สเปนตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของภาคพื้นทวีปยุโรปและเป็นประเทศใหญ่อันดับ ๓ ของยุโรปรองจากรัสเซีย และฝรั่งเศส เกิดจากการรวมตัวของราช-อาณาจักรกาสตีล (Castile) และราชอาณาจักรอารากอน (Aragon) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ที่ตั้งของประเทศเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างทวีปยุโรปกับทวีปแอฟริกา และระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับมหาสมุทรแอตแลนติก จึงมีผลต่อการหล่อหลอมประวัติศาสตร์อันยาวนานให้มีการรับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมที่หลากหลายโดยเฉพาะจากชนชาวมุสลิมจนทำให้มีลักษณะที่โดดเด่นจากประเทศยุโรปอื่นเป็นประเทศแรก ๆ ที่สร้างจักรวรรดิโพ้นทะเลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖-๑๗เป็นผลให้วัฒนธรรมและภาษาสเปนคงมีบทบาทสำคัญในบางภูมิภาคของโลก แม้หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฐานะและเกียรติภูมิของประเทศจะตกตำลงมากและ่ถูกหมางเมินจากบรรดาประเทศประชาธิปไตยตะวันตกทั้งหลาย แต่เมื่อสเปนพ้นจากยุคเผด็จการทหารในกลางทศวรรษ ๑๙๗๐ และปกครองในระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ สถานการณ์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นทั้งทางด้านเศรษฐกิจการเมือง และการต่างประเทศ
สเปนมีเนื้อที่ร้อยละ ๘๕ ของคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberia) โดยที่เหลือเป็นของโปรตุเกส และอันดอร์รา (Andorra) และยังมีดินแดนที่อยู่นอกภาคพื้นทวีปอีกได้แก่ หมู่เกาะบาเลียริก (Balearic) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน หมู่เกาะคะแนรี(Canary) ในมหาสมุทรแอตแลนติก และหมู่เกาะที่ไร้ผู้อยู่อาศัยอีกจำนวนหนึ่งในบริเวณช่องแคบยิบรอลตาร์ (Gibraltar) นอกจากนั้นยังมีดินแดนในเขตประเทศอื่นอีก ได้แก่ เมืองเล็ก ๆ ชื่อยีเบีย (Llivia) ในเทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees) ซึ่งอยู่ในเขตของประเทศฝรั่งเศส และเมืองเซวตา (Ceuta) และเมลียา (Melilla) ในเขตประเทศโมร็อกโก
การขุดค้นทางโบราณคดีพบว่าคาบสมุทรไอบีเรียมีผู้คนอยู่อาศัยตั้งแต่สมัยหินเก่า (Paleolithic หรือ Old Stone Age) แม้ว่าบางเวลาดินแดนส่วนใหญ่ยัง
คงปกคลุมด้วยน้ำแข็งแต่ก็มีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณที่ราบตอนล่าง มีนักล่าสัตว์จากยุโรปตะวันตกทางใต้และทางตะวันออกเข้ามายังสเปนซึ่งมีวัฒนธรรมเหมือนผู้คนทางใต้ของฝรั่งเศส ทำให้มีภาพวาดและภาพแกะสลักบนผนังและเพดานถ้ำจำนวนมากซึ่งมีอายุราว ๒๕,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช ต่อมาประมาณ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช มีชนจากทางเหนือของยุโรปเข้ามาสู่คาบสมุทรไอบีเรียโดยผ่านเข้ามาทางเทือกเขาพิเรนีส นักเดินเรือและพ่อค้าชาวฟินิเชีย (Phoenician)และกรีกก็เริ่มมาที่ชายฝั่งสเปน ขณะเดียวกันพวกเคลต์ (Celt) จากทางเหนือก็มาด้วย พวกฟินิเชียตั้งสถานีการค้าที่กาดีร์ [(Gadir ปัจจุบันคือ กาดิซ (Cadiz)]และยึดครองท่าเรือต่าง ๆ ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ไม่นานต่อมาพวกกรีกโดยเฉพาะพวกโฟเชียน (Phocaean) มาตั้งสถานีการค้าทางใต้ที่ไมย์นาเก [Mainakeใกล้มาลากา (Malaga) ปัจจุบัน)] เพื่อค้าขายกับราชอาณาจักรตาร์เตสซอส(Tartessos) ในเขตอันดาลู เซีย (Andalusia) ซึ่งเป็นอาณาจักรเดียวที่รุ่งเรืองบนคาบสมุทรไอบีเรียในช่วง ๘๐๐-๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกกรีกจะอยู่ิรมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตะวันออก และพวกฟินิเชียอาศัยอยู่ทางใต้ ชาวกรีกเป็นผู้นำชื่อ “ไอบีเรีย” มาจากการตั้งชื่อแม่น้ำไอเบอร์ [Iber หรือ เอโบร (Ebro) ในภาษาสเปน] และทำให้บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่บนคาบสมุทรนี้ซึ่งสืบเชื้อสายบรรพบุรุษที่มาจากที่ต่าง ๆ กัน ก็เรียกรวม ๆ ว่าชาวไอบีเรีย
พวกฟินิเชียในทวีปแอฟริกาเหนือซึ่งต่อมาเรียกว่าพวกคาร์เทจ (Carthage)ได้ควบคุมช่องแคบยิบรอลตาร์โดยมีอาณานิคมสำคัญคือ คาร์ทาโกโนวา [CarthagoNova ปัจจุบันคือ การ์ตาเคนา (Cartagena)] และขับไล่พวกกรีกออกจากทางตอนใต้ของสเปน แต่พวกกรีกก็ตั้งหลักแหล่งตามเมืองท่าต่าง ๆ บริเวณชายฝั่งตะวันออก จากเขตนี้กรีกได้ส่งผลผลิตโดยเฉพาะภาชนะดินเผาไปขายทั่วคาบสมุทรระหว่าง ๙๐๐-๖๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชชนภาษาตระกู ลอินโด-ยูโรเปียนได้เข้ารุกรานหลายระลอก เช่นพวกเคลต์ ชนเผ่าเยอรมันและตามด้วยเบลจ์ (Belge)กลุ่มเล็ก ๆ ผู้รุกรานเหล่านี้นำวัตถุและอาวุธที่ทำด้วยสัมฤทธิ์ แบบที่ใช้ในยุโรปตะวันตกปลายยุคสัมฤทธิ์ มาด้วย
ใน ๒๑๘ ปีก่อนคริสต์ศักราช เกิดสงครามระหว่างโรมันกับพวกคาร์เทจเรียกว่าสงครามพิวนิก (Punic Wars) ครั้งที่ ๒ กองทัพโรมันได้เข้าสู่คาบสมุทรไอบีเรียในเขตที่พวกคาร์เทจอาศัยอยู่ ครั้นถึง ๑๓๓ ปีก่อนคริสต์ศักราชพวกโรมันสามารถควบคุมไอบีเรียได้ทั้งหมดและผนวกเข้ากับจักรวรรดิโรมันที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นใน
สมัยจักรพรรดิออกัสตัส (Augustus) ตั้งเป็นมณฑลฮิสปาเนีย (Hispania) ขึ้นมีหน้าที่จัดส่งอาหาร น้ำมันมะกอก เหล้าองุ่น และโลหะให้แก่จักรวรรดิโรมัน จนถึงพวกอนารยชนรุกรานในคริสต์ศตวรรษที่ ๕ ในช่วงต้น ๆ ของจักรวรรดิโรมันวัฒนธรรมท้องถิ่นไอบีเรียแทบทั้งหมดสูญหายไป เพราะถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบโรมัน(Romanization) เมืองเก่า ๆ ถูกย้ายจากเขตภู เขาลงสู่ที่ราบ ชุมชนใหม่ ๆ และภาวะสงบทำให้มีการสร้างอาคารที่พัก (villa) หรูหรา ห้องต่าง ๆ ตกแต่งด้วยโมเสกนับเป็นครั้งแรกที่การพัฒนาด้านสถาปั ตยกรรมถึงขีดสุด เมืองในดินแดนสเปนที่มั่งคั่งจะมีโบสถ์ และอาคารสาธารณะต่าง ๆ เพื่อจัดเทศกาลเฉลิมฉลอง มีการสร้างถนนเชื่อมดินแดนที่ห่างไกลออกไป สะพานและเพดานโค้ง ผลงานชิ้นสำคัญคือสะพานส่งน้ำแห่งเซโกเวีย (Segovia) และตาร์ราโกนา (Tarragona) สะพานที่อัลกันตารา (Alcantara) โรงละครครึ่งวงกลมที่อิตาลิกา (Italica) และโรงละครที่เมรีดา (Merida)
