ราชอาณาจักรสวีเดนเป็นประเทศขนาดใหญ่เป็นอันดับ ๔ ของทวีปยุโรปตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกของคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) ในอดีตเป็นดินแดนของพวกไวกิ้ง (Viking) และเคยรวมตัวกับเดนมาร์ก และนอร์เวย์ ในสหภาพแห่งคาลมาร์ (Union of Kalmar) ในปลายสมัยกลาง (Middle Ages) แต่แยกตัวออกในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ สวีเดนเป็นหนึ่งในมหาอำนาจยุโรปในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ปัจจุบันเป็นประเทศที่ปลอดจากการยุทธ์เป็นเวลาติดต่อกันร่วม ๒๐๐ ปี นับว่าเป็นประเทศที่มีสันติภาพยาวนานกว่าประเทศใด ๆ ในโลก
สวีเดนมีร่องรอยของมนุษย์อาศัยแล้วเมื่อประมาณ ๑๐,๐๐๐-๘,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชหรือก่อนยุคน้ำแข็งสุดท้าย โดยยังชีพด้วยการล่าสัตว์และเร่ร่อนหาอาหารตามธรรมชาติ ชุมชนเกษตรกรรมและการเลี้ยงสัตว์ปรากฏขึ้นในราว๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช มีการนำสัมฤทธิ์ และเหล็กมาใช้ในการทำอาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ ในราว ๑,๕๐๐ ปี และ ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชตามลำดับการใช้ขวานที่ทำจากเหล็กช่วยให้การบุกเบิกที่ดินเพื่อการเกษตรง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดพัฒนาการทางการเกษตรและการเกิดหมู่บ้านชาวนาอย่างไรก็ดีชุมชนดังกล่าวก็มิได้ทิ้งหลักฐานของชื่อภูมิสถานให้สืบค้นได้ว่าชาวพื้นเมืองดั้งเดิมดังกล่าวนี้เป็นชนเผ่าใดยกเว้นแต่พวกแลปป์(Lapp) ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือที่ห่างไกลเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมาเรื่องราวของบรรพบุรุษกลุ่มหนึ่งของชาวสวีเดนปรากฏในงานเขียนของทาซิตัส (Tacitus) นักประวัติศาสตร์ชาวโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ ๑ ว่าในเขตสเวอาลันด์ (Svealand) ทางตะวันออกของสวีเดนในปัจจุบัน ในบริเวณรอบ ๆ ทะเลสาบเมลาเริน (Mälaren) ซิกทูนา (Sigtuna) และบิร์คา (Birka)เป็นที่อยู่ของพวกซู เอียน (Suiones) ซึ่งเป็นนักเดินเรือที่ทรงพลังทั้งในด้านอาวุธและเรือที่ครอบครอง จึงสันนิษฐานกันว่าชื่อของประเทศสวีเดนคงมาจากชื่อของชนเผ่านี้และชื่อของดินแดนที่พวกเขาครอบครอง ส่วนดินแดนทางตอนใต้ในเขต
เยอทาลันด์ (Götaland) เป็นที่อาศัยของพวกยีต (Geat) หรือเยอทาร์ (Gotar) ซึ่งในเวลาต่อมาพวกซูเอียนได้ขยายอำนาจเข้าครอบครองด้วย
บรรพบุรุษของชาวสวีเดนมีชื่อเรียกรวม ๆ ว่า “นอร์สแมน”(Norseman)หรือ “นอร์ทแมน”(Northman) และ “ไวกิ้ง”เช่นเดียวกับบรรพบุรุษของประเทศเพื่อนบ้านในคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ในคริสต์ศตวรรษที่ ๗ เมื่อเกิดปัญหาการเพิ่มจำนวนประชากรพวกไวกิ้งสวีเดนซึ่งเป็นนักเดินเรือที่มีความสามารถก็เริ่มเดินทางไปแสวงโชค ในดินแดนทางตะวันออกของทะเลบอลติก (Baltic) ซึ่งมีทั้งพวกที่เข้าปล้นสะดมเมืองต่าง ๆ และพวกทำการค้า ในคริสต์ศตวรรษที่ ๙ ซึ่งเป็นระยะแรกของสมัยไวกิ้ง (Age of Viking) พวกไวกิ้งสวีเดนล่องเรือไปมาในทะเลดำและทะเลแคสเปียน (Caspian) และทำการค้ากับจักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine) และรัฐกาหลิบแห่งแบกแดด (Baghdad) โดยใช้เส้นทางแม่น้ำสายต่าง ๆ ในรัสเซีย นักประวัติศาสตร์อาหรับเคยบรรยายถึงพวกไวกิ้งกลุ่มนี้ว่าตัวสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราเจ้าอารมณ์และกลิ่นตัวแรง ใน ค.ศ. ๘๖๒ รูิรค (Rurik) ผู้นำของไวกิ้งสวีเดนอีกกลุ่มก็สามารถยึดครองเมืองต่างๆ ของพวกสลาฟตะวันออกได้และสถาปนาราชวงศ์วาแรนเจียน (Varangian) ขึ้นปกครองเมืองนอฟโกรอด (Novgorod) ตลอดจนเมืองท่าตามชายฝั่งทางตอนเหนือของทะเลบอลติก ในเวลาไม่ช้า ราชวงศ์วาแรนเจียนก็สามารถจัดตั้งอาณาจักรเคียฟ (Kiev) ขึ้น นักประวัติศาสตร์รัสเซีย บางคนยังสันนิษฐานว่าคำว่า “รัสเซีย ”อาจมาจากชื่อ “รัส” (Rus) ซึ่งเป็นชื่อที่พวกไวกิ้งหรือชาวสแกนดิเนเวียเรียกตัวเองด้วย
ส่วนในด้านศาสนา แม้ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๙ เซนต์แอนส์การ์หรือแอนส์คาร์(Ansgar; Anskar) จะนำคริสต์ศาสนาเข้ามาเผยแผ่โดยหวังว่าศาสนาจะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมก้าวร้าวของพวกไวกิ้งสวีเดนได้ แต่ก็ล้มเหลวและการเผยแผ่ศาสนาในสวีเดนเป็นไปอย่างผิวเผินเท่านั้น ลัทธิบูชาเทวดาและผียังคงเป็นที่ปฏิบัติกันทั่วไปต่อมาในราว ค.ศ. ๑๐๐๐พระเจ้าอูลอฟ สเกิตโคนุง (Olof Skötkonung) ทรงเป็นกษัตริย์สวีเดนพระองค์แรกที่หันมานับถือคริสต์ศาสนา แต่ประชาชนโดยทั่วไปยังคงนับถือลัทธิเดิมอย่างไรก็ดีการสัมผัสกับคริสต์ศาสนาก็ทำให้มีการใช้ภาษาเขียนกันมากขึ้นและเรื่องราวที่เป็นประวัติศาสตร์ของสวีเดนที่บันทึกกันในสวีเดนก็เริ่มปรากฏให้เห็น แทนการจดจำเรื่องราวที่เป็นตำนานและมหากาพย์เท่านั้น ต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ เมื่อพระเจ้าเอริกที่ ๙ (Erik IX ค.ศ. ๑๑๕๐-๑๑๖๐) หรือเซนต์เอริก (St. Eric) ทรงใช้ทั้งวิีธบังคับและเกลี้ยกล่อมให้พวกนอกรีตยอมรับ
คริสต์ศาสนาอีกทั้งได้มีการจัดตั้งเขตปกครองของอาร์ชบิชอปขึ้นที่เมืองอุปป์ซาลา(Uppsala) ใน ค.ศ. ๑๑๖๔ ซึ่งทำให้นักบวชนิกายซิสเตอร์เชียน (Cistercianism)สามารถวางรากฐานอำนาจได้อย่างมั่นคง ลัทธิบูชาเทวดาและผีจึงค่อย ๆ หมดไป และทำให้สวีเดนเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรยุโรปตะวันตกและประชาชนรวมตัวกันเป็นñปกแผ่นอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันนับแต่รัชสมัยพระเจ้าเอริกที่ ๙ เป็นต้นไป สวีเดนก็เริ่มมีฐานะเป็นราชอาณาจักรและขยายอำนาจเข้าพิชิตดินแดนต่าง ๆ เพื่อยึดเป็นอาณานิคมของตน ใน ค.ศ. ๑๑๕๐ สวีเดนยกกองทัพเข้ารุกรานฟินแลนด์ และบีบบังคับให้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก และฟินแลนด์ ต้องตกเป็นของสวีเดนกว่า ๗๐๐ ปี จนสมัยสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars) ในต้น ค.ศ. ๑๘๐๘ โดยสวีเดนต้องสูญเสียฟินแลนด์ ให้แก่รัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรของฝรั่งเศส
