สลอบอดัน มีโลเซวิช เป็นประธานาธิบดีเซอร์เบีย (Serbia) ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๙-๑๙๙๗ และประธานาธิบดีสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (Federal Republic of Yugoslavia) ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๗-๒๐๐๐ เป็นผู้นำชาวเซิร์บชาตินิยมซึ่งมีนโยบายจะสร้างชาติเซอร์เบียใหญ่ด้วยการรวมชาวเซิร์บในดินแดนต่าง ๆ เข้าเป็นประเทศเดียวกันซึ่งนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองในสาธารณรัฐสโลวีเนีย (Slovenia) โครเอเชีย (Croatia) บอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา (Bosnia-Herzegovina) และคอซอวอ (Kosovo)* ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีสิทธิปกครองตนเองของสาธารณรัฐเซอร์เบีย ปัญหาสงครามคอซอวอมีส่วนทำให้มีโลเซวิชถูกจับและถูกส่งตัวให้ศาลอาชญากรระหว่างประเทศที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์พิจารณาคดีใน ค.ศ. ๒๐๐๑ แต่เขาถึงแก่อสัญกรรมก่อนที่การพิจารณาคดีจะเสร็จสิ้นลง
มีโลเซวิชเกิดเมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ ที่เมืองโปซาเรวัค (Pozarevac) เมืองเล็ก ๆ ใกล้กับกรุงเบลเกรด (Belgrade) เซอร์เบีย เป็นบุตรชายคนที่ ๒ ของสเวโตซาร์ มีโลเซวิช (Svetozar Milosevic) และสตานิสลาวา (Stanislava) บิดาเป็นนักบวชนิกายออร์ทอดอกซ์จากมอนเตเนโกร (Montenegro) ส่วนมารดาเป็นครูสอนหนังสือในเมืองโปซาเรวัคและสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ บิดาแยกทางกับมารดาตั้งแต่มีโลเซวิชยังเยาว์วัยและเดินทางกลับไปยังมอนเตเนโกร ต่อมาบิดายิงตัวตายใน ค.ศ. ๑๙๖๒ ส่วนมารดาก็แขวนคอตาย ใน ค.ศ. ๑๙๗๔ นอกจากนี้ ลุงซึ่งเป็นพี่ชายของมารดาก็ก่ออัตวินิบาตกรรมเช่นเดียวกัน
มีโลเซวิชเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนในบ้านเกิดและเป็นนักเรียนดีเด่นแม้เขาจะเป็นเด็กที่เงียบขรึมแต่ก็สนใจและร่วมกิจกรรมทางการเมืองทั้งชอบเขียนบทความทางการเมืองและสังคมในวารสารของโรงเรียนอยู่เสมอ ขณะที่เรียนอยู่ในโรงเรียนมัธยมมีโลเซวิชได้รู้จักและพบรักกับมีร์ยานา มาร์โควิช (Mirjana Markovic)๑ ทั้งคู่แต่งงานกันใน ค.ศ. ๑๙๖๕ และมีบุตรชายหญิงสองคนคือมารียา (Marija) และมาร์โก (Marko)
ใน ค.ศ. ๑๙๖๐ มีโลเซวิชเข้าศึกษาต่อด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเบลเกรด เขาเป็นนักศึกษาที่เรียนดีและได้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการฝ่ายอุดมการณ์ของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวียหรือพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียสาขามหาวิทยาลัย ความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ลัทธิมากซ์-เลนิน (Marxism-Leninism) และความเฉียบคมด้านทฤษฏีการเมือง ทำให้เขาได้รับสมญาว่า "เลนินน้อย" ในระหว่างศึกษาที่มหาวิทยาลัยเขาได้รู้จักและเป็นสหายกับอีวาน สตัมโบลิช (Ivan Stambolic) หลานลุงของปีเตอร์ สตัมโบลิช (Peter Stambolic) ประธานคณะกรรมาธิการบริหารของเซอร์เบีย สตัมโบลิชมีส่วนสนับสนุนให้มีโลเซวิชมี อำนาจในสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย
หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีใน ค.ศ. ๑๙๖๔ มีโลเซวิชทำงานเป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของนายกเทศมนตรีกรุงเบลเกรด ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการบริษัทเทคโนก๊าซ (Technogas) ซึ่งเป็นบริษัทก๊าซของรัฐบาลและสตัมโบลิชเป็นผู้อำนวยการอยู่ เมื่อสตัมโบลิชลาออกเพื่อไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเซอร์เบียใน ค.ศ. ๑๙๗๓ มีโลเซวิชก็ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้อำนวยการสืบแทน อีก ๕ ปีต่อมา ใน ค.ศ. ๑๙๗๘ เขาเป็นประธานธนาคารเบโอบังคา (Beobanka) ซึ่งเป็นธนาคารที่มีอิทธิพลมากของยูโกสลาเวียด้วยการสนับสนุนของสตัมโบลิชและดำรงตำแหน่งจนถึง ค.ศ. ๑๙๘๓ ตำแหน่งนี้เปิดโอกาสให้เขาได้เดินทางไปเยือนเมืองสำคัญของประเทศต่าง ๆ เช่น กรุงปารีสและนครนิวยอร์ก เขาจึงเห็นความสำคัญของการเรียนภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษเพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานทั้งเป็นประโยชน์ต่องานการเมืองของเขาในเวลาต่อมา ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๘๖ มีโลเซวิชได้รับเลือกเป็นประธานพรรคคอมมิวนิสต์ของกรุงเบลเกรดสืบแทนสตัมโบลิชซึ่งไปดำรงตำแหน่งประธานสันนิบาตคอมมิวนิสต์เซอร์เบีย ต่อมา เมื่อสตัมโบลิชขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบีย เขาก็สนับสนุนให้มีโลเซวิชลงสมัครเลือกตั้งเป็นประธานสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบียสืบแทนใน ค.ศ. ๑๙๘๗ ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ
เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียใน ค.ศ. ๑๙๗๔ เพื่อกระจายอำนาจการบริหารจากกรุงเบลเกรดและกำหนดให้มีคณะประธานาธิบดีร่วมกัน (Collective State Presidency) โดยให้ประธานาธิบดีจากสาธารณรัฐ ๖ แห่งและมณฑลอิสระอีก ๒ แห่งในสหพันธ์หมุนเวียนดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศวาระละ ๑ ปี ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในระหว่างชนชาติต่าง ๆ การกระจายอำนาจบริหารดังกล่าวจึงทำให้ชาวเซิร์บที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐบอสเนีย-เฮอร์เซโกวีนา โครเอเชีย และคอซอวออ้างว่าพวกตนเองได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลยูโกสลาเวียเท่าที่ควร มีโลเซวิชซึ่งมุ่งมั่นต่อแนวคิดชาตินิยมเซอร์เบียจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยูโกสลาเวียรวมอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจเข้าสู่ศูนย์กลางที่กรุงเบลเกรดมากขึ้น และต้องการให้เซอร์เบียมีอำนาจมากขึ้นในการปกครองแคว้นวอยวอดีนา (Vojvodina) และคอซอวอซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมเชื้อสายแอลเบเนีย ในช่วงนี้มีโลเซวิชได้แต่งตั้งผู้ที่สนับสนุนเขาให้ดำรงตำแหน่งสำคัญในสันนิบาตฯ และในองค์การสื่อสารมวลชนของรัฐเพื่อใช้เป็นฐานเสียงในการสร้างอำนาจให้แข็งแกร่ง