เมื่อจักรวรรดิโรมันตะวันตกสลายตัวใน ค.ศ. ๔๗๖ สังคมในดินแดนสเปนไม่ได้ถูกทำลาย ภาษาสเปนแบบปัจจุบันศาสนา และกฎหมายต่าง ๆ เริ่มจากสมัยนี้ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้น สเปนได้ถูกพวกซูเอวี (Suevi) แวนดัล (Vandal) และอาลานี(Alani) เข้ารุกราน และพวกเหล่านี้ก็ถูกพวกวิซิกอท (Visigoth) รุกรานต่อโดยเริ่มตั้งแต่ ค.ศ. ๔๑๕ แม้พวกวิซิกอทจะรับวัฒนธรรมโรมันตอนรุกรานสเปน แต่ยังคงรักษาสถาบันของชนเผ่าเยอรมันอยู่ และสถาปนาระบอบกษัตริย์แบบเลือกตั้งแต่สถาบันกษัตริย์และการบริหารปกครองยังคงมีรูปแบบสเปน-โรมันของชาวพื้นเมืองด้วยพระเจ้าเลโอวิิจลด์ (Leovigild ค.ศ. ๕๖๘-๕๘๖) เป็นกษัตริย์ชาววิซิกอทที่สำคัญที่สุด ทรงทำให้คาบสมุทรไอบีเรียมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โอรสที่ครองราชย์ต่อคือพระเจ้าเรคคาเรด (Reccared ค.ศ. ๕๘๖-๖๐๑) ทรงบังคับให้ชาววิซิกอทเลิกนับถือคริสต์ศาสนานิกายแอเรียน (Arian) และหันมานับถือนิกายโรมันคาทอลิกใน ค.ศ. ๕๘๙ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางศาสนาของประชาชนจึงเกิดขึ้น
ระหว่าง ๓ ศตวรรษที่วิซิกอทปกครองสเปน เกษตรกรรมและการเลี้ยงปศุสัตว์ยังคงเป็นแหล่งนำรายได้สำคัญ ในช่วงบ้านเมืองสงบอุตสาหกรรมและการค้าก็รุ่งเรืองพอควร แต่ภาวะสงบก็มีระยะเวลาสั้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๖ เกิดการแย่งชิงบัลลังก์และสงครามกลางเมืองขึ้น ทั้งในคริสต์ศตวรรษที่ ๗ยังเกิดการพิพาทกันในราชสำนักและปัญหาในราชวงศ์ ช่วงที่พวกวิซิกอทปกครอง มีการใช้ระบบ
วรรณะ ผู้พิชิตนับเป็นชนชั้นปกครองและทหาร มีชนชั้นขุนนางของตน ขณะที่พวกที่รบพ่ายแพ้หรือผู้ถูกปกครองก็ยังคงมียศทางขุนนางและทางสังคมแบบโรมัน ถัดลงไปเป็นอิสรชน (bucelario) ชาวนากึ่งทาส (colono) และล่างสุดคือทาสติดที่ดิน (serf)การปกครองของพวกวิซิกอทสิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๗๑๑ เมื่อพระเจ้าโรเดอริค (Roderickค.ศ. ๗๑๐-๗๑๑) ทรงรบพ่ายแพ้แก่กองทัพมุสลิมของชนเผ่าเบอร์เบอร์ (Berber)ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองในแอฟริกาตอนเหนือ
เมื่อพวกเบอร์เบอร์สามารถรบชนะพระเจ้าโรเดอริค สเปนก็ตกเป็นดินแดนของกาหลิบหรือคอลีฟะห์ (Khalifah) ที่ปกครองจากกรุงดามัสกัส (Damuscus)ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๘ กองทัพมุสลิมได้พยายามเข้ารุกรานยุโรปตะวันตก แต่กองทัพพวกแฟรงก์ (Frank) สกัดกั้นไว้ และพวกมุสลิมพ่ายแพ้ในยุทธการที่เมืองตูร์(Battle of Tours) ใน ค.ศ. ๗๓๒ ทำให้พวกมุสลิมหมดโอกาสที่จะครอบครองดินแดนยุโรปเหนือเทือกเขาพิเรนีส ต่อมาใน ค.ศ. ๗๕๖ เจ้าชายแห่งราชวงศ์อุไมยะห์(Umaiyah) ได้มาตั้งอาณาจักรอิสระ (emirate) ขึ้น และใช้พระนามอับดา-เราะห์มานที่ ๑ (abd ar-Rahman I ค.ศ. ๗๕๖-๗๘๘) ที่มีเอมีร์ปกครองที่เมืองกอร์โดบา(Cordoba) ต่อมาใน ค.ศ. ๙๒๙ เอมีร์อับดา-เราะห์มานที่ ๒ (abd ar-Rahman IIค.ศ. ๘๒๒-๘๕๒)ยกสถานะรัฐเอมีร์เป็นรัฐกาหลิบ (caliphate) และขยายอิทธิพลไปทั่วไอบีเรีย พวกคริสเตียนที่รบพ่ายแพ้ก็ต้องหลบซ่อนในเขตภู เขาทางเหนือเพื่อหาจังหวะตีโต้กลับ พวกมุสลิมที่มาจากแอฟริกามักไม่ได้พาสตรีของตนมาด้วยจึงแต่งงานกับสตรีพื้นเมือง ทำให้ไม่กี่ชั่วคนต่อมา ประชากรลูกผสมที่เป็นมุสลิมในคาบสมุทรไอบีเรียซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษของชาวสเปนมีจำนวนมากกว่าชาวอาหรับเปอร์เซีย ซีเรีย และพวกเบอร์เบอร์พวกอาหรับก็มีการแบ่งชนชั้นในสังคมอย่างชัดเจนไม่ค่อยพำนักในเขตเมือง และดูถูกทั้งพวกคริสเตียน เบอร์เบอร์ และผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามแต่รบพ่ายแพ้ซึ่งเรียกว่าพวกมูลาดี (muladie) ว่าต่ำต้อยกว่าตนส่วนคริสต์ศาสนิกชนที่ไม่เปลี่ยนศาสนาและยอมอยู่ใต้อำนาจพวกมุสลิมเรียกว่าพวกโมซารับ (Mozarab) นอกจากนี้ยังคงมีทาสอยู่ีอกนอกเหนือจากทาสหญิงในฮาเร็มและพวกที่เป็นทาสเชลย มีทาสผิวดำที่เรียกว่า กัลเยโก (gallego) อีกทั้งมีชาวต่างชาติซึ่งเรียกว่า สลาฟ (Slav) ซึ่งซื้อมาทำงานให้กองทัพ
พวกอาหรับที่เป็นชาวนาชั้นเยี่ยมได้ทำระบบชลประทานที่ตกทอดจากพวกโรมันให้สมบูรณ์ขึ้น และนำเข้าพืชพันธุ์ใหม่ ๆ มาเผยแพร่ ได้แก่ ทับทิม ส้ม และอ้อยรวมทั้งวิีธการปลูกข้าวและฝ้ายด้วย อุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองมากคือ อุตสาหกรรม
การทอและย้อมผ้าในเขตกอร์โดบา เซบีย์ (Seville) และกรานาดา (Granada)การผลิตหนังสัตว์ในกอร์โดบา กระดาษและเซรามิกในมาลากา (Malaga) การติดต่อค้าขายอย่างต่อเนื่องกับเขตตะวันออกกลางมีส่วนสนับสนุนการค้าอย่างมากนอกจากนี้ การหารายได้ก็ยังคงใช้ระบบบรรณาการอยู่ การจัดกองทัพเป็นสิ่งที่นักรบมุสลิมให้ความสนใจเป็นอันดับแรก พวกเขาเห็นว่าการทำ จิฮัด (jihad)หรือสงครามศาสนาเป็นหน้าที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ ในสมัยของกาหลิบฮิชามที่ ๒ (HishamII ค.ศ. ๙๗๖-๑๐๐๙, ๑๐๑๐-๑๐๑๓) พวกมุสลิมรบชนะจนขยายเขตแดนไปถึงซานตีอาโก เด กอมปอสเตลา (Santiago de Compostela) และบาร์เซโลนา (Barcelona)
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ รัฐกาหลิบถูกบ่อนทำลายจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงแตกเป็นราชอาณาจักรน้อยใหญ่ ระหว่างปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑-๑๒พวกอัลโมราวิด (Almoravid) และอัลโมฮัด (Almohad) จากแอฟริกาได้รุกรานคาบสมุทรไอบีเรียครั้งใหญ่ โดยมีกำลังของมุสลิมที่อ่อนแอบนคาบสมุทรเข้าร่วม ทำให้อาณาจักรมุสลิมก่อนหน้าต้องยอมพ่ายแพ้ก่อนที่พวกคริสเตียนจะมาขับไล่ต่อไปซึ่งในท้ายที่สุด ชาวมุสลิมได้หนีเข้าไปหลบภัยที่เมืองกรานาดา ซึ่งมีราชวงศ์นาสริด (Nasrid) ปกครองและสามารถคงความเป็นอาณาจักรเอาไว้ได้ระหว่าง ค.ศ. ๑๒๓๒-๑๔๙๒