ในระยะเวลาแรก ๆ ของการจัดตั้งราชอาณาจักร กษัตริย์สวีเดนเป็นตำแหน่งเลือกตั้งพระราชอำนาจถูกจำกัดโดยจารีตและคอมมูนของชาวนาที่มีอำนาจปกครองตนเองตลอดจนสภาของเสรีชนประจำมณฑลต่าง ๆ หรือ “thing” ซึ่งมีอำนาจในการยอมรับหรือปฏิเสธกษัตริย์ในภูมิภาคของตน ประมาณ ค.ศ. ๑๒๐๐ครอบครัวของบิร์เยอร์ โบรซา (Birger Brosa) แห่งตระกูลฟอลคุง (Folkung)ได้ก้าวขึ้นมีตำแหน่งในด้านการเงินและเป็น “มือขวา”ของกษัตริย์ บุคคลสำคัญในตระกูล ได้แก่ บิร์เยอร์ยาร์ล (Birger Jarl) ซึ่งระหว่าง ค.ศ. ๑๒๔๘-๑๒๖๖ ขณะทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการมีอำนาจปกครองสวีเดนอย่างแท้จริง บิร์เยอร์ยาร์ลได้รับยกย่องว่า เป็นผู้ก่อตั้งกรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm) เพื่อใช้เป็นเมืองหน้าด่านในการป้องกันศัตรูมิให้โจมตีบริเวณชุมชนแถบทะเลสาบเมลาเริน นอกจากนี้ เขายังเชื้อเชิญพ่อค้าและช่างฝีมือชาวเยอรมันให้เดินทางเข้ามาอาศัยในสวีเดนเพื่อช่วยพัฒนาเศรษฐกิจจนทำให้ในเวลาต่อมาเกิดเมืองใหม่หลายแห่งเพื่อตอบสนองกิจกรรมทางการค้า รวมทั้งการเดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐานของสันนิบาตฮันซา(Hanseatic League) หรือกลุ่มพวกพ่อค้าเยอรมันที่ทรงอิทธิพลอีกด้วย
ใน ค.ศ. ๑๒๕๐ วาลเดอมาร์ (Valdemar) บุตรชายคนโตของบิร์เยอร์ยาร์ลเป็นคนแรกของตระกูลหรือต่อมาคือราชวงศ์ฟอลคุงที่ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ แต่ในค.ศ. ๑๒๖๖ ทรงถูกมางนุส ลาดูโลส (Magnus Ladulas)พระอนุชาช่วงชิงอำนาจและขึ้นเป็นกษัตริย์ใน ค.ศ. ๑๒๗๕พระเจ้ามางนุส ลาดูโลส (ค.ศ. ๑๒๗๕-๑๒๙๐) ทรงนำรูปแบบการปกครองระบอบฟิวดัล (Feudalism) ของยุโรปมาประยุกต์ใช้ ก่อให้เกิดชนชั้นหรือฐานันดรของขุนนางใหม่คือพวกอัศวินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี
และพวกคหบดี(burghers) แยกออกจากขุนนางระดับสูง เกิดชนชั้นกลาง (burgess)ที่อาศัยในเมือง (burg) และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายหรือกฎบัตร
อย่างไรก็ดี ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ สวีเดนก็เริ่มอ่อนแอลงจากสาเหตุต่างๆ ได้แก่ ความขัดแย้งกันระหว่างพระราชโอรสกับพระราชนัดดาของกษัตริย์จนทำให้ต้องมีการให้อำนาจกึ่งอิสระแก่ราชรัฐต่าง ๆ ภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจในยุโรปและการเข้ามามีอำนาจของพวกพ่อค้าเยอรมันในสวีเดน และภัยของกาฬโรคหรือความตายสีดำ (Black Death) ระหว่าง ค.ศ. ๑๓๔๙-๑๓๕๐ ที่ระบาดและคร่าชีวิตของผู้คนจำนวนมากทั่วคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย ส่วนสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นใน ค.ศ. ๑๓๑๙ มางนุส เอริกซอน (Magnus Eriksson)พระราชนัดดา (หลานตา) ในพระเจ้ามางนุส ลาดูโลสชันษา ๓ ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ทรงได้สืบทอดบัลลังก์นอร์เวยก็ได้รับเลือกเป็นกษัตริย์แห่งสวีเดนด้วย นับเป็นการมีกษัตริย์ร่วมกันระหว่างนอร์เวย์ กับสวีเดนเป็นครั้งแรก ทรงเฉลิมพระนามพระเจ้ามางนุสที่ ๒ (Magnus ที่ ๒ค.ศ. ๑๓๑๙-๑๓๖๔) แต่ด้วยพระชันษาอันเยาว์วัยจึงทรงถูกพวกขุนนางบีบให้จำกัดพระราชอำนาจ และต่อมาใน ค.ศ. ๑๓๕๐ พระเจ้ามางนุสที่ ๒ ก็ทรงประกาศใช้กฎหมายแผ่นดิน (Land Law) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของสวีเดนเพื่อค้ำประกันสิทธิของพลเมืองและกำหนดให้กษัตริย์ต้องปกครองตามคำแนะนำของพวกขุนนาง
ใน ค.ศ. ๑๓๖๔ ขุนนางสวีเดนได้ก่อกบฏต่อพระเจ้ามางนุสที่ ๒ และขับพระองค์ออกจากบัลลังก์ ทรงเป็นสมาชิกองค์สุดท้ายของราชวงศ์ฟอลคุงที่ได้ปกครองสวีเดน พวกขุนนางได้เลือกอัลเบรชท์แห่งเมคเลนบูร์ก (Albrecht ofMecklenburg) พระภาคิไนยขึ้นเป็นกษัตริย์ เฉลิมพระนามพระเจ้าอัลเบิร์ต (Albertค.ศ. ๑๓๖๔-๑๓๘๗) แต่ในเวลาไม่ช้า พระเจ้าอัลเบิร์ตก็ไม่ทรงยินยอมที่จะตกเป็นเครื่องมือของขุนนางอีกต่อไป ทั้งที่พระองค์เคยปฏิญาณจะเคารพในอำนาจและสิทธิของขุนนางและชนชั้นกลางในวันที่ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และทรงพยายามที่จะสถาปนาอำนาจปกครองเป็นอิสระจากการควบคุมของพวกขุนนางด้วยดังนั้นพวกขุนนางสวีเดนจึงก่อกบฏขึ้น และใน ค.ศ. ๑๓๘๘ ได้รวมตัวกันถวายราชบัลลังก์สวีเดนแก่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์กาเรตที่ ๑ (Margaret I) แห่งเดนมาร์ก (ค.ศ. ๑๓๘๗-๑๓๙๗) และนอร์เวย์ (ค.ศ. ๑๓๘๗-๑๓๙๗)พระมเหสีม่ายของพระเจ้าฮากอนที่ ๖ (Haakon VI ค.ศ. ๑๓๕๕-๑๓๘๐) แห่งนอร์เวย์ ซึ่งทรงเป็นพระราชโอรสในพระเจ้ามางนุสที่ ๒ ความสัมพันธ์ของราชบัลลังก์ระหว่างราชอาณาจักรทั้งสาม
ที่เกิดจากการอภิเษกสมรสและระบบเครือญาติจึงทำให้เดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดนรวมตัวกันเป็น “สหภาพแห่งคาลมาร์”(Union of Kalmar) ใน ค.ศ. ๑๓๙๗โดยมีเอริกแห่งพอเมอเรเนีย (Erik of Pomerania)พระญาติใกล้ชิดทรงได้รับเลือกเป็นกษัตริย์พระองค์แรกของสหภาพนี้ อย่างไรก็ดี การรวมตัวของราชอาณาจักรทั้งสามก็เป็นเพียงการมีกษัตริย์ร่วมกันเท่านั้น มิใช่เป็นการรวมตัวทางการเมืองแต่ละราชอาณาจักรยังคงมีเสรีภาพในการปกครองตนเอง
อย่างไรก็ดี แม้จะสูญเสียตำแหน่งประมุขของราชอาณาจักรเดนมาร์ก นอร์เวย์ และสวีเดนตามข้อตกลงกับบรรดาผู้แทนของชนชั้นขุนนางของทั้ง ๓ราชอาณาจักร ณ เมืองคาลมาร์ แต่สมเด็จพระราชินีนาถมาร์กาเรตที่ ๑ ก็ยังคงมีพระราชอำนาจปกครองสหภาพแห่งคาลมาร์ต่อไปในฐานะผู้สำเร็จราชการ และพระองค์ทรงประสบความสำเร็จในการรวบอำนาจปกครองไว้ในส่วนกลางได้จนกระทั่งเสด็จสวรรคตใน ค.ศ. ๑๔๑๒พระเจ้าเอริกทรงพยายามดำเนินนโยบายรวมศูนย์อำนาจการปกครองต่อไป แต่เนื่องจากไม่ทรงมีพระปรีชาสามารถและขาดกุศโลบายจึงทำให้ทรงขัดแย้งกับพวกขุนนางและกับชาวเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองที่เป็นศูนย์กลางการค้าต่าง ๆ ที่อยู่ในอำนาจของสันนิบาตฮันซา และมีผลให้การค้าทางทะเลของสวีเดนซบเซาลงด้วย ใน ค.ศ. ๑๔๓๔ ชาวเหมืองแร่แห่งมณฑลแบร์สลาเยิน (Bergslagen) ซึ่งได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งดังกล่าวนี้รวมทั้งถูกเรียกเก็บภาษีมากขึ้นจึงก่อกบฏ โดยมีเองเกลเบรคท์ เองเกลเบรคท์ซอน(Engelbrekt Engelbrektsson) เป็นผู้นำ ในเวลาอันรวดเร็ว ชาวนา ชาวเมือง นักบวชและขุนนางต่างก็ให้การสนับสนุนการกบฏในครั้งนี้ ใน ค.ศ. ๑๔๓๕ ผู้แทนของฐานันดรทั้งสี่ซึ่งประกอบด้วยชนชั้นต่าง ๆ ดังกล่าวก็จัดการประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อยุติของความขัดแย้ง นับว่าเป็นครั้งแรกของจัดการประชุมของสภาแห่งชาติหรือสภาริกส์ดัก (Riksdag) ของสวีเดนอีกทั้งยังเป็นการยืนยันฐานะของชนชั้นชาวนาในสวีเดน (รวมทั้งฟินแลนด์ ) ว่ายังคงสามารถรักษาสิทธิของเสรีชนไว้ได้และมีสถานะทางสังคมสูงกว่าชาวนาในดินแดนยุโรปอื่น ๆ ที่ในขณะนั้นมีสถานภาพเป็นเพียงทาสติดที่ดิน (serf) เท่านั้น ที่ประชุมได้แต่งตั้งให้คาร์ล คนุตซอน (Karl Knutsson) ขุนนางที่เรืองอำนาจชาวสวีเดนเป็นผู้สำเร็จราชการ และต่อมาเขาก็ได้ขับพระเจ้าอีริกออกจากบัลลังก์
