซเวียตมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ๒ คน คือ ยูรี อันโดรปอฟ และ คอนสตันติน เชียร์เนนโค (Konstantin Chernenko)* ซึ่งยังคงสานต่อแนวนโยบายของเบรจเนฟและต่างก็เสียชีวิตลงด้วยปัญหาสุขภาพและวัยสูงอายุ ใน ค.ศ. ๑๙๘๕ มีฮาอิล กอร์บาชอฟ (Mikhail Gorbachev)* คอมมิวนิสต์หัวปฏิรูปในวัย ๕๔ ปีได้รับเลือกเป็นผู้นำประเทศ เขาประกาศที่จะผลักดันสหภาพโซเวียตให้ก้าวไปข้างหน้าในระบอบสังคมนิยมที่เป็นประชาธิปไตยทุก ๆ ด้านตามแนวความคิดกลาสนอสต์ (Glasnost) และเปเรสตรอยกา (Perestroika) หรือนโยบายเปิด-ปรับ ซึ่งหมายถึงการปรับและเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมให้เป็นไปในแนวทางประชาธิปไตย กอร์บาชอฟยังประกาศนโยบายที่จะยุติการแข่งขันด้านสะสมกำลังอาวุธ และเน้นการร่วมมือแก้ไขปัญหาระดับโลกกับนานาประเทศเพื่อ ประโยชน์ของมนุษยชาติโดยส่วนรวม การก้าวสู่อำนาจของกอร์บาชอฟจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์โซเวียตและเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเวลาต่อมา
เมื่อเกิดเหตุการณ์อุบัติเหตุเชียร์โนบิล (Chernobyl Accident)* ซึ่งโรงงานผลิตไฟฟ้าด้วยพลังนิวเคลียร์ระเบิดขึ้นที่เมืองเชียร์โนบิลใกล้กรุงเคียฟ (Kiev) ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๘๖ รัฐบาลโซเวียตในระยะแรกพยายามปิดข่าวแต่สารกัมมันตรังสีที่แพร่กระจายออกไปในวงกว้าง รวมทั้งไฟที่ลุกไหม้นานกว่าสัปดาห์ ทำให้รัฐบาลไม่สามารถปิดข่าวได้อีกและต้องขอความช่วยเหลือจากประเทศต่าง ๆ เพื่อควบคุมการแพร่กระจายกัมมันตรังสี อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้รัฐบาลเร่งดำเนินนโยบายกลาสนอสต์อย่างจริงจังโดยยกเลิกการควบคุมสื่อมวลชนและไม่ให้มีการปิดบังข่าวสารอีกต่อไปทั้งเปิดทางให้มีการตรวจสอบการดำเนินงานของรัฐบาลด้วยระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๖-๑๙๘๘ จึงเป็นช่วงของการเกิดบรรยากาศเสรีทางความคิดและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม สหภาพโซเวียตยังหันมาเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศด้วยเพื่อสร้างบรรยากาศการเมืองโลกที่สงบอันจะเอื้อประโยชน์ต่อการปฏิรูปภายในประเทศ เอดูอาร์ด เชวาร์ดนาดเซ (Eduard Shevardnadze) รัฐมนตรีต่างประเทศได้ปรับนโยบายต่างประเทศให้มีลักษณะยืดหยุ่นและผ่อนคลายมากขึ้นจนนำไปสู่การประชุมสุดยอดระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาที่นครเจนีวา (ค.ศ. ๑๙๘๕) กรุงเรกยะวิก (Reykjavik) สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ (ค.ศ. ๑๙๘๘) กรุงวอชิงตัน ดี.ชี. (ค.ศ. ๑๙๘๗) และกรุงมอสโก (ค.ศ. ๑๙๘๘) นอกจากนี้ สหภาพโซเวียตยังปรับความสัมพันธ์กับสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ดีขึ้น และประกาศจะถอนกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานซึ่งยึดครองนานถึง ๙ ปี ให้หมดสิ้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๙ ด้วย