ในส่วนของอาณาจักรคริสเตียนนั้น เมื่ออำนาจของพวกวิซิกอทเสื่อมลงชาวคริสต์ทางเหนือพยายามรวบรวมกำลัง มีการสืบต่อราชอาณาจักรของวิซิกอทด้วยการตั้งอาณาจักรเล็ก ๆ ในเขตอัสตูเรียส (Asturias) โดยมีเปลาโย (Pelayoค.ศ. ๗๑๘-๗๓๗) ชาววิซิกอทได้รับเลือกเป็นกษัตริย์ จากนั้นค่อย ๆ นำระบบสืบตระกูลมาใช้ ต่อมาชาวคริสต์ที่ต่อต้านมุสลิมซึ่งกระจุกตัวอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและได้รับการสนับสนุนจากจักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemagne)อาณาจักรคาโรลินเจียน (Carolingian Empire) ทางเหนือของสเปน ทำให้เกิดราชรัฐในเขตเทือกเขาพิเรนีสขึ้นหลายแห่งซึ่งปกครองโดยใช้ระบบสืบตระกู ลเหมือนพวกอัสตู เรียน (Asturian) ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ได้มีการจัดตั้งราชอาณาจักรต่าง ๆ ขึ้น ได้แก่ เลออง (Leon) กาสตีล (Castile) นาวาร์ (Navarre)อารากอน (Aragon) รวมทั้งมณฑลบาร์เซโลนาซึ่งได้รวมเข้ากับราชอาณาจักรอารากอนใน ค.ศ. ๑๑๓๗
แม้ราชอาณาจักรต่าง ๆ จะมีการรบพุ่งกันเองบ่อยครั้ง แต่ชาวคริสต์ก็จะผนึกกำลังกันต่อสู้กับพวกมุสลิมและพยายามยึดดินแดนคืน ผู้นำคนสำคัญ ๆ ในการ
ต่อสู้แย่งชิงดินแดนคืน ได้แก่ พระเจ้าซานโชมหาราช (Sancho the Greatค.ศ. ๑๐๐๐-๑๐๓๕) แห่งราชอาณาจักรนาวาร์พระเจ้าอัลฟองโซที่ ๖ (Alfonso VIค.ศ. ๑๐๖๕-๑๑๐๙) แห่งราชอาณาจักรเลอองและกาสตีล ซึ่งสามารถกู้เมืองโตเลโด(Toledo) คืนได้ใน ค.ศ. ๑๐๘๕ และโรกรีโก (รุย)ดีอาซ เด บีบาร์ [Rogrigo (Ruy)Diaz de Vivar] ซึ่งเป็นที่รู้จักลือเลื่องในนาม เอลซิด กัมเปอาดอร์ (El CidCampeador) ซึ่งเป็นชาวกาสตีลที่เคลื่อนพลไปถึงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและยึดเมืองบาเลนเซีย (Valencia) ได้ใน ค.ศ. ๑๐๙๔
แม้มีการนำระบอบฟิวดัลมาใช้ในราชอาณาจักรต่าง ๆ ในคาบสมุทรไอบีเรียแต่ก็มีความแตกต่างกันทั้งในคาบสมุทรและกับที่ือ่น ๆ ในยุโรป อย่างไรก็ดี ในแต่ละราชอาณาจักรกษัตริย์จะมีสภาขุนนางและพระชั้นผู้ใหญ่ช่วยบริหาร กองทัพก็ประกอบด้วยขุนนางและวาสซัลของพวกเขา จนต่อมาจึงได้มีกองกำลังพลเรือนรักษาเมือง และมีกอร์เตส (Cortes) ซึ่งเป็นสภาของนักบวช ขุนนาง และสามัญชนชนชั้นต่าง ๆ ในสังคมประกอบด้วยชนชั้นสูง และชนชั้นสูงระดับล่างลงมาที่เรียกว่าอินฟานโซเนส (infanzones หรือ lesser nobility) อิสรชน ืคอผู้อยู่ในเสรีนครซึ่งเลือกผู้นำเองเรียกว่า เบเฮเตรีย (behetria) ส่วนชนชั้นตำได่ ้แก่ แอดสคริปติซิออส(adscripticios) ซึ่งหมายถึงผู้ที่ไปจากที่ดินทำกินไม่ได้ ทาสติดที่ดินส่วนตัว และปาเยเซส เด เรเมนซา (payeses de remensa) ซึ่งเป็นชาวนาในกาตาโลเนียที่ขึ้นกับกฎเหล็กของระบอบฟิวดัล นอกจากประชากรชาวคริสต์แล้วยังมีชาวยิวจำนวนมากและพวกมูเดคาร์ (Mudejar) หรือพวกมัวร์ (Moor) ท้องถิ่นอาศัยรวมอยู่ด้วย
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ แม้ราชอาณาจักรคริสเตียนจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆแต่ก็คงต่อสู้กับพวกมัวร์ อารากอนสามารถยึดเมืองซารากอสซา (Saragossa) ได้ในค.ศ. ๑๑๑๘ และมีชัยไปถึงแม่น้ำเอโบร ราชอาณาจักรเลอองและกาสตีลพยายามเข้ายึดเมืองอัลเมเรีย (Almeria) แต่ไม่สำเร็จ ต่อมาในสมัยพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๘(Alfonso VIII ค.ศ. ๑๑๕๘-๑๒๑๔) แห่งกาสตีล ก็ทรงมีชัยเหนือพวกอัลโมฮาดในยุทธการแห่งนาวัส เด โตโลซา (Navas de Tolosa) ชัยชนะที่ได้จากการกอบกู้ดินแดนก็มีผลยืนยาว ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ซึ่งถือเป็นยุคทองของราชอาณาจักรในคาบสมุทรไอบีเรียในสมัยกลางด้วยนั้นพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ หรือ เอล กองกิสตาดอร์(James I ; El Conquistador ค.ศ. ๑๒๑๓-๑๒๗๖) แห่งอารากอนได้ครอบครองหมู่เกาะบาเลียริกและเมืองบาเลนเซีย ส่วนพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๘ (FerdinandVIII ค.ศ. ๑๒๑๗-๑๒๕๒) แห่งกาสตีล ได้เมืองกอร์โดบาและเซบีย์ ดินแดนใน
ครอบครองของพวกมุสลิมลดลงจนเหลือเฉพาะราชอาณาจักรกรานาดาเท่านั้นต่อมาอารากอนก็มุ่งสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในสมัยพระเจ้าปี เตอร์ที่ ๓ (PeterIII ค.ศ. ๑๒๗๖-๑๒๘๕) ทรงอ้างสิทธิการสืบราชสมบัติเหนือดินแดนซิซีลีซึ่งทำให้พระองค์ต้องอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับฝรั่งเศส และสันตะปาปา
ส่วนการขยายอาณาจักรทางภาคใต้และตะวันออกเฉียงใต้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ในสมัยพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๑๐ผู้ชาญฉลาด (Alfonso X the Wise ค.ศ. ๑๒๕๒-๑๒๘๔) ได้มีการรวบรวมและจัดทำประมวลกฎหมายซึ่งได้อิทธิพลจากกฎหมายโรมันและกฎหมายวัด และจากจารีตของกาสตีลเอง แต่ในอาณาจักรทางตะวันออก กฎหมายท้องถิ่นยังคงมีความสำคัญโดยเฉพาะในนาวาร์ ส่วนในอารากอน มีการรวบรวมกฎหมายที่ดิน เช่น ประมวลกฎหมายแห่งอวสกา (Codigo de Huesca) ซึ่งรวบรวมขึ้นใน ค.ศ. ๑๒๔๗ ตามพระราชบัญชาของพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ ในด้านกฎหมายนาวีก็มีการจัดทำกฎหมายที่กาตาโลเนีย (Libro del Consulado de Mar) ใน ค.ศ. ๑๒๕๙อิทธิพลของศาสนาคริสต์ การต่อต้านของพวกทาสติดที่ดิน และการเติบโตของเมืองต่าง ๆ ทำให้ชนชั้นล่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ชาวชนบทของกาสตีลก็มีสถานะใกล้เคียงกับผู้ที่อยู่ในเขตเมือง และที่กาตาโลเนียก็มีการจัดตั้งขบวนการปลดปล่อยซึ่งเริ่มขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ดังนั้น โดยทั่วไปจึงดู เหมือนว่ายุคของการมีทาสได้สิ้นสุดแล้ว พวกชนชั้นสูงนั้นก็รำรวยจากการได่ ้รางวัลในการช่วยรบ ได้ที่ดินผืนใหญ่ ๆ ของพวกมัวร์ไปครอบครอง ส่วนพวกชนชั้นกลางซึ่งเพิ่งก่อตัวขึ้นอันได้แก่ ชาวเมือง นักกฎหมายพ่อค้า ช่างฝีมือ และชาวนาที่มีฐานะก็ได้รับความมั่งคั่งไปด้วย