ระหว่าง ค.ศ. ๑๔๔๐-๑๔๔๒ คริสโตเฟอร์แห่งบาวาเรีย (Christopher ofBavaria)พระภาคิไนยในพระเจ้าเอริกทรงได้รับเลือกเป็นกษัตริย์เดนมาร์ก (ค.ศ. ๑๔๔๐)
สวีเดน (ค.ศ. ๑๔๔๑) และนอร์เวย์ (ค.ศ. ๑๔๔๒) แต่เมื่อพระเจ้าคริสโตเฟอร์สวรรคตใน ค.ศ. ๑๔๔๘ เดนมาร์ก และนอร์เวย์ ต่างไม่ยอมรับพระเจ้าคาร์ลที่ ๘ (Karl VIIIค.ศ. ๑๔๔๘-๑๔๕๗, ค.ศ. ๑๔๖๔-๑๔๖๕ และ ค.ศ. ๑๔๖๗-๑๔๗๐) หรืออดีตคาร์ล คนุตซอนที่สวีเดนเลือกเป็นกษัตริย์ของพวกตน และหันไปเลือกคริสเตียนแห่งออลเดนบูร์ก (Christian of Oldenburg) แทน ซึ่งต่อมาเฉลิมพระนามพระเจ้าคริสเตียนที่ ๑ (Christian I ค.ศ. ๑๔๔๘-๑๔๘๑) นับเป็นจุดเริ่มต้นของการแตกแยกกันในสหภาพแห่งคาลมาร์ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๔๕๐พระเจ้าคริสเตียนที่ ๑ ทรงสามารถรวมนอร์เวย์ เข้ากับเดนมาร์ก ได้อีกครั้ง และ ใน ค.ศ. ๑๔๕๗พระองค์ก็ทรงยึดครองสวีเดนได้และทำให้ราชอาณาจักรทั้งสามสามารถตกลงกันได้ว่าหากกษัตริย์พระองค์ใดสวรรคตก่อนองค์ที่เหลือก็ให้ขึ้นครองบัลลังก์ของราชอาณาจักรอื่น ๆด้วยดังนั้น สหภาพแห่งคาลมาร์จึงฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งและยังคงรักษาสถานภาพเดิมไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเดนมาร์ก นอร์เวย์ กับสวีเดนอยู่เนือง ๆ และในระหว่างพวกขุนนางสวีเดนด้วยกันก็มีทั้งผู้ที่สนับสนุนสหภาพและผู้สนับสนุนความเป็นชาติและเอกราชของสวีเดน ระหว่างที่ครองราชสมบัติจนสวรรคตใน ค.ศ. ๑๔๗๐พระเจ้าคาร์ลที่ ๘ แห่งสวีเดนทรงถูกขับออกจากบัลลังก์และทรงได้รับอัญเชิญให้กลับมาปกครองอีกถึง ๒ ครั้ง ๒ คราด้วยกัน ซึ่งมีทั้งทรงถูกขับโดยพระเจ้าคริสเตียนที่ ๑ และขุนนางสวีเดน
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ตระกูลสตู เรอ(Sture) ได้มีบทบาทสำคัญในการปกป้องเอกราชของสวีเดนจากการรุกรานของกษัตริย์เดนมาร์ก ขณะเดียวกันพระเจ้าคริสเตียนที่ ๒ (Christian II ค.ศ. ๑๕๑๓-๑๕๒๓)แห่งเดนมาร์ก ก็มิทรงละทิ้งความพยายามที่จะเข้าปกครองสวีเดนโดยตรง อีกทั้งการแบ่งแยกระหว่างพวกสหภาพนิยม (unionist) กับพวกรักชาติก็ยังคงดำเนินต่อไปใน ค.ศ. ๑๕๑๗ สเตน สตู เรอ คนหลัง (Sten Sture the Younger) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการได้เรียกประชุมสภาริกส์ดักเพื่อขับกุสตาฟ ทรอลเลออาร์ชบิชอบแห่งอุปป์ซาลา (Gustav Trolle, Archbishop of Uppsala) ซึ่งเป็นพวกสหภาพนิยมที่สนับสนุนการรวมตัวของสวีเดนในสหภาพแห่งคาลมาร์ออกจากตำแหน่ง การกระทำอันรุนแรงดังกล่าวของเขาจึงทำให้สันตะปาปาลีโอที่ ๑๐(Leo X ค.ศ. ๑๕๑๓-๑๕๒๑) ประกาศขับสตู เรอและพรรคพวกออกจากศาสนาขณะเดียวกันพระเจ้าคริสเตียนที่ ๒ แห่งเดนมาร์ก จึงเห็นเป็นโอกาสที่จะยกทัพเข้ารุกรานสวีเดนใน ค.ศ. ๑๕๒๐ แม้สตูเรอจะถูกสังหารและกรุงสตอกโฮล์มยอมแพ้แก่
ศัตรู แต่ขุนนางชั้นผู้นำจำนวน ๘๒ คนก็ถูกพระเจ้าคริสเตียนที่ ๒ สังหารหมู่อย่างทารุณในเหตุการณ์ “การนองเลือดที่สตอกโฮล์ม” (Stockholm Bloodbath)การปราบปรามอย่างทารุณดังกล่าวได้ก่อให้เกิดการรวมตัวของชาวสวีเดนในการลุกฮือขึ้นต่อสู้กับเดนมาร์ก ใน ค.ศ. ๑๕๒๑ โดยมีกุสตาฟ วาซา (Gustav Vasa) ขุนนางสวีเดนที่สูญเสียญาติสนิทหลายคนในเหตุการณ์การนองเลือดที่สตอกโฮล์มเป็นหัวหน้า ชัยชนะเหนือพระเจ้าคริสเตียนที่ ๒ และกองทัพเดนมาร์ก ในเวลาต่อมาจึงทำให้สวีเดนหลุดพ้นจากการรวมตัวในสหภาพแห่งคาลมาร์ และกุสตาฟ วาซาได้รับอัญเชิญให้ขึ้นครองราชบัลลังก์สวีเดน เฉลิมพระนามพระเจ้ากุสตาฟที่ ๑ (Gustav Iค.ศ. ๑๕๒๓-๑๕๖๐)
พระเจ้ากุสตาฟที่ ๑ ทรงนำสวีเดนพ้นจากสังคมสมัยกลางและก้าวสู่การเป็นรัฐชาติ (nation state) ทรงปฏิรูประบบการปกครอง เงินตรา และกองทัพตลอดจนการสร้างความแข็งแกร่งให้สถาบันกษัตริย์โดยการให้สภาริกส์ดักประกาศให้มีการใช้ระบบการสืบสันตติวงศ์แทนการเลือกตั้ง นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงใช้เหตุการณ์การปฏิรูปศาสนา (Reformation) ให้เป็นประโยชน์ต่อการสร้างชาติสวีเดนโดยปฏิเสธอำนาจของคริสตจักรโรมันคาทอลิกใน ค.ศ. ๑๕๓๑ และหันไปนับถือนิกายลูเทอแรน (Lutheranism) ทรงเข้ายึดทรัพย์สินของโบสถ์โรมันคาทอลิกเป็นสมบัติของแผ่นดิน ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงในรัชสมัยของพระเจ้ากุสตาฟที่ ๑ ทำให้พระองค์ได้รับพระสมัญญานามว่า “บิดาของประเทศ”
ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ สวีเดนได้ดำเนินนโยบายขยายอำนาจและเข้าสู่สงครามลิโวเนีย (Livonia War) กับโปแลนด์ ระหว่าง ค.ศ. ๑๕๕๗-๑๕๘๒เมื่อสงครามสิ้นสุดลงสวีเดนสามารถยึดครองเอสโตเนีย (Estonia) ซึ่งรวมทั้งมณฑลนาร์วา (Narva) ด้วย และกลายเป็นประเทศมหาอำนาจในดินแดนบริเวณทะเลบอลติก ใน ค.ศ. ๑๖๑๑ เมื่อพระเจ้ากุสตาฟที่ ๒อดอล์ฟ (Gustav II Adolphค.ศ ๑๖๑๑-๑๖๓๒) เสด็จขึ้นครองราชย์ก็ทรงสืบต่อนโยบายการขยายอำนาจของสวีเดนและทำสงครามกับรัสเซีย สวีเดนได้รับคารีเลียตะวันออก (Eastern Karelia)และอินเกรีย (Ingria) ต่อมาก็ได้ครอบครองลิโวเนียทั้งหมดจากการทำสงครามกับโปแลนด์ (ค.ศ. ๑๖๒๑-๑๖๒๙) นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๖๓๐ พระองค์ยังทรงนำสวีเดนเข้าสู่สงคราม ๓๐ปี (Thirty Yearsû War ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘) ในฐานะผู้ปกป้องนิกายโปรเตสแตนต์ในสมรภูมิใกล้เมืองไลพ์ซิก (Leipzig) ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) ใน ค.ศ. ๑๖๓๒พระองค์ทรงถูกยิงและ
สวรรคต เจ้าหญิงคริสตินา (Christina) พระราชธิดาในวัย ๖ พรรษาได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อ โดยมีเคานต์อากเซลอุกเซนเชอร์นา (Axel Oxenstierna)อัครเสนาบดีเป็นผู้สำเร็จราชการ อุกเซนเชอร์นาได้สืบทอดนโยบายทั้งภายในและต่างประเทศกองทัพอันเกรียงไกรของสวีเดนสามารถยึดดินแดนของรัฐเยอรมันและพวกสลาฟได้มากขึ้ น ใน ค.ศ. ๑๖๔๕ อุกเซนเชอร์นาและพวกขุนนางก็ฉวยโอกาสให้สภาประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เพิ่มอำนาจให้แก่พวกขุนนาง
เมื่อสงคราม ๓๐ปีิ้สนสุดลงใน ค.ศ. ๑๖๔๘ สวีเดนได้รับดินแดนจำนวนมากเป็นเครื่องตอบแทนตามสนธิสัญญาแห่งเวสต์ฟาเลีย (Treaty of Westphalia)..ได้แก่ดินแดนส่วนใหญ่ของพอเมอเรเนีย เกาะรือเกิน (Rugen) วิสมาร์ (Wismar)และมีอำนาจในทะเลเบรเมิน (Bremen) และแฟร์เดิน (Verden) รวมทั้งดินแดนในเยอรมัน ซึ่งทำให้กษัตริย์สวีเดนทรงได้รับสิทธิในการออกเสียง ๓ เสียงในสภาไดเอต(Diet) ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์ สิทธิ์ สวีเดนจึงกลายเป็นประเทศที่ เรืองอำนาจมากที่สุดในเขตบอลติกและเป็นมหาอำนาจของยุโรปด้วย
ขณะเดียวกัน ราชสำนักสวีเดนก็รุ่งเรืองในยุคบาโรก (Baroque) สมเด็จพระราชินีนาถคริสตินาทรงห้อมล้อมไปด้วยคนหนุ่มสาวที่ มีสติปัญญาปราดเปรื่องและทันสมัย แต่ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับอุกเซนเชอร์นากลับไม่ค่อยราบรื่ น กอปรกับทรงมีศรัทธาในนิกายโรมันคาทอลิกอย่างลึกซึ้งจึงทำให้สมเด็จพระราชินีนาถทรงประกาศสละราชสมบัติใน ค.ศ. ๑๖๕๔ อย่างไม่มีผู้ใดเคยคาดคิดและเสด็จไปประทับยังกรุงโรมตลอดพระชนมชีพ ทั้งนี้โดยทรงเสนอให้พระเจ้าคาร์ลที่ ๑๐ กุสตาฟ (Carl X Gustav ค.ศ. ๑๖๕๔-๑๖๖๐)พระญาติเป็นผู้สืบบัลลังก์
แม้จะครองราชย์อยู่ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่พระเจ้าคาร์ลที่ ๑๐ กุสตาฟก็ทรงสร้างวีรกรรมให้เป็นที่ ประจักษ์ โดยการทำสงครามเหนือครั้งที่ ๑ (FirstNorthern War ค.ศ. ๑๖๕๖-๑๖๖๐) กับโปแลนด์ และทำให้โปแลนด์ ต้องยอมรับในสิทธิการครอบครองลิโวเนียอย่างสมบูรณ์ของสวีเดน นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงยกกองทัพบุกเดนมาร์ก ที่เป็นประเทศคู่แข่งที่สำคัญถึง ๒ ครั้งใน ค.ศ. ๑๖๕๘ และสามารถยึดมณฑลต่าง ๆ ทางตอนใต้ของสวีเดนที่ เคยเสียให้แก่เดนมาร์ก ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ กลับคืนมาด้วย
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ราชอาณาจักรสวีเดนปกครองโดยกษัตริย์พระองค์ใหม่คือพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๒ (Carl XII ค.ศ. ๑๖๙๗-๑๗๑๘) ซึ่งเป็นกษัตริย์
นักรบที่มีความสามารถและเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติขณะมีพระชนมายุเพียง ๑๘พรรษาเท่านั้น ตลอดรัชสมัย ๒๑ ปี ทรงใช้เวลาถึง ๑๘ ปีในสนามรบ เนื่องจากเหตุที่ยังทรงพระเยาว์ขณะขึ้นครองราชย์ เดนมาร์ก จึงถือโอกาสเข้าโจมตีสวีเดนโดยหวังจะยึดครองอำนาจเหนือทะเลบอลติกแทนสวีเดน แต่กองทัพเดนมาร์ก ที่มีกำลังมากกว่าสวีเดนถึง ๑๐ เท่ากลับพ่ายแพ้และต้องยินยอมทำสนธิสัญญาทราเวนดัล(Treaty of Travendal) กับสวีเดนใน ค.ศ. ๑๗๐๐ หลังจากนั้นพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๒ก็ทรงเดินทัพเข้าสู่กรุงวอร์ซอ (Warsaw) นครหลวงของโปแลนด์ เพื่อสกัดกั้นกองทัพของโปแลนด์ และรัสเซีย ที่ฉวยโอกาสร่วมมือกันทำสงครามกับสวีเดน และได้ปะทะกับกองทัพของซาร์ปีเตอร์ที่ ๑ (Peter I ค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) แห่งรัสเซีย ที่นาร์วาซึ่งรัสเซีย ยึดครองได้ ในระยะแรกกองทัพรัสเซีย พ่ายแพ้กองทัพสวีเดนอย่างยับเยินและต้องถอนทัพออกจากนาร์วา ต่อมาใน ค.ศ. ๑๗๐๖ สวีเดนยังมีชัยต่อโปแลนด์ ด้วย
ใน ค.ศ. ๑๗๐๙ สวีเดนกับรัสเซีย ได้ก่อ “สงครามเหนือครั้งยิ่งใหญ่”(The Great Northern War) ซึ่งยืดเยื้อจนถึง ค.ศ. ๑๗๒๑ สวีเดนเป็นฝ่ายปราชัยและต้องยอมทำสนธิสัญญานู สตัด (Treaty of Nystad) โดยสูญเสียดินแดนเยอรมันที่เคยครอบครองเกือบทั้งหมด รวมทั้งลิโวเนีย เอสโตเนีย อินเกรีย และบางส่วนของคาเรเลีย รวมทั้งเกาะในทะเลบอลติกอีกจำนวนหนึ่ง สงครามครั้งนี้ ทำให้รัสเซีย เป็นมหาอำนาจยุโรป และสร้างความหายนะอย่างมหาศาลให้แก่สวีเดน ทำให้สวีเดนมีอาณาเขตเล็กลงและอ่อนแอจนพวกขุนนางสามารถลิดรอนอำนาสมบูรณาญาสิทธิราชย์และเข้าควบคุมอำนาจปกครองได้อีกครั้งเป็นเวลากว่า ๕๐ ปี ใน ค.ศ. ๑๗๒๐สมเด็จพระราชินีนาถอุลรีกา เอเลโอโนรา (Ulrika Eleonora ค.ศ. ๑๗๑๘-๑๗๒๐)พระขนิษฐาของพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๒ ซึ่งทรงสืบทอดราชบัลลังก์โดยทรงยอมรับเงื่อนไขของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะลิดรอนอำนาจของกษัตริย์ ก็ได้สละราช-สมบัติให้แก่เจ้าชายเฟรเดอริกแห่งเฮสส์-คัสเซิล (Hesse-Kassel)พระราชสวามีเฉลิมพระนามพระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๑ (Frederick I ค.ศ. ๑๗๒๐-๑๗๕๑)
รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๗๒๐ ได้เปิดโอกาสให้สวีเดนก้าวเข้าสู่ยุคแห่งเสรีภาพระบอบประชาธิปไตยเริ่มก่อรูปและสภาริกส์ดักค่อย ๆ เริ่มทำหน้าที่เป็นตัวแทนของปวงประชา มีการออกพระราชบัญญัติการพิมพ์ใน ค.ศ. ๑๗๖๖ ส่วนกลุ่มการเมืองที่มีอิทธิพลในช่วงระยะเวลานี้ ได้แก่ พวกฮอลต์ (Halt หรือ Hat) ที่สมาชิกมาจากกลุ่มขุนนางและเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านรัสเซีย และเป็นมิตรกับฝรั่งเศส และพวกแค็ป (Cap) ที่มาจากฐานันดรที่ตำกว่ ่าหรือประชาชนโดยทั่วไป ซึ่ง
เป็นพวกที่ต้องการให้สวีเดนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดและเป็นมิตรกับรัสเซีย นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลานี้เศรษฐกิจของสวีเดนที่ประสบกับความหายนะในต้นศตวรรษเริ่มฟื้นตัวขึ้น มีการส่งเสริมการทำเหมืองแร่เหล็กและติดต่อค้าขายกับต่างประเทศส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และมีการจัดตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์ขึ้นในกรุงสตอกโฮล์มใน ค.ศ. ๑๗๓๙ ซึ่งทำให้ผลงานของนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในด้านพฤกษศาสตร์
ใน ค.ศ. ๑๗๕๑ เมื่อพระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๑ สวรรคต ราชวงศ์ออลเดนบูร์ก-ฮอลชไตน์-กอตทอร์ป (Oldenburg-Holstein-Gottorp) ได้สืบราชสมบัติสวีเดนจนถึง ค.ศ. ๑๘๑๘ พระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ (Gustav III ค.ศ. ๑๗๗๒-๑๗๙๒)ทรงถือโอกาสที่พวกฮอลต์และพวกแค็ปขัดแย้งกับสภาก่อการรัฐประหารและหันกลับไปปฏิรูปการเมืองที่เพิ่มพูนพระราชอำนาจกษัตริย์ขึ้นมาใหม่ ขณะเดียวกันในรัชกาลนี้งานด้านศิลปะของสวีเดนก็มีความโดดเด่นมาก กษัตริย์ทรงชื่นชมและส่งเสริมงานด้านศิลปะแขนงต่าง ๆ ทั้งยังทรงเป็นผู้วางรากฐานการละครให้แก่สวีเดนโดยทรงสร้างโรงละครแห่งกรุงสตอกโฮล์มขึ้น ทรงส่งเสริมให้ใช้นักแสดงชาวสวีเดนแทนนักแสดงชาวฝรั่งเศส และทรงจ้างนักประพันธ์ชาวสวีเดนเพื่อพัฒนาศิลปะการแสดง (การละคร) ประจำชาติด้วยอีกทั้งใน ค.ศ. ๑๗๘๒ยังทรงเปิดโรงอุปรากรหลวงอันโอ่อ่างดงามและจัดให้มีการแสดงอุปรากรขึ้นเป็นครั้งแรกในสวีเดนทรงอำนวยการจัดแสดง ๖ เรื่องซึ่งทรงมีส่วนร่วมแสดงด้วยพระองค์เอง ๓ เรื่อง
นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๗๘๖ พระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ ยังทรงจัดตั้งสำนักวรรณกรรมแห่งสวีเดนขึ้น โดยได้แบบอย่างจากสำนักวรรณกรรมของฝรั่งเศส มีหน้าที่
ในการส่งเสริมและกำกับดู แลการใช้ภาษาสวีเดนให้ถูกต้อง ในปัจจุบันได้กลายเป็น
องค์กรที่รับผิดชอบในการพิจารณารางวัลโนเบล (Nobel Prize) ๑ สาขาวรรณกรรมซึ่งถือว่าเป็นรางวัลสาขาวรรณกรรมที่มีเกียรติสูงสุดของโลกยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ ยังทรงก่อตั้งสถาบันดนตรี วรรณคดี ศิลปะ ประวัติศาสตร์ และโบราณคดีอีกด้วย ทำให้รัชสมัยของพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองของศิลปวัฒนธรรมของสวีเดน
ในปลายรัชกาล ขณะที่รัสเซีย กำลังติดพันกับสงครามตุรกีครั้งที่ ๒พระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะโจมตีกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กเพื่อยุติการแทรกแซงของรัสเซีย ที่มีต่อการเมืองการปกครองของสวีเดน แต่การโจมตีล้มเหลวและเดนมาร์ก ยังเข้าร่วมกับรัสเซีย ต่อต้านสวีเดนอีกด้วย ส่วนภายในประเทศพวกขุนนางที่คุมกำลังทัพก็ก่อการจลาจลและร่วมกันวางแผนกับซารินาแคเทอรีนที่ ๒(Catherine II ค.ศ. ๑๗๖๒-๑๗๙๖) แห่งรัสเซีย เพื่อลดพระราชอำนาจของกษัตริย์สวีเดน พระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ จึงทรงหันไปร่วมมือกับกลุ่มฐานันดรอื่น ๆ ที่ไม่สังกัดชนชั้นขุนนางและต่อต้านพวกขุนนางในการปราบปรามการจลาจล ในการประชุมสภาริกส์ดัก ค.ศ. ๑๗๘๙ ซึ่งชนชั้นขุนนางถูกสั่งไม่ให้เข้าประชุมด้วย พระองค์สามารถทำข้อตกลงกับสมาชิกสภาฐานันดรอื่น ๆ ให้เห็นชอบกับพระราชบัญญัติการสร้างเอกภาพและความมั่นคง (Act of Union and Security) ซึ่งให้อำนาจสูงสุดแก่พระองค์ขณะเดียวกันก็สามารถลิดรอนอภิสิทธิ์ ต่าง ๆ ของพวกขุนนางลงด้วย
ใน ค.ศ. ๑๗๙๐ พระเจ้ากุสตาฟที่ ๓ ทรงทำสงครามกับรัสเซีย อีกครั้ง โดยทรงบัญชาการทัพเรือในยุทธนาวีที่สเฟนสก์ซุนด์ (Battle of Svensksund) และสามารถจมเรือรัสเซีย ได้ถึง ๕๐ ลำ โดยที่กองทัพเรือของสวีเดนไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ นับเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายของสวีเดนด้วย ต่อมาขณะที่พระองค์คิดวางแผนเข้าร่วมกับประเทศอื่น ๆ ในการทำสงครามต่อต้านการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ใน ค.ศ. ๑๗๙๒ กลุ่มขุนนางที่โกรธแค้นได้คบคิดกันลอบปลงพระชนม์พระองค์ได้สำเร็จในงานอุปรากรสวมหน้ากาก
ในระยะแรกของจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ ๑ (First Empire of France) สวีเดนซึ่งมีพระเจ้ากุสตาฟที่ ๔ อดอล์ฟ (Gustav IV Adolf ค.ศ. ๑๗๙๒-๑๘๐๙) เป็นประมุขได้เข้าร่วมกับอังกฤษ ออสเตรีย และรัสเซีย ต่อต้านการขยายอำนาจของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ในสงครามสหพันธมิตรครั้งที่ ๓ (The Third Coalition War) ใน ค.ศ. ๑๘๐๕ เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปโดยทั้งออสเตรีย (ค.ศ. ๑๘๐๕) และรัสเซีย (ค.ศ. ๑๘๐๗) ต่างพ่ายแพ้ต่อกองทัพฝรั่งเศส และทำสนธิสัญญาสงบศึก รวมทั้งยังถูกบีบให้เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส แต่สวีเดนก็ยังคงยืนกรานที่จะเป็นพันธมิตรกับอังกฤษต่อไปอีก โดยปฏิเสธที่จะทำตามคำเรียกร้องของรัสเซีย ให้สวีเดนเข้าร่วมในระบบภาคพื้นทวีป (ContinentalSystem) เพื่อปิดล้อมอังกฤษทางเศรษฐกิจโดยห้ามประเทศในภาคพื้นยุโรปติดต่อค้าขายกับอังกฤษดังนั้นในต้น ค.ศ. ๑๘๐๘ รัสเซีย และเดนมาร์ก ซึ่งเป็นพันธมิตรของฝรั่งเศส ด้วยจึงร่วมกันโจมตีสวีเดน และในปลายปีนั้น ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑(Alexander I ค.ศ. ๑๘๐๑-๑๘๒๕) แห่งรัสเซีย ยังยาตราทัพเข้าฟินแลนด์ เพื่อปลดปล่อยฟินแลนด์ ให้เป็นอิสระจากสวีเดนและจัดตั้งฟินแลนด์ เป็นราชรัฐชั้นแกรนด์ดัชชี(Grand Duchy) และอยู่ใต้ปกครองของซาร์แห่งรัสเซีย ซึ่งดำรงพระอิสริยยศแกรนด์ดุ็กแห่งฟินแลนด์
การสูญเสียฟินแลนด์ กอปรกับความล้มเหลวของกองทัพสวีเดนในสงครามทำให้พระเจ้ากุสตาฟที่ ๔อดอล์ฟทรงถูกขับออกจากบัลลังก์ในเดือนมีนาคมค.ศ. ๑๘๐๙ และพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๓ (Carl XIII ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๑๘) พระปิตุลาทรงได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. ๑๘๐๙ที่ิลดรอนอำนาจของกษัตริย์และถ่ายโอนอำนาจให้แก่สภาริกส์ดักและตุลาการทั้งยังเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ใช้กันต่อมาโดยมีการแก้ไขเป็นระยะ ๆ จนถึงสิ้นค.ศ. ๑๙๗๔ เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ลดบทบาทของกษัตริย์ลงอีกให้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของประเทศเท่านั้น
จาก ค.ศ. ๑๘๑๐ ถึงการจัดการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress ofVienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕) จอมพล ชอง-บาตีสต์ แบร์นาดอต [(Jean-BaptisteBernadotte) ต่อมาคือพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๔ จอห์น (Carl XIV John ค.ศ. ๑๘๑๘-๑๘๔๔)] เจ้าชายแห่งพอนเตคอร์โว (Prince of Pontecorvo) นายทหารชาวฝรั่งเศส ที่พระเจ้าคาร์ลที่ ๑๓ ทรงอุปการะในฐานะองค์รัชทายาทก็ได้เป็นผู้ปกครองของสวีเดนอย่างแท้จริง ใน ค.ศ. ๑๘๑๓ สวีเดนได้ร่วมกับฝ่ายพันธมิตรต่อสู้กับฝรั่งเศส ในยุทธการที่ไลพ์ซิก (Battle of Leipzig) จนได้ชัยชนะ
ดังนั้น เพื่อเป็นการชดเชยที่เสียฟินแลนด์ ให้แก่ฝรั่งเศส สวีเดนจึงเรียกร้องที่จะปกครองนอร์เวย์ ต่อมาฝ่ายพันธมิตรได้บีบให้พระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๖ (FrederickVI ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๓๙) แห่งเดนมาร์ก ลงนามในสนธิสัญญาคีล (Treaty of Kiel)ยกเลิกระบอบราชาธิปไตยร่วมระหว่างเดนมาร์ก กับนอร์เวย์ และยกนอร์เวย์ ให้แก่สวีเดนอย่างไรก็ดีเดนมาร์ก ก็พยายามที่จะยับยั้งการรวมตัวของนอร์เวย์ กับสวีเดนจนสวีเดนต้องเคลื่อนทัพเข้าไปในนอร์เวย์ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๘๑๔ ได้มีการประชุมที่เมืองมอสส์ (Convention of Moss) ในนอร์เวย์ เพื่อให้นอร์เวย์ ยอมรับการรวมตัวกับสวีเดน นอร์เวย์ จึงต้องตกอยู่ภายใต้การปกครองของสวีเดนเป็นเวลาเกือบศตวรรษกว่าจะสามารถแยกตัวเป็นประเทศเอกราชได้ใน ค.ศ. ๑๙๐๕ ส่วนการเคลื่อนทัพของสวีเดนเข้าไปในนอร์เวย์ ใน ค.ศ. ๑๘๑๔ นั้นก็เป็นการ “ออกศึก”ครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์ของกองทัพสวีเดนจนถึงปัจจุบันด้วย