การปฏิรูปทางการเมืองและสังคมในสหภาพโซเวียตเปิดโอกาสให้กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยและเริ่มเคลื่อนไหวแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตด้วยจนนำไปสู่การปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๘๙ (Revolutions of 1989)* สหภาพโซเวียตปฏิเสธที่จะใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงและสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีตามระบอบประชาธิปไตย นโยบายดังกล่าวจึงนำไปสู่การสิ้นสุดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ในเยอรมนีตะวันออก โปแลนด์ ฮังการี และเชโกสโลวะเกียในช่วงปลาย ค.ศ. ๑๙๘๙-๑๙๙๐ และในปลาย ค.ศ. ๑๙๘๙ สหภาพโซเวียตกับสหรัฐอเมริกาซึ่งประชุมกันที่มอลตา (Malta) ก็ประกาศการสิ้นสุดของสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ การประกาศดังกล่าวมีส่วนทำให้กำแพงเบอร์ลินลูกทำลายลงในต้น ค.ศ. ๑๙๙๐ ในฤดูร้อน ค.ศ. ๑๙๙๐ กอร์บาชอฟก็ยอมให้เยอรมนีตะวันออกรวมเข้ากับเยอรมนีตะวันตกและไม่ขัดขวางที่ประเทศเยอรมนีใหม่จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization-NATO)* การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรปตะวันออกได้ก่อให้เกิดกระแสชาตินิยมและความขัดแย้งทางการเมืองภายในสาธารณรัฐโซเวียตต่าง ๆ และทำให้รัฐบอลติก (Baltic States)* ซึ่งประกอบด้วย เอสโตเนีย (Estonia) ลัตเวีย (Latvia) และลิทัวเนีย (Lithuania) เคลื่อนไหวเรียกร้องเอกราชเพื่อแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตด้วย บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin)* คู่แข่งทางการเมืองของกอร์บาชอฟและเป็นประธานาธิบดีของสหพันธรัฐรัสเซียก็สนับสนุนการแยกตัวของสาธารณรัฐโซเวียตต่าง ๆ กอร์บาชอฟพยายามแก้ไขปัญหาด้วยการยอมให้สาธารณรัฐโซเวียตต่าง ๆ มีอำนาจอธิปไตยภายในมากขึ้นและเสนอการจัดทำสนธิสัญญาสหภาพใหม่ (New Treaty of the Union) แต่ก็ประสบความล้มเหลว นอกจากนี้ ความล้มเหลวของการปฏิรูปเศรษฐกิจให้เป็นตลาดเสรีก็ทำให้กอร์บาชอฟยิ่งถูกต่อต้านมากขึ้นจากฝ่ายต่าง ๆ และความนิยมของประชาชนต่อเขาก็เริ่มลดน้อยลงมากขึ้น
ต่อมาในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ กองทัพและกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวอนุรักษ์ได้ก่อรัฐประหารเพื่อโค่นอำนาจกอร์บาชอฟ แต่ล้มเหลวเพราะประชาชนซึ่งมีเยลต์ซินเป็นผู้นำรวมพลังกันต่อต้านจนได้รับชัยชนะ หลังรัฐประหาร เดือนสิงหาคม เยลต์ซินมีบทบาทและอำนาจมากขึ้นจนมีฐานะเป็นเสมือนผู้นำประเทศแทนกอร์บาชอฟ เขาออกกฤษฎีกาหลายฉบับจำกัดบทบาทและอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ในสหพันธรัฐรัสเซีย และต่อมาก็เจรจาตกลงกับผู้นำของยูเครนและเบสารุส (Belarus) และร่วมกันลงนามจัดตั้งเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States-CIS)* ขึ้นที่กรุงมินสก์ (Minsk) นครหลวงของเบลารุสเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ ตลอดจนโน้มน้าวให้สาธารณรัฐโซเวียตอื่น ๆ เข้าร่วมด้วย ในวันที่ ๒๑ ธันวาคม บรรดาสาธารณรัฐโซเวียตได้ออกคำประกาศอัลมา-อาตา (Alma-Ata Declaration) ว่าทั้ง ๑๑ ประเทศมีฐานะเท่าเทียมกันในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งเครือรัฐเอกราชทั้งเป็นผู้สืบสิทธิของสหภาพโซเวียต คำประกาศอัลมา-อาตาจึงทำให้สหภาพโซเวียตสลายตัวลง และอีก ๔ วันต่อมา กอร์บาชอฟก็ประกาศลาออกจากการเป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต ธงแดงซึ่งมีสัญลักษณ์ดวงดาวเหนือค้อนกับเคียวที่เคยโบกสะบัดเหนือเครมสินเป็นเวลา ๔ ปี ได้ถูกลดลงจากเสาและแทนที่ด้วยธงชาติสามสีของสหพันธรัฐรัสเซียที่เคยใช้ในสมัยซาร์ และเป็นการเริ่มต้นของชาติรัสเซียใหม่บนเส้นทางประชาธิปไตย
หลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย เยลต์ซินซึ่งยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐรัสเซียจนถึง ค.ศ. ๑๙๙๙ ได้เริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการลอยตัวราคาสินค้าต่าง ๆ และเน้นความเข้มงวดนโยบายการเงินและการคลังเพื่อปัองกันภาวะเงินเฟ้อ แต่ราคาสินค้าที่ถีบตัวสูงขึ้นทุกขณะจากร้อยละ ๒๕๐ ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๒ เป็นร้อยละ ๙๐๐ ในเดือนมีนาคมและในปลาย ค.ศ. ๑๙๙๒ ราคาสินค้าทั่วไปที่ตํ่าที่สุดก็มีราคาโดยเฉลี่ยสูงถึง ๓๐ เท่า ของราคาต้นปี ได้ทำให้ความเดือดร้อนขยายตัวไปทั่วเพราะประชาชนส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพยากจน การต่อต้านรัฐบาลจึงก่อตัวขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทั้งความนิยมต่อเยลต์ชินก็ลดลงอย่างมาก รัฐสภาพยายามเรียกร้องให้มีการควบคุมราคาสินค้า และให้แปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปทั้งพยายามทอนอำนาจประธานาธิบดีลงซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมือง เยลต์ชินจึงประกาศใช้อำนาจบริหารพิเศษโดยถือว่าคำสั่งของประธานาธิบดีคืออำนาจสูงสุดของประเทศและรัฐสภาไม่มีอำนาจล้มล้างอำนาจประธานาธิบดี ความขัดแย้งดังกล่าวได้นำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่ากบฏเดือนตุลาคม (October Putsch)* ค.ศ. ๑๙๙๓ และรัฐสภาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ในปลายปีเดียวกันเยลต์ชินประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดีมากขึ้น
ในปลาย ค.ศ. ๑๙๙๔ เชชเนีย (Chechnya) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐปกครองตนเอง ประกาศเอกราชแยกตัวออกจากรัสเซีย แต่เยลต์ชินไม่เห็นด้วยและใช้กำลังเข้าปราบปรามซึ่งนำไปสู่สงครามเชชเนียระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๔-๑๙๙๖ สงครามเชชเนียและภาวะเศรษฐกิจที่ยํ่าแย่ทำให้ความนิยมต่อเยลต์ซินลดลง เขาจึงพยายามหาทางยุติปัญหาเชชเนียด้วยการเจรจายุติการสู้รบและให้ชะลอเวลาเรื่องการแยกตัวออกไปอีก ๕ ปี ความสำเร็จในการแก้ปัญหาดังกล่าวมีส่วนทำให้เยลต์ซินได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๙๙๖ โดยชนะคู่แข่งจากพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเฉียดฉิว ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๖-๑๙๙๙ รัสเซียพยายามแสดงบทบาทสำคัญในเวทีการเมืองระหว่างประเทศในวิกฤตการณ์คอซอวอ (Kosovo Crisis) และเน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราชและประเทศยุโรปตะวันตก เมื่อเยลต์ซินลาออกจากตำแหน่ง ด้วยปัญหาสุขภาพเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๙ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin)* ได้สืบทอดตำแหน่งแทนในปีที่ปูตินขึ้นสู่อำนาจ คริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ก็สถาปนาซาร์นิโคลัสพระมเหสี พระราชโอรส และพระราชธิดา รวม ๗ พระองค์ เป็นนักบุญในวันที่ ๑๔ สิงหาคม ค.