ใน ค.ศ. ๑๙๘๗ มีโลเซวิชเดินทางไปยังเมืองคอซอวอโพลเย (Kosovo Polje) เมืองเล็ก ๆ ในมณฑลคอซอวอเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน เพื่อเยี่ยมเยือนและรับฟังปัญหาของชนกลุ่มน้อยชาวเซิร์บซึ่งอาศัยอยู่ในแถบนั้น ชาวเซิร์บร้องเรียนว่าได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมจากชาวมุสลิมแอลเบเนียซึ่งเป็นประชากรร้อยละ ๙๐ ในคอซอวอ พวกเขาพยายามที่จะบุกเข้าไปในอาคารเพื่อพบปะกับมีโลเซวิชแต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นสกัดกั้นและทุบตี มีโลเซวิชได้ออกมาห้ามตำรวจและประกาศต่อฝูงชนชาวเซิร์บซึ่งออกอากาศผ่านสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์ว่า "ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ทำร้ายพวกคุณ" (No one would ever be allowed to beat you) คำพูดประโยคนี้ทำให้มีโลเซวิชกลายเป็นวีรบุรุษของชาวเซิร์บทั่วยูโกสลาเวีย สื่อมวลชนที่สนับสนุนเขาได้เผยแพร่ถ้อยคำและความคิดชาตินิยมของเขาซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเซอร์เบีย ในการประชุมของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบียครั้งที่ ๘ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ กันยายน ค.ศ. ๑๙๘๗ ปัญหาคอซอวอเป็นประเด็นการถกเถียงโต้แย้งอันดุเดือดระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนมีโลเซวิชกับฝ่ายที่สนับสนุนสตัมโบลิช และมีโลเซวิชมีชัยชนะทั้งสามารถทำลายอำนาจทางการเมืองของสตัมโบลิชได้สำเร็จ สตัมโบลิชต้องลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบียในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๘
ใน ค.ศ. ๑๙๘๘ มีโลเซวิชได้รับเลือกเป็นผู้นำของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งเซอร์เบียอีกสมัยหนึ่งเขาใช้สื่อมวลชนที่สนับสนุนเขาโฆษณาประชาสัมพันธ์แนวคิดชาตินิยมเซอร์เบีย โดยเฉพาะแนวทางการแก้ไขปัญหาคอซอวอ มีโลเซวิชได้สร้างสถานการณ์ให้ชาวเซิร์บก่อการจลาจลประท้วงผู้นำชาวแอลเบเนียในวอยวอดีนาและคอซอวอจนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้และต้องลาออกจากตำแหน่งในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนตามลำดับ เหตุการณ์นี้ทำให้มีโลเซวิชได้รับความนิยมในหมู่ชาวเซิร์บเพิ่มมากขึ้น ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๘๘ รัฐบาลของยูโกสลาเวียก็ลาออกทั้งคณะเพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองอันสืบเนื่องมาจากสาธารณรัฐต่าง ๆ ต้องการอำนาจในการปกครองตนเองมากขึ้น ต่อมาที่ประชุมสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวียจึงมีมติให้ยกเลิกระบบพรรคการเมืองเดียวและให้มีการเลือกตั้งแบบหลายพรรคการเมืองขึ้นทั่วสหพันธรัฐในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๘๙
ในการประชุมใหญ่แห่งชาติเซอร์เบียภายใต้การนำของมีโลเซวิชเมื่อวันที่ ๒๘ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๘๙ มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญของเซอร์เบียเพื่อลดอำนาจการปกครองตนเองของวอยวอดีนาและคอซอวอเพื่อให้เซอร์เบียสามารถควบคุมมณฑลทั้งสองได้อย่างใกล้ชิดอีกครั้ง องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศรวมทั้งสหภาพยุโรป (European Union)* วิพากษ์วิจารณ์มีโลเซวิชอย่างหนัก ขณะเดียวกัน นักชาตินิยมในสาธารณรัฐอื่น ๆ เช่น สโลวีเนียและโครเอเชียก็กล่าวหาว่าเขาต้องการจะสร้างชาติเซอร์เบียให้ยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหนือสาธารณรัฐอื่น ๆ ขบวนการต่อต้านชาวเซิร์บจึงขยายตัวมากขึ้นและความคิดที่จะแยกตัวเป็นอิสระของสาธารณรัฐต่าง ๆ ในสหพันธ์ฯก็รุนแรงมากขึ้น แต่มีโลเซวิชกลับได้รับความนิยมอย่างมากในเซอร์เบียและในหมู่ชาวเซิร์บที่เป็นชนกลุ่มน้อยในสาธารณรัฐต่าง ๆ และทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของเซอร์เบียเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๘๙ จนถึง ค.ศ. ๑๙๙๗ เขาไม่เห็นด้วยกับระบบหลายพรรคการเมืองและคัดค้านการเรียกร้องอิสรภาพในการปกครองตนเองของสาธารณรัฐต่าง ๆ
หลังการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๘๙ (Revolutions of 1989)* ในประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งทำให้พรรคคอมมิวนิสต์หมดอำนาจ สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวียจึงถูกยุบใน ค.ศ. ๑๙๙๐ และนำไปสู่การจัดตั้งพรรคการเมืองต่าง ๆ ขึ้นในแต่ละสาธารณรัฐมีโลเซวิชได้เปลี่ยนชื่อสันนิบาตคอมมิวนิสต์เซอร์เบียเป็นพรรคสังคมนิยมเซอร์เบียในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๐ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของเซอร์เบียซึ่งได้รับการรับรองในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๙๐ ได้กำหนดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรงและให้ประธานาธิบดีมีอำนาจมากขึ้น ในการเลือกตั้งเดือนธันวาคมซึ่งเป็นการเลือกตั้งอิสระแบบหลายพรรคการเมืองเป็นครั้งแรกของเซอร์เบียหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีโลเซวิชชนะการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างถล่มทลาย และใน ค.ศ. ๑๙๙๒ ก็ได้ รับเลือกเป็นสมัยที่ ๒ ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภานั้นสมาชิกพรรคสังคมนิยมเซอร์เบียของมีโลเซวิชมีชัยชนะอย่างท่วมท้นถึงร้อยละ ๘๐ ชาวมุสลิมแอลเบเนียในคอซอวอคว่ำบาตรการเลือกตั้งครั้งนี้ซึ่งทำให้แทบจะไม่มีฝ่ายค้านมีโลเซวิชในสภา ส่วนในสาธารณรัฐอื่น ๆ เช่น สโลวีเนียและโครเอเชียนั้น พรรคชาตินิยมที่สนับสนุนการแยกตัวเป็นอิสระจากยูโกสลาเวียเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้ง สโลวีเนียได้รัฐบาลชาตินิยมนำโดยมิลาน คูคาน (Milan Kucan) ส่วนโครเอเชียนำโดยฟรานโจ ทัจมัน (Franjo Tudjman) พรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งเคยปกครองบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาเพียงพรรคเดียวถูกแทนที่โดยรัฐบาลผสมของพรรคที่เป็นตัวแทนของสามเชื้อชาติ
เมื่อสโลวีเนียและโครเอเชียประกาศแยกตัวออกจากยูโกสลาเวียในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๑ รัฐบาลยูโกสลาเวียส่งกองทัพแห่งชาติยูโกสลาเวีย (Yugoslav National Army - JNA) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเซิร์บเข้าไปปราบปรามฝ่ายที่สนับสนุนการแยกตัว แต่สงครามในสโลวีเนียดำเนินไปได้เพียง ๑๐ วัน กองทัพของยูโกสลาเวียก็ถอนกำลังออกจากสโลวีเนีย เนื่องจากมีโลเซวิชได้เจรจาตกลงลับกับผู้นำสโลวีเนียโดยยอมให้สโลวีเนียเป็นเอกราชและต้องไม่ต่อต้านแผนของเขาในการจะยึดครองดินแดนของโครเอเชียส่วนที่มีชาวเซิร์บอาศัยอยู่จำนวนมาก อีกประการหนึ่งที่มีโลเซวิชไม่คัดค้านการแยกตัวของสโลวีเนียเพราะสโลวีเนียมีความเป็นเอกภาพ ทางเชื้อชาติโดยส่วนใหญ่เป็นชาวสโลวีเนียน แต่ในโครเอเชียมีชาวเซิร์บอาศัยอยู่ถึงร้อยละ ๑๒ มีโลเซวิชจึงเห็นว่าไม่ควรแยกออกจากยูโกสลาเวีย สงครามกลางเมืองในโครเอเชียจึงเริ่มขึ้นในแถบวูโควาร์ (Vukovar) โดยกองทัพแห่งชาติยูโกสลาเวียสนับสนุนชาวเซิร์บทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ การส่งกำลังหนุนและชี้แนะการต่อสู้ ดินแดนโครเอเชีย ๑ ใน ๓ จึงตกอยู่ในการยึดครองของพวกเซิร์บในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม สงครามในโครเอเชียก็สิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๑๙๙๕ ในสงครามครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตประมาณ ๒๐,๐๐๐ คนและไร้ที่อยู่อาศัยประมาณ ๔๐๐,๐๐๐ คน ชาวโครแอต-เซิร์บประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ คนต้องอพยพลี้ภัยจากเขตยึดครองคราจินา (Krajina) ของพวกเซิร์บไปอยู่ในบอสเนียและเซอร์เบีย
ในระหว่างที่เกิดสงครามในโครเอเชีย มาซิโดเนียก็ประกาศอิสรภาพในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๙๑ส่วน บอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาซึ่งเป็นสาธารณรัฐที่มีความหลากหลายของเชื้อชาติมากที่สุดในยูโกสลาเวียก็แยกตัวออกจากยูโกสลาเวียเมื่อวันที่ ๓ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๙๒ ทำให้สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียล่มสลายลงและเหลือเพียงเซอร์เบียและมอนเตเนโกรเท่านั้น เซอร์เบียและมอนเตเนโกรจึงประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่รวมกันเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๒
ในสงครามบอสเนีย (Bosnian War)* ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๒-๑๙๙๕ มีโลเซวิชสนับสนุนราดอวันคาราจิช (Radovan Karadzic) ประธานาธิบดีบอสเนียซึ่งเป็นชาวเซิร์บกลุ่มน้อย และนายพลรัตโก มลาดิช (Ratko Mladic) ซึ่งนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (ethnic cleansing) ชาวมุสลิมบอสเนียโดยเฉพาะในเขตเซเรเบรนิกา (Srebrenica) ซึ่งผู้ชายและเด็กชายของหมู่บ้านกว่า ๗,๐๐๐ คนถูกฆ่าหมู่มีโลเซวิชและเซอร์เบียถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการสังหารหมู่ครั้งนี้ด้วย องค์การสหประชาชาติ (United Nations)* จึงมีมติคว่ำบาตรเซอร์เบียทางเศรษฐกิจตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๙๒ เนื่องจากสนับสนุนกองกำลังบอสเนีย-เซิร์บ เซอร์เบียได้รับความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจมาก ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๙๕ กองกำลังขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization NATO)* ก็ส่งกำลังไปช่วยชาวมุสลิมบอสเนียต่อสู้กับชาวเซิร์บและได้ทิ้งระเบิดหลายครั้งเพื่อโจมตีเป้าหมายสำคัญของกองกำลังบอสเนีย-เซิร์บ อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. ๑๙๙๕ สงครามบอสเนียก็สิ้นสุดลง มีโลเซวิชในนามของชาวบอสเนีย-เซิร์บ อิลิยา อิเซตเบโกวิช (Alija Izetbegovic) ประธานาธิบดีของบอสเนีย และฟรานโจ ทัจมัน ประธานาธิบดีโครเอเชีย ได้ให้สัตยาบันรับรองความตกลงเมืองเดย์ตัน (Dayton Accord) มลรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๕ เพื่อยุติสงคราม มีโลเซวิชปิดชายแดนของเซอร์เบียด้านที่ติดต่อกับบอสเนีย-เฮอร์เซโกวินาและเลิกสนับสนุนชาวบอสเนีย-เซิร์บ เขาจึงได้รับการยอมรับจากสหรัฐอเมริกาและชาติยุโรปตะวันตกว่าเป็นผู้มีส่วนช่วยสร้างสันติภาพในคาบสมุทรบอลข่าน