ส่วนศาสนจักรในสเปนก็มีฐานะที่ยิ่งใหญ่ มีการสร้างศาสนสถานของนิกายคลูนิแอก (Cluniac)ซิสเตอร์เชียน (Cistercian) ฟรานซิสกัน (Franciscan) และโดมินิกัน (Dominican) ขึ้นทั่วประเทศ บรรดาทหารจากกาลาตราวา (Calatrava)อัลกันตารา (Alcantara) และซานตีอาโก (Santiago) ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในการกอบกู้ดินแดนคืนจากพวกมุสลิม จึงได้ทั้งอำนาจและทรัพย์สิน รายได้ของราช-อาณาจักรอารากอนและกาสตีลที่ได้จากหลายแหล่งมาจนกระทั่งกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓ ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากจากการมีชัยเหนือพวกมัวร์ การจัดระบบการเก็บภาษี การเป็นเจ้าของเหมืองรวมทั้งเหมืองเกลือ และการทำประมงก็ถูกกันให้เป็นราชทรัพย์ แต่ในกรณีฉุกเฉินทางการเมืองและการทหาร กษัตริย์ก็สามารถขออนุมัติเงินจากสภากอร์เตสได้
ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ขณะที่พวกคริสต์ยังคงต้องรบกับพวกมุสลิมต่อไป เพราะพวกมัวร์ยังอยู่ทางภาคใต้และมีการรุกรานจากมุสลิมในแอฟริกา แต่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอาณาจักรคริสเตียนต่าง ๆ ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง การค้าในอารากอน นาวาร์ และกาสตีลต่างขยายตัว กาสตีลและกาตาลันยังจัดตั้งสถานกงสุลขึ้นในเมืองต่างแดนที่สำคัญ ๆ หลายแห่ง เมืองบาร์เซโลนาและเมืองเซบีย์ต่างมีเรือจากอะเล็กซานเดรีย ตูนิส ฝรั่งเศส อังกฤษ แทนเจียร์ เจนัวปีซา และเวนิส มาแวะติดต่อเป็นประจำ ส่วนสินค้าของอาณาจักรต่าง ๆ ก็เดินทางไปค้าขายกับชาติต่าง ๆ นอกจากนี้ ทั้งกาสตีลและอารากอนต่างก็มีกองเรือพ่อค้าและกองทัพเรือที่ดี กาสตีลและบิซกายา (Vizcaya) ได้มีการเจรจาตกลงการค้ากับลอนดอนพ่อค้าที่เมืองบรูช (Bruges) ก็ทำความตกลงกับสันนิบาตฮันซา (HanseaticLeague) ทั้งพ่อค้าสเปนยังไปตั้งมั่นในเขตฟลานเดอส์ (Flanders) สินค้านำเข้าส่วนใหญ่ของสเปนคือผ้า ส่วนสินค้าออกได้แก่ แร่ธาตุ ผลผลิตทางการเกษตร และปศุสัตว์
ขณะเดียวกันในช่วงระยะเวลาดังกล่าวนี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหมู่ราชอาณาจักรคริสเตียนในไอบีเรีย หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเจ้าปี เตอร์ผู้โหดร้าย (Peter the Cruel ค.ศ. ๑๓๕๐-๑๓๖๙) แห่งกาสตีลและพระเจ้ามาร์ตินที่ ๑(Martin I ค.ศ. ๑๓๙๕-๑๔๑๐) แห่งอารากอน โดยไม่มีรัชทายาท ราชวงศ์ตรัสตามารา(Trastamara) ก็ได้อำนาจปกครองราชอาณาจักรทั้งสองตามลำดับ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางการเมืองระหว่างกาสตีลและอารากอนก็แนบแน่นมากยิ่งขึ้นเมื่อพระราชธิดาในพระเจ้าจอห์นที่ ๒ (John II ค.ศ. ๑๔๐๖-๑๔๕๔) แห่งกาสตีล กับพระราชโอรสของพระเจ้าจอห์นที่ ๒ (John II ค.ศ. ๑๔๕๘-๑๔๗๙) แห่งอารากอนทรงอภิเษกสมรสกันใน ค.ศ. ๑๔๖๙ และเมื่อคู่อภิเษกสมรสทรงขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ (Isabella I ค.ศ. ๑๔๗๔-๑๕๐๔) แห่งกาสตีลและพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ (Ferdinand II ค.ศ. ๑๔๗๙-๑๕๑๖) แห่งอารากอนก็ทรงร่วมกันปกครองราชอาณาจักรทั้งสอง ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้กาสตีลและอารากอนรวมตัวกันเป็น “ราชอาณาจักรสเปน”ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖
การปกครองคู่กันและยังร่วมในราชวงศ์เดียวกันทำให้สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ และพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ ทรงสามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดได้สภากอร์เตสถูกลดบทบาทลง และทั้งสองพระองค์ทรงดำเนินการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ได้แก่ ได้รวบรวมจัดทำประมวลกฎหมายของกาสตีล เปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมโดยการลิดรอนอภิสิทธิ์ ต่าง ๆ ของขุนนางชั้นสูง ขณะที่ชนชั้นกลาง
ได้รับความสำคัญมากขึ้น ในด้านศาสนาได้มีการจัดตั้งศาลศาสนา (Inquisition) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๔๘๐ ดำเนินนโยบายปราบปรามพวกมุสลิมและกำจัดชาวยิวออกจากคาบสมุทรไอบีเรีย ส่วนในด้านเศรษฐกิจได้จัดการสำรวจทรัพย์สินของประชาชนเป็นครั้งแรกระหว่าง ค.ศ. ๑๔๗๗-๑๔๗๙ มีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามทฤษฎีปกป้องสินค้าในประเทศ โดยส่งเสริมการค้าและอุตสาหกรรม และตั้งกำแพงภาษีศุลกากร ออกกฎหมายช่วยอุตสาหกรรมผลิตไวน์ น้ำมันมะกอก ผลไม้ และข้าวตลอดจนส่งเสริมการส่งออกขนสัตว์ โดยเฉพาะแกะพันธุ์เมริโน (merino) ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดที่ฟลานเดอส์มาก
ในการทำสงครามปราบปรามพวกมุสลิม กองทัพคริสเตียนสามารถยึดดินแดนกรานาดาซึ่งเป็นที่มั่นสุดท้ายของมุสลิมคืนได้เมื่อวันที่ ๒ มกราคมค.ศ. ๑๔๙๒ นับเป็นการยุติอำนาจของพวกมุสลิมในคาบสมุทรไอบีเรียที่ดำเนินติดต่อมาเป็นเวลากว่า ๗๐๐ ปี แต่สนธิสัญญากรานาดา (Treaty of Granada)ยังคงอนุญาตให้พลเมืองมุสลิมนับถือศาสนาอิสลามได้ต่อไป ต่อมาใน ค.ศ. ๑๕๐๒พวกมุสลิมก็เริ่มถูกขับไล่ออกจากคาบสมุทรไอบีเรีย ส่วนพวกโมริสกอส (Moriscos) หรือพวกมัวร์ที่เปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ยังคงอยู่ไปได้จนคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ แต่ขณะเดียวกัน ใน ค.ศ. ๑๔๙๒ พวกยิวซึ่งเป็นนักการเงินและพ่อค้าที่มีบทบาทสำคัญทางด้านเศรษฐกิจถูกเนรเทศกว่า ๒๐๐,๐๐๐ คน นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่สำคัญซึ่งจะมีผลกระทบอย่างมากต่อระบบเศรษฐกิจของราชอาณาจักรสเปนที่กำลังก่อตัวขึ้นนอกจากนี้ เมื่อพวกเติร์กสามารถยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลและจักรวรรดิไบแซนไทน์ได้ใน ค.ศ. ๑๔๕๓ การค้าของสเปนกับดินแดนในตะวันออกกลาง และเมืองท่าริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนชะงักงัน สถานการณ์ยิ่งหนักขึ้นเมื่อมีการค้นพบทวีปอเมริกาในค.ศ. ๑๔๙๒ ความสนใจของการค้ามุ่งไปสู่มหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้การค้าและความมั่งคั่งของเมืองลิสบอน (Lisbon) เซบีย์ และกาดิซซบเซาลง