ศ. ๒๐๐๐ ด้วยเหตุผลที่ว่าทุกพระองค์ทรงยืนหยัดอย่างองอาจในความทุกข์ทรมานในการต่อสู้กับปีศาจแห่งความชั่วร้ายการสถาปนาดังกล่าวจึงเป็นเสมือนการฟื้นฟูพระเกียรติยศอันสูงสุดของราชวงศ์โรมานอฟ และมีส่วนทำให้การชื่นชมซาร์กลับมาเป็นกระแสสำคัญในการเมืองและสังคมรัสเซียอีกครั้งหนึ่ง ปูตินประกาศใช้มาตรการเด็ดขาดในการแก้ปัญหาเชชเนียและสนับสนุนประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) แห่งสหรัฐอเมริกา ในการต่อต้านการก่อการร้ายรวมทั้งการทำสงครามในอัฟกานิสถานเพื่อตามจับอุซามะฮ์ บิน ลาดิน (Osama bin Laden) ผู้นำองค์การก่อการร้ายที่มีเครือข่ายทั่วโลก รัสเซียจึงเริ่มมีบทบาทในวงการเมืองโลกอีกครั้งหนึ่ง ใน ค.ศ. ๒๐๐๑ ปูตินก็ประกาศยุติข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการเก็บรักษาศพของเลนินซึ่งประชาชนจำนวนมากต้องการให้นำไปฝังด้วยการให้เก็บศพไว้ต่อไปเพราะถือเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในช่วงการปกครองสังคมนิยม ระหว่าง ค.ศ. ๒๐๐๒-๒๐๐๓ ปูตินสนับสนุนให้องค์การสหประชาชาติ (United Nations)* มีบทบาทมากขึ้นในการแก้ไขปัญหาในประเทศอิรัก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักการเมืองดีเด่นของรัสเซีย และได้รับความนิยมจากประชาชนในความสำเร็จของการสร้างรัสเซียให้มีเสถียรภาพทางการเมืองและเศรษฐกิจรวมทั้งการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย ปูตินจึงได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ ๒ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๔
ปูตินประสบความสำเร็จอย่างมากในการบริหารปกครองประเทศสมัยแรกระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๐๔ เขาได้รับยกย่องเป็นนักการเมืองดีเด่นประจำปีติดต่อกันถึง ๕ ปี เศรษฐกิจของประเทศที่พื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและระบอบประชาธิปไตยที่เริ่มพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไปและการกลับมามีบทบาทในการเมืองระหว่างประเทศอีกครั้งทำให้ปูตินเป็นที่ชื่นชมและยอมรับจากประชาชนมากขึ้นทั้งอังกฤษสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปก็สนับสนุนให้สหพันธรัฐรัสเซียเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (World Trade Or§anization-WTO)* และเป็นสมาชิกในองค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปลาย ค.ศ. ๒๐๐๓ ถึงต้น ค.ศ. ๒๐๐๔ ปูตินได้สร้างชื่อเสียงด้วยการออกคำสั่งจับคุมมีฮาอิล โคคอร์ดอฟสกี (Mikhail Khodorkovsky) นักธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุดของประเทศด้วยข้อหาหลบเลี่ยงภาษีและทำธุรกรรมทางการเงินที่ผิดกฎหมาย การจับคุมโคดอร์คอฟสกีและการบีบบังคับให้เขาจ่ายภาษีย้อนหลังรวมทั้งการสอบสวนบริษัทยูคอส (Yukos) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตนํ้ามันรายใหญ่ที่สุดของประเทศที่โคดอร์คอฟสกีเป็นเจ้าของจึงมีนัยว่ารัฐบาลกำลังเริ่มนโยบายต่อต้านกลุ่มคณาธิปไตยในวงการธุรกิจต่าง ๆ และมุ่งกำจัดอาชญากรรมทางเศรษฐกิจในการใช้อำนาจทางการเงินและอิทธิพลเพื่อผูกขาดวิถีและวงจรทางเศรษฐกิจของประเทศ สาธารณชนส่วนใหญ่เห็นชอบกับนโยบายของรัฐบาลเพราะเห็นว่ากลุ่มคณาธิปไตยเป็นพวกโกงกินและปล้นทรัพย์สินของชาติ ปูตินลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัยที่ ๒ และได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงร้อยละ ๗๑ ของผู้ใช้สิทธิออกเสียง เขาเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๔ ประชาชนทั่วไปต่างศรัทธาและเชื่อมั่นว่าเขาจะทำให้ระบอบทุนนิยมและประชาธิปไตยที่เพิ่งหยั่งรากลึกลงบนแผ่นดินรัสเซียเติบโตและงอกงามขึ้น และรัสเซียจะยืนผงาดได้อย่างองอาจและมั่นคงอีกครั้งในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ที่กำลังเริ่มต้น
ในสมัยที่ ๒ ของการบริหารประเทศ (ค.ศ. ๒๐๐๔-๒๐๐๘) ปูตินยังคงประสบความสำเร็จในการปกครองประเทศและเป็นที่นิยมของประชาชนอย่างต่อเนื่องเศรษฐกิจของรัสเซียขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องจนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจโลกและมีเงินตราสำรองต่างประเทศเป็นอันดับ ๓ ของโลก โดยถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ ประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐทั้งยังกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่มีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วซึ่งประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย และจีนซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “BRIC” ปัจจัยสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจมาจากน้ำมันดิบที่รัสเซียเป็นผู้ผลิตและส่งออกรายใหญ่ที่สุดนอกกลุ่มโอเปก (Organization of Petroleum Exporting Countries-OPEC) มีราคาสูงขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๔ ในอัตรา ๔๐ ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลและเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ รัสเซีย
ในด้านนโยบายต่างประเทศ รัสเซียพยายามแสดง บทบาทในด้านต่าง ๆ ในเวทีโลกมากขึ้นและเน้นความร่วมมือกับต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรป ทั้งสนับสนุนการขยายสมาชิกของสหภาพยุโรป (European Union)* และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต แต่การที่ยุโรปยังคงต่อต้านรัสเซียเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการที่ทหารรัสเซียใช้ความรุนแรงกับพลเรือนในสงครามเชชเนีย ทำให้แผนการนำรัสเซียเข้าสู่ยุโรปยังคงเป็นอุปสรรค ใน ค.ศ. ๒๐๐๔ รัสเซียร่วมลงนามในพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) เพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อน ขณะเดียวกันก็ดำเนินนโยบายเด็ดขาดกับขบวนการก่อการร้ายภายในประเทศและต่อการแยกตัวของเชชเนียด้วยความระมัดระวัง โดยถือว่าเป็นปัญหาการเมืองภายในและไม่ต้องการให้ประเทศตะวันตกหรือองค์การระหว่างประเทศเข้ายุ่งเกี่ยวกับปัญหาเชชเนีย