การที่รัฐธรรมนูญของเซอร์เบียกำหนดให้ประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน ๒ วาระ มีโลเซวิชซึ่งเป็นประธานาธิบดีเซอร์เบียระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๙-๑๙๙๗ จึงเปลี่ยนไปรับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๗ ส่วนตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบียนั้นเป็นของมิลาน มีลูตีโนวิช (Milan Milutinovic) ซึ่งเป็นพันธมิตรทางการเมืองของมีโลเซวิช ในต้นทศวรรษ ๑๙๙๐ ปัญหาการแยกตัวของคอซอวอมีความสำคัญขึ้นอีกครั้งเมื่อชาวคอซอวอเชื้อสายแอลเบเนียจัดตั้งกองทัพปลดแอกคอซอวอ (Kosovo Liberation Army) ขึ้นและนำไปสู่สงครามในคอซอวอตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๙๖ เป็นต้นมา ความทารุณเหี้ยมโหดของผ่ายเซิร์บต่อชาวคอซอวาร์ทำให้กระแสการต่อต้านมีโลเซวิชเริ่มก่อตัวขึ้นทั้งในและนอกประเทศ มีโลเซวิชปฏิเสธที่จะให้นานาชาติเข้ามาช่วยแก้ปัญหาคอซอวอ และไม่สนใจคำขู่ขององค์การนาโตที่จะทิ้งระเบิดโจมตีเซอร์เบีย ในเดือน มีนาคม ค.ศ. ๑๙๙๙ องค์การนาโตเริ่มระดมทิ้งระเบิดเซอร์เบียอย่างต่อเนื่องเป็นเวลากว่าสองเดือน ทำให้มีโลเซวิชในที่สุดต้องยอมจำนนและถอนทหารเซิร์บออกจากคอซอวอในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๙ กองกำลังรักษาสันติภาพขององค์การนาโตเข้าไปดูแลความสงบแทน สงครามในคอซอวอจึงสงบลง
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๙ มีรายงานข่าวในนิตยสารต่างประเทศฉบับต่าง ๆ เช่น Times กล่าวว่าประธานาธิบดีบิล คลินตัน (Bill Clinton) แห่งสหรัฐอเมริกาได้สั่งให้สำนักข่าวกรองกลางของสหรัฐอเมริกาหรือซีไอเอ (The Central Intelligence Agency - CIA) วางแผนโค่นอำนาจของมีโลเซวิชซึ่งรวมถึงการตัดเส้นทางการเงินส่วนตัวของเขา และส่งเสริมขบวนการต่อต้านมีโลเซวิชในยูโกสลาเวียให้ขยายวงกว้างขึ้น มีการสนับสนุนด้านการเงินแก่ฝ่ายตรงข้ามและตั้งรางวัล ๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐสำหรับข้อมูลที่จะนำไปสู่การจับกุมหรือฟ้องร้องผู้ที่ถูกศาลโลกตั้งข้อหาเป็นอาชญากรสงครามซึ่งรวมถึงมีโลเซวิชด้วย
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๐ มีโลเซวิชแก้ไขรัฐธรรมนูญยูโกสลาเวียเพื่อให้เขาสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อได้อีก ๒ สมัยและกำหนดการเลือกตั้งขึ้นในเดือนกันยายน ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีรอบแรกเมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน มีโลเซวิชพ่ายแพ้ต่อพันธมิตรฝ่ายค้านซึ่งเป็นการร่วมมือกันของ ๑๘ พรรคการเมืองนำโดยวอยิสลาฟ คอสตูนีตซา (Vojislav Kostunica) ผู้นำพรรคประชาธิปไตยแห่งเซอร์เบีย (Democratic Party of Serbia) มีโลเซวิชปฏิเสธที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งและเสนอให้มีการเลือกตั้งใหม่ฝ่ายค้านจึงเรียกร้องประชาชนให้กดดันมีโลเซวิชให้ยอมรับผลการเลือกตั้ง ส่งผลให้องค์การนักศึกษาโอตโปร (Otpor) นำประชาชนประท้วงครั้งใหญ่หลายครั้ง และคนงานเหมืองถ่านหินก็นำคนงานหยุดงานประท้วง ชาวเซิร์บจากทั่วประเทศรวมตัวกันประท้วงใหญ่ในกรุงเบลเกรดเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม เมื่อเผชิญกับการประท้วงครั้งใหญ่ของประชาชนและตระหนักว่ารัสเซียก็สนับสนุนคอสตูนิซา มีโลเซวิชจึงยอมก้าวลงจากอำนาจ เปิดโอกาสให้คอสตูนีตซาขึ้นเป็นประธานาธิบดีเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนของเซอร์เบียในเดือนธันวาคม ต่อมา ปรากฏว่าสมาชิกพรรคสังคมนิยมแห่งเซอร์เบียของมีโลเซวิชได้รับคะแนนเสียงเพียงร้อยละ ๑๔