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ สวีเดนภายใต้การปกครองของราชวงศ์แบร์นาดอตซึ่งเป็นองค์ประมุขของนอร์เวย์ ด้วย จัดเป็นประเทศที่สงบสุขและมีความก้าวหน้าในการให้สิทธิเสรีแก่ประชาชนในระดับหนึ่ง ใน ค.ศ. ๑๘๔๔ ประชาชนได้รับสิทธิในการแสดงความคิดเห็นในสิ่งตีพิมพ์และใน ค.ศ. ๑๘๖๔ เปิดให้มีการค้าเสรีในประเทศใน ค.ศ. ๑๘๖๕ ได้มีการปฏิรูประบบรัฐสภา โดยยกเลิกระบบฐานันดรทั้ง ๔ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสภาริกส์ดักเป็นเวลากว่า ๔๐๐ ปี และเปลี่ยนเป็นระบบ ๒ สภา(แต่ิสทธิการออกเสียงเลือกตั้งยังคงจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้มีอำนาจ) เมื่อเกิดการปฏิวัติค.ศ. ๑๘๔๘ (Revolutions of 1848) ทั่วยุโรป สวีเดนเป็นเพียงไม่กี่ประเทศที่ประชาชนไม่ได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านรัฐบาลอย่างไรก็ดีเมื่อเกิดสงครามไครเมีย (CrimeanWar ค.ศ. ๑๘๕๓-๑๘๕๖)พระเจ้าออสการ์ที่ ๑ (Oscar I ค.ศ. ๑๘๔๔-๑๘๕๙) ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะลิดรอนอำนาจของรัสเซีย ในแถบทะเลบอลติกและยึดฟินแลนด์
คืนจึงพยายามเจรจากับอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อเข้าร่วมในสงครามด้วย แต่สงครามได้ิ้สนสุดลงก่อน แม้สนธิสัญญาปารีส (Treaty of Paris ค.ศ. ๑๘๕๖) จะบีบให้รัสเซีย ต้องถอนทหารออกจากหมู่เกาะออลันด์ (Åland Islands) แต่สวีเดนก็ไม่ได้รับÌผลประโยชน์ใด ๆ และถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวทางการทูตดังนั้น สวีเดนจึงพยายามดำเนินนโยบายอุดมการณ์รวมกลุ่มสแกนดิเนเวีย (Pan-Scandinavianism)ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในความสนใจของแวดวงพวกปัญญาชน โดยหวังว่าสวีเดนจะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับเดนมาร์ก รวมทั้งดำเนินการสร้างความสัมพันธ์ อันใกล้ชิดระหว่างราชวงศ์ในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียเพื่อการรวมตัวกันอีก ใน ค.ศ. ๑๘๖๓พระเจ้าคาร์ลที่ ๑๕ (Carl XV ค.ศ. ๑๘๕๙-๑๘๗๒) ซึ่งทรงเป็นพวกสแกนดิเนเวียนิยม(Scandianavianist) ทรงให้คำสัญญาเป็นส่วนพระองค์กับพระเจ้าเฟรเดอริกที่ ๗(Frederick VII ค.ศ ๑๘๔๘-๑๘๖๓) แห่งเดนมาร์ก ว่าสวีเดนจะให้ความร่วมมือด้านทหารหากแคว้นชเลสวิก (Schleswig) ที่ กษัตริย์เดนมาร์ก ครอบครองถูกกองทัพเยอรมันเข้ารุกราน อย่างไรก็ดี เมื่อกองทัพออสเตรีย และปรัสเซีย โจมตีแคว้นชเลสวิก และฮอลชไตน์ (Holstein) ที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวเยอรมันในค.ศ. ๑๘๖๔ รัฐบาลสวีเดนกลับปฏิเสธที่จะปฏิบัติตามคำสัญญาของพระองค์ในการให้ความช่วยเหลือทางการทหารแก่เดนมาร์ก การไม่ให้ความร่วมมือของสวีเดนดังกล่าวนี้จึงเท่ากับทำให้อุดมการณ์รวมกลุ่มสแกนดิเนเวียในสวีเดนสิ้นสุดลงไปโดยปริยายด้วย
ส่วนในด้านประชากรระหว่าง ค.ศ. ๑๗๕๐-๑๘๕๐ ชาวสวีเดนได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็น ๒ เท่าอย่างไรก็ดีแม้โดยทั่วไปประชาชนจะมีมาตรฐานการครองชีพที่ดีแต่เนื่องจากพัฒนาการทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศมีความเชื่องช้ากว่าหลายๆ ประเทศในยุโรปตะวันตก รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางการเกษตรจากหมู่บ้านที่อาศัยทำกินในที่ดินร่วมกันมาเป็นเกษตรกรรมแบบส่วนบุคคล ชาวสวีเดนจำนวนมากที่ ต้องการชีวิตที่ดีขึ้ นและมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา จึงตัดสินใจอพยพไปตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๕๐-๑๙๑๐ มีชาวสวีเดนกว่า ๑ล้านคนเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ส่วนใหญ่ไปตั้งรกรากอยู่ในเขตมิดเวสต์(Midwest) ของสหรัฐอเมริกา และบางส่วนในแคนาดา ประมาณว่าในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ มีชาวสวีเดนอาศัยอยู่ในเมืองชิคาโก (Chicago) มากกว่าเมืองกอเทนเบิร์ก (Gothenburg) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เป็นลำดับ ๒ ในสวีเดน การอพยพของประชากรกว่า ๑ ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ ๒๐ ของประเทศดังกล่าวจึงทำให้
รัฐบาลสวีเดนต้องหันมาปรับปรุงพัฒนาประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและระบบการเมืองของประเทศในแนวทางของสหรัฐอเมริกาเพื่อดึงดูดไม่ให้ชาวสวีเดนโดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่มีความรู้ความสามารถละถิ่นไปตั้งรกรากในอเมริกาในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ จึงมีการปฏิรูประบบการเมืองและการขยายสิทธิการเลือกตั้งแก่ชนชั้นกลางและแรงงานมากขึ้น ใน ค.ศ. ๑๙๐๗ สมาชิกพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrat) ซึ่งเป็นพรรคของกลุ่มแรงงานที่จัดตั้งขึ้นใน ค.ศ.๑๘๘๙ ก็ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาเป็นจำนวนมาก และต่อมาได้ร่วมมือกับพรรคเสรีนิยม(Liberal) ปฏิรูประบบการเมืองรวมทั้งให้สิทธิเลือกตั้งแก่พลเมืองทั้งชายและหญิงที่บรรลุนิติภาวะใน ค.ศ. ๑๙๒๑
ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ สวีเดนซึ่งหวาดระแวงในการดำเนินนโยบายจักรวรรดินิยมของรัสเซีย ได้หันไปสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเยอรมนี แต่เมื่อสงครามเกิดขึ้น สวีเดนประกาศตนเป็นกลางและร่วมทำข้อตกลงกับเดนมาร์ก ในการรักษาความเป็นกลางและปกป้องผลประโยชน์ร่วมกันในกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียอย่างไรก็ดีเนื่องจากการดำเนินนโยบายที่จะไม่ขัดแย้งกับเยอรมนี อันอาจจะนำไปสู่สงครามได้ ในระยะแรกของสงครามสวีเดนจึงส่งออกสินค้าประเภทเครื่องอุปโภคบริโภคให้เยอรมนี แต่ขณะเดียวกันการนำเข้าสินค้าก็ประสบปัญหาเนื่องจากการขนส่งทางทะเลถูกปิ ดกั้นโดยคู่สงคราม กอปรกับใน ค.ศ. ๑๙๑๗ประเทศยังประสบปัญหาการเก็บเกี่ยวพืชผล จึงทำให้สวีเดนเกือบตกอยู่ในภาวะทุพภิกขภัย นอกจากนี้การปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution) ในเดือนตุลาคม ค.ศ.๑๙๑๗ ยังก่อให้เกิดผลกระทบแก่สวีเดน มีการเผยแพร่และโฆษณาชวนเชื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ในหมู่ประชาชน ก่อให้เกิดการแตกแยกในพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยอันนำไปสู่การแยกตัวของสมาชิกปีกซ้ายและจัดตั้งเป็นพรรคคอมมิวนิสต์สวีเดนในที่สุด