ในปลาย ค.ศ. ๒๐๐๔ ถึงต้น ค.ศ. ๒๐๐๕ รัสเซียเข้าแทรกแซงการเมืองภายในของยูเครนด้วยการประกาศสนับสนุนวิคตอร์ ยานุโควิช (Viktor Yanukovych) ซึ่งมีนโยบายผูกมิตรกับรัสเซียและสนับสนุนการรวมยูเครนเช้ากับรัสเซียในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับวิคตอร์ ยูเชนโค (Viktor Yushenko)* ซึ่งมีนโยบายสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดอับประเทศตะวันตกมากกว่ารัสเซีย ประธานาธิบดีปูตินเดินทางมาเยือนยูเครนในช่วงการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งและส่งกลุ่มที่ปรึกษาทางการเมืองมาช่วยวางแผนหาเสียงและการโฆษณาประชาสัมพันธ์รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือจำนวนมากในการหาเสียง การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งนี้ได้นำไปสู่การชุมนุมทางการเมืองครั้งใหญ่ที่เรียกว่า การปฏิวัติสีส้ม (Orange Revolution)* โดยผู้สนับสนุนยูเชนโคใช้สีส้มเป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ ยูเชนโคมีชัยชนะซึ่งมีส่วนทำให้รัสเซียไม่พอใจเพราะไม่ต้องการให้ยูเครนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดอับประเทศตะวันตก
ใน ค.ศ. ๒๐๐๘ ดิมิตรี เมดเวเดฟ รองประธานาธิบดี วัย ๔๒ ปี ซึ่งใกล้ชิดอับอดีตประธานาธิบดีปูติน ลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๘ เมดเวเดฟมีชัยชนะอย่างท่วมท้นโดยได้คะแนนเสียงร้อยละ ๗๐.๒ และเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๘ ในวันรุ่งขึ้นอดีตประธานาธิบดีปูตินก็ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ปูตินได้แถลงนโยบายต่อสภาดูมาในวันเดียวอันว่ารัฐบาลจะดำเนินนโยบายตามคำบัญชาของประธานาธิบดีและร่วมมือกับสภาดูมาและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ เพื่อดำเนินการตาม “ยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศสู่ ค.ศ. ๒๐๒๐” (On the Strategy of Russian’s Development Unit 2020) ตามที่เคยแถลงไว้เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๘ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจให้เติบโตเข้มแข็งจนถึง ค.ศ. ๒๐๒๐ เพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางการเงินของโลกและการใช้นวัตกรรมเพื่อช่วยในการพัฒนาเศรษฐกิจการปรับปรุงระบบภาษีและเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุนและอื่น ๆ ตลอดจนการพัฒนาด้านสังคม ความมั่นคง และการปฏิรูประบบราชการ
ใน ค.ศ. ๒๐๑๐ ปูตินและเมดเวเดฟประกาศนโยบายต่อต้านการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ และรัฐบาลรณรงค์ต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ นโยบายดังกล่าวทำให้ทั้งปูตินและเมดเวเดฟได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นใน ค.ศ. ๒๐๑๑ เมดเวเดฟประกาศสนับสนุนปูตินให้ลงสมัครเป็นประธานาธิบดีและขอให้คริสตจักรรัสเซียออร์ทอดอกซ์ เห็นชอบกับข้อเสนอของเขาซึ่งก็ประสบความสำเร็จ ปูติน ในวัย ๕๙ ปีสมัครแข่งขันเป็นประธานาธิบดีในนามของพรรคยูไนเด็ดรัสเซียใน ค.ศ. ๒๐๑๒ และมีคะแนนนำเหนือผู้สมัครคนอื่น ๆ อย่างท่วมท้น โดยได้คะแนนเสียงร้อยละ ๖๔.๑๘ ทำให้ก้าวขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ ๓ ได้ตามหวังทันทีที่เข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคม ปูตินแต่งตั้งเมดเวเดฟเป็นนายกรัฐมนตรี บุคคลทั้งสองประกาศจะร่วมกันทำให้สหพันธรัฐรัสเซียในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ มีความทันสมัย เข้มแข็ง และก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น.