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ขณะที่พวกมุสลิมในคาบสมุทรไอบีเรียพ่ายแพ้แก่ชาวคริสต์ ชาวยิวถูกขับออกจากดินแดน และมีการค้นพบทวีปอเมริกานั้น ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของประวัติศาสตร์ไอบีเรีย พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ แห่งอารากอนทรงดำเนินนโยบายตามบรรพบุรุษด้วยการแทรกแซงดินแดนในคาบสมุทรอิตาลี ด้วย ใน ค.ศ. ๑๔๙๔ เมื่อพระเจ้าชาร์ลที่ ๘ (Charles VIII) ของฝรั่งเศส ได้ครองเนเปิลส์ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ ทรงส่งกองทหารสเปนเข้ารบกับกองทัพฝรั่งเศส เป็นเวลาหลายปี เพื่อแย่งชิงเนเปิลส์จนถึงใน ค.ศ. ๑๕๐๔ ราชอาณาจักรเนเปิลส์ก็ถูกผนวกเข้ากับดินแดนของอารากอน
เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๑ สวรรคต ใน ค.ศ. ๑๕๐๔พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ แห่งอารากอนทรงเป็นผู้สำเร็จราชการของกาสตีล ผู้สืบต่อราช-บัลลังก์ของทั้งสองพระองค์คืออินฟานตา ควนนา (Infanta Juana)พระราชธิดาใน ค.ศ. ๑๔๙๖ ทรงอภิเษกสมรสกับอาร์ชดุ็กฟิ ลิป (Archduke Philip) แห่งออสเตรีย ซึ่งอยู่ในราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) โดยการอภิเษกสมรสครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินนโยบายที่จะใช้วิธีการสมรสเพื่อทำให้สเปนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนานาประเทศและโอบล้อมฝรั่งเศส ใน ค.ศ. ๑๕๐๕ สภากอร์เตสแห่งโตโร (Cortes of Toro) ได้สถาปนาเจ้าหญิงควนนาเป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งกาสตีล ส่วนพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ ยังคงเป็นกษัตริย์แห่งอารากอน ทรงอภิเษกสมรสใหม่กับแชร์แมน เดอ ฟัว (Germaine de Foix)พระภาคิไนยในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๒ สมัยของอาร์ชดุ็กฟิลิปที่ได้ปกครองกาสตีลคู่กับสมเด็จพระราชินีนาถควนนาดำเนินไปในระยะเวลาเพียงสั้น ๆ สิ้นสุดลงเมื่ออาร์ชดุ็กฟิลิปสิ้นพระชนม์ใน ค.ศ. ๑๕๐๖ ส่วนสมเด็จพระราชินีนาถควนนาก็ทรงมีพระสัญญาวิปลาส (ที่หลุมพระศพจารึกว่า Juana la Loca) พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ จึงทรงเข้าบริหารกาสตีลอีกครั้ง มีการยึดเมืองโอราน (Oran) ในแอลจีเรียในค.ศ. ๑๕๐๙ ทรงเข้าร่วมกับสันนิบาตกองเบร (League of Cambrai) ใน ค.ศ. ๑๕๐๘เพื่อต่อต้านเวนิส และกับสันนิบาตศักดิ์สิทธิ์ (Holy League) ใน ค.ศ. ๑๕๑๑ เพื่อต่อต้านฝรั่งเศส จากนั้นในปี ต่อมา พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๒ ทรงเป็นผู้รวมดินแดนต่าง ๆ ในคาบสมุทรไอบีเรียด้วยการสามารถกอบกู้ดินแดนของราชอาณาจักรนาวาร์ส่วนของสเปนจากราชวงศ์อัลแบร์ (House of Albert) ซึ่งถูกยึดไป
ใน ค.ศ. ๑๕๑๒ การเรียกชื่อสเปนที่เกิดจากการรวมตัวของกาสตีล อารากอนและนาวาร์ก็เริ่มเป็นที่นิยมใช้กัน ทั้งที่ความเป็นจริงยังไม่ได้หมายถึงสเปนหรือฮิสปาเนียทั้งหมด (คำว่า สเปน มาจากชื่อภาษาละตินคือ “Hispania”ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำฟินิเชียว่า i-shaphan-im อีกต่อหนึ่ง) เมื่อพระเจ้าเฟอร์ดินานด์สวรรคต ใน ค.ศ. ๑๕๑๖ สมเด็จพระราชินีนาถควนนาก็ได้สืบมรดกของทั้งราชอาณาจักรอารากอนและกาสตีลแต่เนื่องจากทรงไม่อยู่ในภาวะที่จะปกครองได้เจ้าชายชาลส์พระราชโอรสซึ่งประทับอยู่ที่ฟลานเดอส์จึงสืบราชสมบัติในพระนามพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ (ค.ศ. ๑๕๑๖-๑๕๕๖) นับเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ฮับส์บูร์กสายสเปน พระองค์เสด็จมาสเปนทางทะเลจากฟลานเดอส์ ใน ค.ศ. ๑๕๑๗ สภาคอร์เตสของวัลลาโด ซารากอสซา และบาร์เซโลนาต่างยอมรับการเป็นประมุขของ
พระองค์ร่วมกับพระชนนี แม้ว่าในระยะแรกชาวสเปนไม่ยินดีนักเพราะทรงมีความเป็นชาวเฟลมิชมากกว่าชาวสเปนและราชสำนักก็ฟุ่มเฟือย รวมทั้งใน ค.ศ. ๑๕๑๙ทรงแสดงพระประสงค์ในมงกุฎจักรพรรดิของจักรพรรดิแมกซีมีเลียนที่ ๑(Maxinilian I) พระอัยกา (ปู่) อันแสดงว่าทรงนึกถึงประโยชน์ของออสเตรีย และรัฐเยอรมันมากกว่าของสเปน แต่ภายหลังได้รับความช่วยเหลือทางการเงินอย่างมากจากสภาคอร์เตสแห่งลาโกรูญา (Cortes of La Coruña) จึงสามารถเสด็จไปประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นจักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ (Charles V) ที่เมืองอาเคน (Aachen) ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ รัชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ซึ่งดำรงพระอิสริยยศจักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วยนั้นสเปนต้องสู้กับศัตรู ๓ ฝ่าย ได้แก่ ฝรั่งเศส พวกนับถือนิกายลูเทอรัน (Lutheranism)และพวกมุสลิม การทำสงครามกับฝรั่งเศส นั้นส่วนหนึ่งเป็นสงครามติดพันมาจากรัชสมัยพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ ส่วนอีกประการมาจากการแข่งขันส่วนพระองค์กับพระเจ้าฟรานซิสที่ ๑ (Francis I) ของฝรั่งเศส ซึ่งมีพระประสงค์ในมงกุฎของจักรวรรดิเช่นกันและการครอบครองดินแดนในคาบสมุทรอิตาลี
ส่วนที่เกี่ยวกับนิกายลู เทอรันนั้น หลังจากการปฏิรูปศาสนาในรัฐเยอรมันและมีการทำปฏิญญาแห่งเอาก์สบูร์ก (Confession of Augsburg) บรรดาเจ้าโปรเตสแตนต์ได้จัดตั้งสันนิบาตชมาลคัลดิก (Schmalkaldic League) ขึ้นเพื่อคุ้มครองอิสรภาพทางการเมืองและศาสนาของพวกตน และใน ค.ศ. ๑๕๔๖ ได้เกิดสงครามชมาลคัลดิก ในปี ต่อมา เฟรนันโด อัลบาเรซ เด โตเลโด ดุ็กที่ ๓ แห่งอัลบา (Fernando Alvarez de Toledo, 3rd duke de Alva) ก็สามารถรบชนะในยุทธการแห่งมืลแบร์ก (Battle of Mühlberg) แต่ในท้ายที่สุด ฝ่ายกองทัพจักรพรรดิชาลส์ไม่สามารถเอาชนะได้ จึงมีการทำสนธิสัญญาสันติภาพแห่งเอาก์สบูร์ก (Peaceof Augsburg) ใน ค.ศ. ๑๕๕๕ ซึ่งเป็นผลให้เจ้าผู้ครองรัฐต่าง ๆ เลือกนับถือนิกายลู เทอรันได้ ระหว่างนั้น จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ก็ทรงเรียกประชุมสภาคาทอลิกที่เมืองเทรนท์ (Trent ค.ศ. ๑๕๔๕-๑๕๖๓)