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ มีการจัดตั้งสันนิบาตชาติ(League of Nations)ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๐ เพื่อเป็นองค์การระหว่างประเทศที่เสริมสร้างสันติภาพและป้องกันไม่ให้เกิดสงครามตลอดจนเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ สวีเดนเป็นหนึ่งของประเทศทั่วโลกรวม ๓๑ ประเทศที่ได้เข้าเป็นสมาชิกถาวรแรกเริ่มของสันนิบาตชาติ เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างสวีเดนกับฟินแลนด์ ในกรณีพิพาทหมู่เกาะออลันด์ในทะเลบอลติกในปลาย ค.ศ. ๑๙๒๐ โดยฟินแลนด์ ส่งกองทหารเข้าปราบปรามพลเมืองเชื้อสายสวีเดนในหมู่เกาะที่จัดตั้งเป็นเขตปกครองอิสระขึ้น
อังกฤษและสวีเดนได้นำปัญหาดังกล่าวเข้าสู่ที่พิจารณาของสันนิบาตชาติ และในค.ศ. ๑๙๒๑ สันนิบาตชาติมีมติให้ฟินแลนด์ ได้สิทธิในการปกครองหมู่เกาะออลันด์ และให้การประกันสิทธิทางการเมืองและคุ้มครองทรัพย์สินของชาวสวีเดน ตลอดจนให้ใช้ภาษาสวีเดนในโรงเรียน
ในต้นทศวรรษ ๑๙๒๐ สวีเดนต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจเช่นเดียวกับนานาประเทศในยุโรปแต่ต่อมาเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว การอุตสาหกรรมและการทำประเทศให้ทันสมัยก็เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๒๕-๑๙๒๙ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมขยายตัวถึงร้อยละ ๓๕ การขยายตัวของเมือง การเพิ่มจำนวนของประชากร ตลอดจนการเติบใหญ่ของสังคมเมืองก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่องส่วนจำนวนประชากรในภาคเกษตรกรรมก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงอย่างไรก็ดีภาวะเศรษฐกิจตกตำคร่ ั้งใหญ่ (Great Depression) ทั่วโลกที่เริ่มต้นในปลายทศวรรษ ๑๙๒๐ได้ทำให้สวีเดนต้องเผชิญกับปัญหาคนว่างงาน พรรคสังคมนิยมที่เคยเสียที่นั่งไปบ้างให้แก่พรรคอนุรักษนิยมใน ค.ศ. ๑๙๒๑ ก็กลับขึ้นมากุมอำนาจอย่างมั่นคงอีกครั้งในต้นทศวรรษ ๑๙๓๐พร้อมทั้งเริ่มนโยบายแก้ไขเศรษฐกิจที่เรียกว่า “แบบสวีเดน”(Swedish Model) โดยการจัดหาและจ้างงานแก่ผู้ว่างงาน การเก็บภาษีในอัตราสูงการแก้ไขปัญหานัดหยุดงาน และการสร้างสมานฉันท์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๓๙ ระบบการป้องกันประเทศของสวีเดนอยู่ในภาวะอ่อนแอเนื่องจากใน ค.ศ. ๑๙๒๕ ได้มีการตัดงบประมาณทหารครั้งใหญ่ อย่างไรก็ดี สวีเดนก็ยังคงดำเนินนโยบายเป็นกลางเช่นเดียวกับในสงครามโลกครั้งที่ ๑ แต่ก็หวาดระแวงว่าเยอรมนี จะเข้ารุกรานเนื่องจากทั้งเดนมาร์ก และนอร์เวย์ ซึ่งต่างยึดนโยบายเป็นกลางเช่นเดียวกันได้ถูกกองทัพเยอรมันเข้ายึดครองทั้ง ๒ ประเทศใน ค.ศ. ๑๙๔๒ดังนั้น รัฐบาลสวีเดนในขณะนั้นต้องปรับทีท่าโดยยอมให้เยอรมนี ใช้ถนนและทางรถไฟเป็นเส้นทางลำเลียง ทหารไปนอร์เวย์ และฟินแลนด์ อย่างไรก็ดี ในปลายสงครามเมื่อกองทัพเยอรมันซึ่งเริ่มเป็นฝ่ายถอยร่นจากแนวรบด้านตะวันออกภายหลังความพ่ายแพ้ในยุทธการที่สตาลินกราด (Battleof Stalingrad) สวีเดนจึงเริ่มปรับเปลี่ยนท่าทีและห้ามกองทัพเยอรมันเคลื่อนทัพผ่านสวีเดนอีกต่อไป การดำเนินนโยบายเป็นกลางของสวีเดนที่เคยผ่อนปรนแก่เยอรมนี และสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศอื่นจึงถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่าไร้เกียรติและปราศจากจริยธรรม
แม้จะยึดนโยบายเป็นกลางในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ชาวสวีเดนจำนวนมากก็มีส่วนร่วมในสงครามทั้งในทางตรงและทางอ้อม ประชาชนจำนวนไม่น้อยอาสาสมัครไปช่วยรบป้องกันฟินแลนด์ จากการรุกรานของสหภาพโซเวียตระหว่างค.ศ. ๑๙๔๑-๑๙๔๔ และจำนวนมากได้เปิดบ้านของตนให้ชาวฟินน์เข้ามาอาศัยลี้ภัยรวมทั้งชาวเดน นอร์เวย์ ตลอดจนชาวยิวในประเทศยุโรปที่หนีภัยของสงครามระหว่างการยึดครองของกองทัพเยอรมันและการกวาดล้างชาวยิวด้วย นอกจากนี้นักมนุษยธรรมที่โดดเด่นชาวสวีเดนคือราอูล วอลเลนเบิร์ก (Raoul Wallenberg) ซึ่งมาจากตระกูลนักการธนาคารและนักอุตสาหกรรมได้เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือชาวยิวที่ถูกกวาดล้างจากมาตรการสุดท้าย (Final Solution) ของเยอรมนี ด้วยการทำงานเป็นเลขานุการเอกของสถานเอกอัครราชทูตสวีเดนประจำกรุงบูดาเปสต์(Budapest) เมืองหลวงของฮังการี เพื่อปฏิบัติการลับช่วยเหลือชาวยิวในฮังการี ให้รอดพ้นจากการถูกกวาดต้อนไปค่ายกักกัน (Concentration Camp) และการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) วอลเลนเบิร์กช่วยเหลือด้วยวิีธการต่าง ๆ ตั้งแต่การหาที่หลบซ่อนตัว การติดสินบน การข่มขู่ และการแบล็กเมล์ ซึ่งทำให้เขาสามารถช่วยชีวิตชาวยิวได้นับหมื่น ๆ คน ส่วนตัวเขาหายสาบสูญไป
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง สวีเดนได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ(United Nations - UN) ใน ค.ศ. ๑๙๔๖ และต่อมาดักซ์ ฮัมมาร์เชิลด์(Dag Hammarskjöld) นักการทู ตชาวสวีเดนก็ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ สืบต่อจากทริกฟ์ ฮาล์ฟเดน ลี (Trygve Halvdan Lie)ชาวนอร์เวย์ เขาดำรงตำแหน่งดังกล่าวระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๓ จนถึงแก่กรรมใน ค.ศ.๑๙๖๑ นอกจากนี้ สวีเดนยังมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูบูรณะยุโรปโดยใช้โอกาสที่ประเทศรอดพ้นจากภัยพิบัติจากสงครามและการอุตสาหกรรมโดยไม่ได้ผลกระทบหรือเสียหายเร่งขยายอุตสาหกรรมหนักประเภทต่าง ๆ เพื่อส่งออกเป็นสินค้าแก่นานาประเทศในยุโรป ขณะเดียวกันก็เข้าร่วมในแผนมาร์แชลล์ (Marshall Plan) ของสหรัฐอเมริกาในการช่วยบูรณะฟื้นฟูประเทศยุโรปด้วย เศรษฐกิจของประเทศจึงพัฒนาก้าวหน้าอย่างมากจนสวีเดนกลายเป็นประเทศที่รำรวยท่ ี่สุดประเทศหนึ่งในปลายทศวรรษ ๑๙๕๐ ปัจจัยดังกล่าวนี้มีส่วนทำให้พรรคสังคมประชาธิปไตยซึ่งได้อำนาจทางการเมืองและเป็นฝ่ายจัดตั้งรัฐบาลเกือบตลอดช่วงเวลาครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ สามารถพัฒนาสร้างสวีเดนให้เป็นรัฐสวัสดิการ (welfare state)ได้สำเร็จ ทั้งดำเนินนโยบาย “การกินดีอยู่ดีสำหรับทุกคน“ (“well being for all”policy) ซึ่งได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากสหภาพแรงงานต่าง ๆ ในขณะที่พรรคอนุรักษนิยมไม่เห็นด้วยกับการเก็บภาษีในอัตราสูงและโครงการอุดหนุนเงินบำนาญ