ต่อมา รัฐบาลเซอร์เบียได้จับกุมมีโลเซวิชเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ด้วยข้อหาอาชญากรสงคราม การใช้อำนาจโดยมิชอบและคอรัปชัน เขายังถูกกล่าวหาว่าลักลอบขนทองแท่งออกนอกประเทศและบงการลอบสังหารศัตรูทางการเมือง มีโลเซวิชถูกส่งตัวให้ศาลอาชญากรระหว่างประเทศที่กรุงเฮกเมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน เพื่อพิจารณาโทษเกี่ยวกับบทบาทของเขาในสงครามคอซอวอ เขาถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการสังหารชาวคอซอวอ-แอลเบเนีย ๙๐๐ คน และเนรเทศพวกเขากว่า ๗๐๐,๐๐๐ คนจากที่อยู่อาศัย สงครามล้างเผ่าพันธุ์ในบอสเนียถูกนำมาพิจารณาร่วมด้วยในปลายเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๑ มีโลเซวิชนับเป็นผู้นำ รัฐบาลคนแรกที่ถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีที่กรุงเฮก ในระหว่างที่ถูกคุมขัง เขาได้รับอนุญาตให้ใช้ห้องได้ ๒ ห้องโดยห้องหนึ่งเป็นห้องนอนซึ่งมีระบบการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา และอีกห้องสำหรับรับแขกและสัมภาษณ์พยาน
การพิจารณาคดีของมีโลเซวิชเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๒ เขาถูกพิจารณารวมทั้งหมด ๖๖ คดี ซึ่งประกอบด้วยข้อหาก่ออาชญากรรมต่อเพื่อนมนุษย์ในสงครามคอซอวอ ค.ศ. ๑๙๙๙ และละเมิดกฎหมายเกี่ยวกับการทำสงครามในสงครามโครเอเชีย ค.ศ. ๑๙๙๑ และสงครามบอสเนีย ค.ศ. ๑๙๙๒-๙๕ นอกจากนี้ยังมีคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการสังหารหมู่ที่เซเรเบรนิคาด้วย ทุกคดีจะรวมอยู่ในการพิจารณาครั้งเดียวโดยเริ่มจากคดีสงครามคอซอวอ มีผู้พิพากษาร่วมพิจารณาคดีทั้งหมด ๓ คนและไม่มีคณะลูกขุน มีโลเซวิชปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เขามีสิทธิที่จะตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดที่ใช้ในการพิจารณาคดีและยื่นอุทธรณ์บทลงโทษสูงสุดของแต่ละคดีคือติดคุกตลอดชีวิต แต่ไม่มีโทษประหารชีวิต แม้มิโลเซวิคจะไม่เคยทำหน้าที่ทนายความมาก่อนแต่ก็สำเร็จกฎหมายจากมหาวิทยาลัยเบลเกรด เขาจึงเป็นทนายแก้ข้อกล่าวหาให้ตนเอง อย่างไรก็ตาม ศาลได้แต่งตั้งทนายความ ๓ คนเพื่อช่วยเหลือให้เขาได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรมการพิจารณาคดีค่อนข้างจะล่าช้าเนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของมีโลเซวิชซึ่งป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคเบาหวาน
แม้ว่าจะถูกคุมขังอยู่ที่กรุงเฮก มีโลเซวิชยังคงได้รับเลือกเป็นประธานพรรคสังคมนิยมแห่งเซอร์เบียอีกครั้งเมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ค.ศ. ๒๐๐๓ แต่ต้องให้ผู้อื่นดำรงตำแหน่งแทน ในเดือนเมษายนตำรวจเซอร์เบียได้ตั้งข้อหามีโลเซวิชเพิ่มเติมว่าเป็นผู้บงการสังหารอดีตประธานาธิบดีเซอร์เบีย อีวาน สตัมโบลิชซึ่งถูกลักพาตัวไปตั้งแต่เดือนสิงหาคม ค.ศ. ๒๐๐๐ และพบเป็นศพใน ค.ศ. ๒๐๐๓ ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ ศาลฎีกาของเซอร์เบียตัดสินว่ามีโลเซวิชเป็นผู้บงการสังหารสตัมโบลิชรวมทั้งวุก ดราส์โกวิช (Vuk Draskovic) ซึ่งเป็นศัตรูทางการเมือง