การเป็นผู้ปกครองประเทศในเขตทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และการนับถือนิกายโรมันคาทอลิก ทำให้จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ต้องนำสเปนเข้าสู่สงครามที่ยึดเยื้อกับพวกมุสลิมซึ่งมีทั้งโจรสลัดที่เป็นภัยคุกคามดินแดนชายฝั่ง ทรงสู้รบกับบาร์บารอสซาที่ ๒ หรือ แคร์ เอด-ดิน (Barbarossa II - Khair ed-Din) คอร์แซร์ชาวแอลจีเรีย ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนด้วยความมุ่งมั่นที่จะยึดเมืองตูนิส (Tunis)
ให้ได้ แต่สเปนไม่ประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับแอลเจียส์ (Algiers) ใน ค.ศ.๑๕๔๑ ในฐานะกษัตริย์สเปนและผู้นำของคริสต์ศาสนิกชนคาทอลิก ทรงสนับสนุนพวกนักรบ (conquistador) ให้เข้าไปครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของอเมริกากลางและภูมิภาคตอนเหนือและตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ และอนุญาตให้ไปสำรวจชายฝั่งของอเมริกาใต้ทั้งหมดรวมทั้งหมู่เกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใน ค.ศ.๑๕๒๔ มีการตั้งสภาแห่งอินดีส (Council of the Indies) และใน ค.ศ. ๑๕๒๔และ ๑๕๒๙ มีการตั้งอุปราชแห่งนิวสเปนและแห่งเปรูตามลำดับ
ใน ค.ศ. ๑๕๕๖ จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ทรงสละราชสมบัติเสด็จไปประทับที่วัดซานเคโรนีโม เดยุสเต (Monastery of San Jeronimo de Yuste) เจ้าชายฟิลิป(Philip)พระราชโอรสได้ครองราชย์เป็นพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ (Philip II ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๕๙๘) ได้ทรงครอบครองฟลานเดอส์ มิลาน เนเปิลส์ สเปน และอื่น ๆ รวมทั้งดินแดนโพ้นทะเลต่าง ๆ ส่วนอาร์ชดุ็กเฟอร์ดินานด์ (Ferdinand)พระอนุชาในจักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ก็ได้สืบราชสมบัติของออสเตรีย และตำแหน่งจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ อีก ๒ ปีต่อมา จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ก็สวรรคต ณ ที่ประทับบำเพ็ญธรรมเอสเตรมาดูรัน (Estremaduran) ในรัชสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ ถือเป็นยุคทองของสเปน ดินแดนเนเธอร์แลนด์ ได้กลายเป็นปัญหาใหญ่ของสเปนเพราะเป็นดินแดนที่มีชาวโปรเตสแตนต์อาศัยอยู่จำนวนมาก การมีผู้ปกครองสเปนซึ่งนับถือนิกายโรมันคาทอลิกจึงเป็นปัญหาสำคัญ การลิดรอนเสรีภาพในการนับถือศาสนา การปกครองอย่างกดขี่ และการเก็บภาษีประชากรท้องถิ่นอย่างหนัก จึงทำให้ชาวดัตช์รวมตัวกันก่อการกบฏขึ้นโดยมีิวลเลียมผู้เงียบขรึมเจ้าชายแห่งออเรนจ์(William the Silent, Prince of Orange) เป็นผู้นำ ใน ค.ศ. ๑๕๗๙ ได้รวบรวมมณฑลต่าง ๆ ๗ มณฑลทางตอนเหนือเข้าเป็นสหภาพแห่งยู เทรกต์ (Union ofUtrecht) และใน ค.ศ. ๑๕๘๖ เนเธอร์แลนด์ ประกาศเอกราชจากสเปน ส่วนอีก ๑๐มณฑลทางตอนใต้หรือเบลเยียม ในปัจจุบันซึ่งประชาชนนับถือคาทอลิกยังคงอยู่ใต้อำนาจการปกครองของสเปนต่อไปเรียกว่าเนเธอร์แลนด์ ของสเปน (SpanishNetherlands) ดัตช์มีกองเรือที่ทรงพลังที่เรียกว่า “Sea Beggars (Les Gueux)”อันเป็นภัยต่อการค้าทางทะเลของสเปนมาก
นอกจากนี้ มีการแข่งขันอำนาจระหว่างอังกฤษกับสเปนเมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ทรงหมดหวังที่จะสานสัมพันธ์กับประมุขของอังกฤษอีกหลังจากสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ ๑ (Mary I ค.ศ. ๑๕๕๓-๑๕๕๘) แห่งอังกฤษพระมเหสีสวรรคต ใน ค.ศ. ๑๕๕๘
และสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ (Elizabeth I ค.ศ. ๑๕๕๘-๑๖๐๓) ซึ่งนับถือนิกายแองกลิคันประมุขพระองค์ใหม่ทรงแสดงท่าทีปฏิเสธที่จะอภิเษกสมรสด้วย ทั้งยังสนับสนุนให้เรือของเอกชนโจมตีเรือสินค้าสเปนและอาณานิคมของสเปน ส่วนสเปนเองก็มีนโยบายที่จะยกสมเด็จพระราชินีนาถแมรีแห่งสกอต (Mary, Queenof Scots ค.ศ. ๑๕๔๒-๑๕๘๗) ที่นับถือนิกายคาทอลิกขึ้นเป็นประมุขของอังกฤษและมีแผนการลับที่จะโค่นอำนาจของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ หลังจากสมเด็จพระราชินีนาถแมรีแห่งสกอตถูกสำเร็จโทษ ใน ค.ศ. ๑๕๘๘พระเจ้าฟิลิปที่ ๒จึงทรงจัดกองทัพเรืออามาดาที่มีชื่อเสียงว่าไม่มีใครเอาชนะได้ (Invincible Armada)และกำลังทหารของดุ็กแห่งปาร์มาเตรียมบุกเกาะอังกฤษจากเมืองท่าดันเคิร์ก(Dunkirk) เมื่อการรบเกิดขึ้น กองเรือสเปนถูกพายุพัดเสียหายและพ่ายแพ้ต่อยุทธวิธีของฝ่ายผู้บัญชาการทหารเรือของอังกฤษ หลังจากนั้น อำนาจทางทะเลของสเปนก็เสื่อมลง
แม้สมัยปกครองของพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ จะเป็นช่วงสูงสุดของความยิ่งใหญ่ทางการเมืองของสเปน แต่ปัญหาในประเทศด้านเศรษฐกิจและการเมืองภายในก็ยังมีอยู่ ในราชวงศ์เองนั้นดอน การ์ลอส (Don Carlos)พระราชโอรสก็ถูกคุมขังด้วยข้อหาวางแผนกบฏต่อพระองค์ และในราชสำนักก็มีกรณีือ้อฉาวหลายเรื่องของอันโตเนียว เปเรซ (Antonio P”rez) เสนาบดีคนสำคัญ เปเรซหนีจากคุกในค.ศ. ๑๕๙๑ ไปยังอารากอนและยุยงจนเกิดการลุกฮือขึ้นที่เมืองซารากอสซา แต่ก็ถูกระงับลงได้ใน ค.ศ. ๑๕๙๑ ด้วยการใช้มาตรการทางทหารอย่างรุนแรงและควน เด ลานูซา (Juan de Lanuza) ผู้บริหารสูงสุดของอารากอนก็ถูกประหารในรัชสมัยนี้ สเปนได้ผนวกโปรตุเกส ด้วยเมื่อพระเจ้าเซบาสเตียน (Sebastian)แห่งโปรตุเกส สวรรคตโดยไม่มีทายาทสายตรงใน ค.ศ. ๑๕๗๘ จึงเกิดปัญหาการสืบราชสมบัติขึ้นพระเจ้าเฮนรี(Henry ค.ศ. ๑๕๗๘-๑๕๘๐) ซึ่งมีศักดิ์ เป็นพระอัยกาได้ขึ้นปกครองช่วงสั้น ๆ จากนั้นโปรตุเกส ก็ถูกผนวก ในสมัยกษัตริย์สเปน ๓ องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ฮับสบูร์ก ได้แก่ พระเจ้าฟิลิปที่ ๓ (Philip III ค.ศ. ๑๕๙๘-๑๖๒๑)พระเจ้าฟิลิปที่ ๔ (Philip IV ค.ศ. ๑๖๒๑-๑๖๖๕) และพระเจ้าชาลส์ที่ ๒(Charles II ค.ศ. ๑๖๖๕-๑๗๐๐) สเปนมีความเจริญด้านศิลปะและวรรณกรรม แต่ความถดถอยทางการเมืองยังดำเนินต่อไป ใน ค.ศ. ๑๖๔๐ สเปนก็สูญเสียโปรตุเกส
ในสมัยของพระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ฮับส์บูร์กสายสเปน การเป็นมหาอำนาจในยุโรปของสเปนก็สิ้นสุดลง พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์สืบต่อจากพระราชบิดาขณะมีพระชนมายุเพียง ๔ปี ทำให้การ
บริหารประเทศต้องขึ้นอยู่กับบุคคลแวดล้อมต่าง ๆ นอกจากสเปนต้องเผชิญกับปัญหาทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังต้องทำสงครามที่สิ้นเปลืองกับฝรั่งเศส ๓ ครั้งและยังมีการรบกับพวกโมร็อกโกและอัลจีเรียอีกด้วย เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ ๒สวรรคตโดยไม่มีทายาทสายตรง ออสเตรีย และฝรั่งเศส จึงอ้างในสิทธิในการสืบราชสมบัติสเปนขึ้น ก่อนสวรรคต พระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ทรงถูกโน้มน้าวให้มอบราชบัลลังก์สเปนแก่ฟิลิป ดุ็กแห่งอองชู (Philip, Duke of Anjou) ซึ่งเป็นพระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ (Louis XIV ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) และสมเด็จพระราชินีมารีเตแรส (Marie Th”rèse) ซึ่งเป็นพระเชษฐภคินีต่างพระชนนีกับพระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ดุ็กแห่งอองชูจึงได้ขึ้นปกครองสเปน เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าฟิลิปที่ ๕ (ค.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๒๔, ๑๗๒๔-๑๗๔๖) แต่ราชวงศ์ฮับสบูร์กสายออสเตรีย ต้องการให้ราชบัลลังก์สเปนตกแก่อาร์ชดุ็ก ชาลส์ ซึ่งต่อมาได้เป็นจักรพรรดิชาลส์ที่ ๖ แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงสืบมาจากพระเจ้าฟิลิปที่ ๓ จึงมีสายสัมพันธ์ทางญาติใกล้กับพระเจ้าชาลส์ที่ ๒ มากกว่าดุ็กแห่งอองชูหนึ่งชั่วคน ปัญหาดังกล่าวได้นำไปสู่สงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน (War ofSpanish Succession ค.ศ. ๑๗๐๑-๑๗๑๓) สงครามสิ้นสุดลงด้วยสนธิสัญญาอูเทรกท์ค.ศ. ๑๗๑๓ ซึ่งมีผลให้สเปนไม่เพียงสูญเสียอิทธิพลในยุโรปเท่านั้น ยังต้องยอมให้ราชวงศ์บูร์บงของฝรั่งเศส ปกครองสเปนต่อไป ต่อมาสเปนต้องสู้กับออสเตรีย ในสงครามการสืบราชบัลลังก์โปแลนด์ (War of Polish Succession ค.ศ. ๑๗๓๓-๑๗๓๕)กับอังกฤษในสงครามใบหูของเจงกินส์ (War of Jenkinsû Ear) ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๓๙และกับออสเตรีย ในสงครามการสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย (War of AustrianSuccession ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๔๘) ก่อนหน้านั้น ใน ค.ศ. ๑๗๓๓ สเปนลงนามในสนธิสัญญาแห่งเอสกอเรียลหรือความตกลงแห่งตระกู ลฉบับแรก (Treaty ofEscorial; First Family Compact) ซึ่งได้รับการยืนยันอีกครั้งใน ค.ศ. ๑๗๔๓ จึงกลายเป็นความตกลงแห่งตระกูลฉบับที่ ๒ ซึ่งมีผลให้สเปนต้องขึ้นอยู่กับราชวงศ์บูร์บงอย่างสมบูรณ์ ในช่วงสงครามต่าง ๆ สเปนได้เนเปิลส์และซิซีลีคืนมาใน ค.ศ.๑๗๓๔ ซึ่งได้ยกให้แก่ดอน การ์ลอสแห่งบูร์บง (Don Carlos of Bourbonพระราชโอรสในพระเจ้าฟิลิปที่ ๕ กับสมเด็จพระราชินีเอลิซาเบท ฟาร์เนเซ ต่อมาได้เป็นพระเจ้าชาลส์ที่ ๓ แห่งสเปน) และได้รับปาร์มาซึ่งยกให้เจ้าชายฟิลิป (Philip)พระราชโอรสอีกองค์ ใน ค.ศ. ๑๗๔๖ พระเจ้าฟิลิปที่ ๕ สวรรคต พระราชทรัพย์และพระราชวังลากรันฮา หรือซานอิลดีเฟนโซ (Palace of La Granja; SanIldefenso) ใกล้เมืองเซโกเวีย (Segovia) ที่ทรงสร้างเลียนแบบพระราชวังแวร์ซาย
(Versailles) ของฝรั่งเศส ก็ตกแก่พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๖ (Ferdinand VI ค.ศ.๑๗๔๖-๑๗๕๙)พระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีมาเรียลุยซาแห่งซาวอย
ในรัชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ ๓ (ค.ศ. ๑๗๕๙-๑๗๘๘)พระอนุชาของพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๖ สเปนถูกดึงเข้าสู่สงคราม ๗ ปี (Seven Yearsû War ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) โดยร่วมเป็นฝ่ายเดียวกับฝรั่งเศส ตามความตกลงแห่งตระกูลฉบับที่ ๓ค.ศ. ๑๗๖๑ ซึ่งทำให้สิ้นค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้ง ๆ ที่ฝรั่งเศส ยกดินแดนหลุยเซียนา(Louisiana) ให้แก่สเปนตามสนธิสัญญาปารีส (Treaty of Paris) ค.ศ. ๑๗๖๓ส่วนสเปนต้องเสียมีนอร์กาและฟลอริดา ในสงครามปฏิวัติอเมริกา ฝรั่งเศส สู้รบกับอังกฤษอีก (ค.ศ. ๑๗๗๙-๑๗๘๓) เมื่อสงครามสิ้นสุด ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย(Treaty of Versailles ค.ศ. ๑๗๘๓) สเปนได้มีนอร์กาและฟลอริดาคืนมา แต่ไม่ได้ยิบรอลตาร์ ที่เคยเสียให้แก่อังกฤษใน ค.ศ. ๑๗๑๓ ในทวีปอเมริกา สเปนยังต้องสู้รบกับโปรตุเกส เพื่อแย่งชิงอาณานิคมซากราเมนโต (Colonia del Sacramentoปัจจุบันคืออุรุกวัย)
ในรัชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ ๔ (Charles IV ค.ศ. ๑๗๘๘-๑๘๐๘)พระราชโอรสในพระเจ้าชาลส์ที่ ๓ ซึ่งไม่สนพระทัยในการบริหารประเทศเท่าพระราชบิดา สเปนเข้าไปพัวพันในสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (French Revolution-ary War) และพ่ายแพ้ใน ค.ศ. ๑๗๙๕ ต้องตกลงทำสนธิสัญญาแห่งบาเซิล(Treaty of Basel) ใน ค.ศ. ๑๗๙๖ สเปนยังลงนามกับฝรั่งเศส ในสนธิสัญญาซานอิลดีเฟนโซตามแนวของความตกลงแห่งตระกูลที่ผ่านมา ต่อมาใน ค.ศ. ๑๘๐๖เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I) ทรงใช้ระบบภาคพื้นทวีป (ContinentalSystem) เพื่อพิชิตอังกฤษด้วยการปิ ดล้อมทางเศรษฐกิจโดยห้ามประเทศในภาคพื้นทวีปยุโรปค้าขายกับอังกฤษ ฝรั่งเศส ได้ยึดครองเขตเมืองท่าโปรตุเกส ในค.ศ. ๑๘๐๘ และส่งทหารเข้าบุกสเปนและครอบครองกรุงมาดริด จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงแต่งตั้งโจเซฟ โบนาปาร์ต (Joseph Bonaparte)พระเชษฐาขึ้นเป็นกษัตริย์(ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๑๓) แทนพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๗ (Ferdinand VII) แห่งสเปนซึ่งถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์อย่างไรก็ตาม เมื่อฝรั่งเศส พ่ายแพ้ในสงครามคาบสมุทร(Penninsular War)พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๗ จึงกลับมาครองบัลลังก์สเปนอีกครั้งในค.ศ. ๑๘๑๔ แต่ทรงปฏิเสธที่จะรับรองรัฐธรรมนูญ ค.ศ. ๑๘๑๒ ซึ่งให้อำนาจนิติบัญญัติแก่สภากอร์เตสและจำกัดอำนาจกษัตริย์อย่างไรก็ตามพระราชประสงค์ที่จะปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทำให้กองทัพที่มีราฟาเอล เดล