อย่างไรก็ดีในต้นทศวรรษ ๑๙๗๐ เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของสวีเดนเริ่มชะลอตัวลงเนื่องจากเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาทั้งในทวีปยุโรปและสหรัฐอเมริกาทำให้สินค้าอุตสาหกรรมของสวีเดนซึ่งเคยเป็นที่ต้องการของต่างประเทศมีปริมาณลดลงจนส่งผลต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมและรัฐบาลต้องเข้าช่วยเหลือ เช่นอุตสาหกรรมขนส่งทางทะเลและอุตสาหกรรมเหล็กกล้า สถานการณ์เลวร้ายลงมากขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๗๔ เมื่อรัฐบาลต้องขอกู้ยึมเงินจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(International Monetary Fund - IMF) จำนวนมหาศาลเพื่อโอบอุ้มธุรกิจอุตสาหกรรมประเภทต่าง ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เกิดภาวะเงินฝืดและคนว่างงานดังนั้น ในการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. ๑๙๗๖พรรคสังคมประชาธิปไตยจึงสูญเสียที่นั่งและอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลให้แก่พรรคอนุรักษนิยมและพรรคเสรีนิยมและเป็นครั้งแรกในรอบ ๔๔ ปีที่พรรคสังคมประชาธิปไตยไม่ได้มีส่วนร่วมในคณะรัฐบาล อย่างไรก็ดีรัฐบาลสวีเดนชุดใหม่ก็ไม่สามารถแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจนี้ได้ ในต้นทศวรรษ ๑๙๘๐ สวีเดนต้องยืมเงินจากต่างประเทศและนำเข้าสินค้าจำนวนมากซึ่งสูงกว่ารายได้และการส่งออกของประเทศ วิกฤตการณ์เศรษฐกิจดังกล่าวจึงเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาทางการเงินที่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสวีเดนมาจนถึงปัจจุบัน
ในด้านนโยบายต่างประเทศ สวีเดนยึดนโยบายไม่ฝักฝ่ายใด (non-alignment)อย่างเคร่งครัดและปฏิเสธที่จะเข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO) รวมทั้งการเป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรทางการทหารต่าง ๆ ของยุโรปตลอดระยะเวลาของสงครามเย็น (Cold War) แต่ในด้านของการรักษาสันติภาพและการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม สวีเดนได้ให้ความร่วมมือกับประชาคมโลกโดยส่งทหารเข้าปฏิบัติการรักษาความสงบในประเทศต่าง ๆ ตามมติของที่ประชุมองค์การสหประชาชาติและส่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไปให้คำปรึกษาแก่ประเทศต่าง ๆ ที่กำลังพัฒนา นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๕๒ ได้เข้าเป็นสมาชิกของสภานอร์ดิก (NordicCouncil) ของกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียที่มีเป้าหมายทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเมื่อเกิดสงครามเวียดนาม (Vietnam War) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๖๕ สวีเดนเป็นประเทศหนึ่งที่รณรงค์ต่อต้านสงครามและนำไปสู่ความสัมพันธ์อันตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกัน ในช่วงทศวรรษ ๑๙๖๐-๑๙๗๐ สวีเดนก็เป็นแหล่งลี้ภัยทางการเมืองของปัญญาชนอเมริกันที่เคลื่อนไหวต่อต้านสงครามเวียดนามและนโยบายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ใน ค.ศ. ๑๙๙๓ เมื่อประเทศสมาชิกประชาคมยุโรปหรืออีซี (EuropeanCommunity - EC) ๑๒ ประเทศร่วมลงนามในสนธิสัญญามาสตริกต์ (Treaty ofMaastricht) ก่อตั้งสหภาพยุโรปหรืออียู (European Union - EU) ขึ้น สวีเดนเห็นความจำเป็นที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปและได้สมัครเข้าเป็นประเทศสมาชิกซึ่งได้รับการยอมรับให้เป็นสมาชิกพร้อมกับฟินแลนด์ และออสเตรีย เมื่อวันที่๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๙๕ อย่างไรก็ตาม เมื่อสหภาพยุโรปจัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจและการเงินหรืออีเอ็มยู (Economic and Monetary Union - EMU) ขึ้นใน ค.ศ.๑๙๙๙ และกำหนดให้เงินยูโร (Euro) เป็นหน่วยเงินที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของอีเอ็มยูและตลาดโลกใน ค.ศ. ๒๐๐๒ สวีเดนเป็น ๑ ใน ๓ ประเทศ (อีก ๒ประเทศคือ สหราชอาณาจักรและเดนมาร์ก ) ที่ประกาศว่ายังไม่พร้อมที่จะใช้เงินสกุลยูโร (หลังจากมีการลงประชามติใน ค.ศ. ๒๐๐๓) เนื่องจากยังมีปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่ต้องการปรับปรุงให้เข้มแข็งขึ้นก่อน ส่วนการเข้าเป็นสมาชิกนาโตนั้นสวีเดนก็ยังคงยืนยันในนโยบายเป็นกลางและไม่สมัครใจเป็นสมาชิกในขณะที่ประเทศสแกนดิเนเวียอื่น ๆ ได้เข้าเป็นสมาชิกแล้ว
ปัจจุบันสวีเดนมีพระเจ้าคาร์ลที่ ๑๖ กุสตาฟ (Carl XVI Gustav ค.ศ.๑๙๗๓ - ) เป็นองค์ประมุขของประเทศ ทรงเป็นกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ เพราะมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๘๐๙ ใน ค.ศ. ๑๙๗๔ ทำให้กษัตริย์ทรงสูญเสียพระราชอำนาจต่าง ๆ ทั้งหมด และหมดบทบาทในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุดและสิทธิในการร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีและอื่นๆ ทรงมีบทบาทเป็นเพียงพระประมุขและการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เท่านั้น ร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการรับรอง ของรัฐสภาก็ไม่ต้องทูลเกล้าฯถวายเพื่อขอพระราชทานความเห็นชอบอีกต่อไปนอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๘๐ยังมีการออกพระราชบัญญัติให้สิทธิการสืบราชบัลลังก์อย่างทัดเทียมกันแก่พระราชโอรสองค์โตหรือพระราชธิดาองค์โตที่ประสู ติก่อนเจ้าหญิงวิกตอเรียดัชเชสแห่งเวสโตรกอทซา (Victoria, Duchess of Westrogothcaประสูติค.ศ. ๑๙๗๗) ทรงเป็นมกุฎราชกุมารีแห่งสวีเดน และมีเจ้าชายคาร์ล ฟิลิปดุ็กแห่งเวอร์เมลันเดีย (Carl Philip, Duke of Wermelandia ประสูติค.ศ. ๑๙๗๙)เป็นรัชทายาทลำดับ ๒
รัฐธรรมนูญของสวีเดนที่เริ่มใช้เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๗๕ยกเลิกระบบ ๒ สภา (bi-cameral) เป็นแบบสภาเดียว (uni-cameral) ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง ๓๔๙ คนดำรงตำแหน่งวาระละ ๔ ปีพรรคการเมืองที่จะมีสมาชิกสังกัดรัฐสภาได้ต้องได้รับคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเกินกว่าร้อยละ ๔ทั้งนี้เพื่อป้องกันมิให้มีพรรคการเมืองเล็กมากเกินไป ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑พรรคสังคมประชาธิปไตยยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างเหนียวแน่นจากชาวสวีเดนและสามารถครองอำนาจบริหารเป็นเวลากว่า ๖๐ ปี ตั้งแต่ต้นทศวรรษ ๑๙๓๐เป็นต้นมา และสร้างสวีเดนให้เป็นรัฐสวัสดิการที่เป็นแม่แบบของประเทศอื่น ๆตลอดจนประชาชนมีมาตรฐานในการครองชีพสูงแห่งหนึ่งของโลก.