ในขณะที่ถูกสอบสวนอยู่นี้ มีโลเซวิชได้ลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคสังคมนิยมแห่งเซอร์เบียในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ค.ศ. ๒๐๐๓ ผลปรากฏว่าพรรคของเขามีชัยชนะรวม ๒๒ ที่นั่ง แม้กฎหมายจะกำหนดว่าผู้ที่ต้องโทษไม่สามารถเป็นผู้แทนได้ แต่สำหรับผู้ต้องสงสัยหรือพ้นโทษแล้วสามารถนั่งในสภาได้ พรรคสังคมนิยมแห่งเซอร์เบียจึงได้สำรองที่นั่งในสภาไว้ให้มีโลเซวิชในกรณีที่เขาพ้นผิด ต่อมารัฐสภาเซอร์เบียซึ่งพวกชาตินิยมครองเสียงข้างมากได้ลงมติ ๑๔๑ ต่อ ๓๕ เสียงเมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๔ ผ่านพระราชบัญญัติให้มีโลเซวิชและอาชญากรสงครามชาวเซิร์บคนอื่น ๆ ซึ่งกำลังถูกพิจารณาคดีที่กรุงเฮกได้รับผลประโยชน์ซึ่งรวมถึงค่าทนายความและเงินเดือนชดเชยที่ไม่ได้รับด้วย พระราชบัญญัติฉบับนี้ยังช่วยเงินด้านอื่น ๆ เช่น ค่าพาหนะ ค่าที่พัก โทรศัพท์ ไปรษณีย์ วีซ่า และค่าใช้จ่ายด้านกฎหมายแก่คู่สมรส พ่อแม่ และบุตรธิดาด้วย
ฝ่ายโจทก์เสร็จสิ้นการสืบพยาน ๒๙๐ คนมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๔ หลังจากใช้เวลานานถึง ๓๐๐ วัน มีโลเซวิชยื่นรายชื่อพยานจำนวน ๑,๖๓๑ คนซึ่งรวมทั้งบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และโทนี แบลร์ (Tony Blair)* นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรต่อศาลในกลางเดือนเมษายน ต่อมาศาลอาชญากรสงครามได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๑๙ เมษายน ให้แยกคดีสังหารหมู่ที่เซเรเบรนีกาพิจารณาต่างหากมีโลเซวิชเริ่มแก้ข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม เขากล่าวหาว่าคณะกรรมการสอบสวนตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ ปกปิดความผิดพลาดของนโยบายตะวันตกที่ล้มเหลว การพิจารณาคดีใน ค.ศ. ๒๐๐๕ ยังคงล่าช้าเนื่องจากปัญหาสุขภาพของมีโลเซวิชเขาติดคุกได้ ๕ ปีและเหลือเวลาในการไต่สวนอีกเพียง ๕๐ ชั่วโมงแต่การพิจารณาคดีต้องยุติลงเมื่อเขาเสียชีวิตในห้องขังด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๖ ระหว่างเวลา ๗.๐๐-๙.๐๐ น. ขณะอายุ ๖๔ ปี การพิจารณาคดีของเขาสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม รวมเวลาการไต่สวนทั้งหมด ๔๖๗ วันโดยไม่มีคำตัดสิน ศพของมีโลเซวิชถูกส่งกลับไปยังเซอร์เบียแต่ไม่มีการประกอบรัฐพิธีและถูกนำไปตั้งไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งการปฏิวัติในกรุงเบลเกรดเพื่อให้สาธารณชนได้เคารพไว้อาลัยก่อนจะนำไปฝังที่เมืองโปซาเรวัคบ้านเกิด เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ในวันที่มีการเคลื่อนย้ายศพมีการประกอบพิธีอย่างไม่เป็นทางการที่หน้าอาคารรัฐสภาใจกลางกรุงเบลเกรดโดยมีผู้เข้าร่วมพิธีประมาณ ๕๐,๐๐๐ คน มีร์ยานาภรรยาและบุตรทั้ง ๒ คนของมีโลเซวิชไม่ได้เข้าร่วมในงานศพ เนื่องจากลี้ภัยอยู่ในสหพันธรัฐรัสเซีย (Russian Federation) ในเดือน กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๗ ศาลโลกตัดสินให้เซอร์เบียพ้นข้อกล่าวหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่ระบุว่ามีโลเซวิชตระหนักดีเรื่องการสังหารหมู่ที่จะเกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้พยายามหาทางป้องกัน.