รีเอโกอีนูเญซ (Rafael del Riego y Nuñez) เป็นผู้นำก่อกบฏขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๒๐และเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบเสรีนิยม การปฏิวัติที่เกิดขึ้นในสเปนทำให้ประเทศมหาอำนาจในยุโรปที่ได้ทำข้อตกลงความร่วมมือของยุโรป (Concert ofEurope) จัดการประชุมใหญ่ขึ้นที่เมืองเวโรนา (Verona) ใน ค.ศ. ๑๘๒๒ แต่อังกฤษซึ่งมีผลประโยชน์ในการค้ากับอาณานิคมสเปนอยู่ในทวีปอเมริกาไม่เข้าร่วมประชุมโดยอ้างว่าไม่ต้องการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศอื่น ที่ประชุมตกลงให้ฝรั่งเศส เข้าปราบปรามการปฏิวัติในสเปน พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๗ จึงกลับครองบัลลังก์สเปนอีกครั้งจนสวรรคตใน ค.ศ. ๑๘๓๓
ใน ค.ศ. ๑๘๓๐ พระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๗ ทรงฟื้นจารีตเดิมที่ให้สตรีมีสิทธิสืบราชสมบัติ และมีผลให้พระราชธิดาขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๒ (Isabella II ค.ศ. ๑๘๓๓-๑๘๖๘) แต่ฝ่ายตรงข้ามหรือต่อมาเรียกว่าพวกการ์ลิสต์ (Carlist) เห็นว่าราชบัลลังก์ควรเป็นของดอน การ์ลอส(Don Carlos) พระปิ ตุลา (อา) มากกว่า ปัญหาการสืบบัลลังก์มีส่วนทำให้รัชสมัยของพระนางเป็นสมัยแห่งความยุ่งยาก เพราะตั้งแต่ทรงพระเยาว์ก็ต้องมีผู้สำเร็จราชการจนกระทั่ง ค.ศ. ๑๘๔๓ ใน ค.ศ. ๑๘๓๔ กลุ่มการ์ลิสต์ได้ก่อกบฏขึ้นเรียกว่าสงครามการ์ลิสต์ครั้งที่ ๑ (First Carlist War) แต่ล้มเหลว นอกจากนี้ยังเกิดความไม่สงบทางการเมืองและการแทรกแซงการบริหารประเทศโดยเหล่านายพลบ่อยครั้ง ใน ค.ศ. ๑๘๖๐ ทหารสเปนจึงเข้ายึดเมืองเตตวน (Tetuan) ในโมร็อกโกหลังจากพวกชนเผ่ากระทำการที่คุกคามเมืองเซวตาของสเปนในแอฟริกาเหนือ และตั้งแต่ ค.ศ. ๑๘๖๘ ความยุ่งยากเพิ่มมากขึ้นจนเรียกว่า สมัยแห่งความยุ่งยาก(Period of Troubles ค.ศ. ๑๘๖๘-๑๘๗๔) มีการปฏิวัติเกิดขึ้นจนสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ ๒ ต้องเสด็จหนีออกนอกประเทศใน ค.ศ. ๑๘๖๘ มีการจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้นก่อนที่จะเข้าสู่สมัยของผู้สำเร็จราชการระหว่าง ค.ศ. ๑๘๖๙-๑๘๗๑ ของดุ็กเด ลาตอเร (Duke de la Torre) นายพลควน ปริมอีปรัตส์ (Juan Prim y Prats)และมีการเลือกเฟ้นสมาชิกของราชวงศ์ต่าง ๆ ของยุโรปเพื่อเป็นกษัตริย์ของสเปนรวมถึงสมาชิกของราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น (Hohenzollern) ด้วย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ฝรั่งเศส กับปรัสเซีย ต้องก่อสงครามฝรั่งเศส -ปรัสเซีย (Franco-Prussian War) ในค.ศ. ๑๘๗๑ และนำไปสู่การจัดตั้งจักรวรรดิเยอรมัน (German Empire) ขึ้น ในการฟื้นฟูระบอบกษัตริย์ของสเปนอามาเดอุสดุ็กดาออสตา (Amadeus, Duke dûAosta)พระราชโอรสของพระเจ้าวิกเตอร์ เอมมานูเอลที่ ๒ (Victor Emmanuel II
ค.ศ. ๑๘๔๙-๑๘๗๘) แห่งอิตาลี ได้รับการอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์อย่างไรก็ตาม สมัยของพระเจ้าอามาเดอุสดำเนินไปเพียง ๒ ปี (ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๘๗๓) เท่านั้น ทั้งฝ่ายการ์ลิสต์และฝ่ายนิยมระบอบสาธารณรัฐต่างเป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลและเมินเฉยต่อการแต่งตั้งต่าง ๆพระเจ้าอามาเดอุสจึงทรงสละราชสมบัติใน ค.ศ. ๑๘๗๓ และมีการประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐสเปนขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ใน ค.ศ. ๑๘๗๔ ฝ่ายทหารได้สนับสนุนให้พระราชโอรสของสมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาขึ้นครองราชย์ทรงมีพระนามว่าพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๑๒ (Alfonso XII ค.ศ. ๑๘๗๔-๑๘๘๕) ระหว่างค.ศ. ๑๘๗๓-๑๘๗๖ยังเกิดสงครามการ์ลิสต์ครั้งที่ ๒ ขึ้นด้วย ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๘๗๙พระเจ้าอัลฟองโซที่ ๑๒ ทรงอภิเษกสมรสกับมาเรีย คริสตินา (Maria Christina)แห่งราชวงศ์ฮับสบูร์ก-ลอร์เรนซึ่งได้ให้กำเนิดพระราชโอรสใน ค.ศ. ๑๘๘๖ หลังจากพระองค์สวรรคต
ในระยะแรกของรัชสมัยพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๑๓ (Alfonso XIIIค.ศ. ๑๘๘๖-๑๙๓๑) สมเด็จพระราชินีมาเรีย คริสตินาทรงเป็นผู้สำเร็จราชการระหว่างค.ศ. ๑๘๘๕-๑๙๐๒ เป็นช่วงที่สเปนเสื่อมลงและมีสงครามกับต่างประเทศ ทั้งยังต้องไปปราบกบฏในคิวบาและฟิลิปปินส์อยู่หลายครั้ง ใน ค.ศ. ๑๘๙๘ การโจมตีทำลายเรือยู. เอส. เอส. มารีน (U.S.S. Marine) ที่อ่าวฮาวานาในคิวบา ได้นำไปสู่สงครามระหว่างสเปนกับสหรัฐอเมริกา สเปนพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการรบทางทะเลที่อ่าวมะนิลา (Manila) และเมืองซานติอาโก เด คิวบา (Santiago de Cuba)เมื่อสงครามยุติลงและมีการทำสนธิสัญญาปารีส ค.ศ. ๑๘๙๘ สเปนต้องสูญเสียอาณานิคมสุดท้ายในทวีปอเมริกาและทวีปเอเชีย ใน ค.ศ. ๑๙๐๒พระเจ้าอัลฟองโซซึ่งมีพระชนมายุ ๑๖ ปี ได้รับการประกาศว่าทรงบรรลุนิติภาวะโดยทรงเป็นกษัตริย์ตามระบอบรัฐธรรมนูญ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๐๖ ทรงถูกลอบปลงพระชนม์พร้อมกับเจ้าสาว ใน ค.ศ. ๑๙๐๙ และ ๑๙๑๗ ได้เกิดการนัดหยุดงานครั้งใหญ่เพื่อการปฏิวัตินอกจากนี้ชนเผ่าเบอร์เบอร์ในโมร็อกโกของสเปนก็ได้พยายามก่อกบฏซึ่งจบลงด้วยการแพ้ของฝ่ายสเปนที่เมืองแอนนวล (Annual) ใน ค.ศ. ๑๙๒๑ ความไม่สงบทางการเมืองต่าง ๆ ทำให้นายพลมีเกล ปรีโม เด รีเบราอีออร์โบเนคา (MiguelPrimo de Rivera y Orboneja) ก่อรัฐประหารใน ค.ศ. ๑๙๒๓ และสถาปนาระบอบเผด็จการทหารด้วยความยินยอมของพระประมุข แต่ใน ค.ศ. ๑๙๒๕ ระบอบนี้ก็ถูกแทนที่โดยระบอบเผด็จการของพลเรือนอย่างไรก็ตาม ต่อมาในวันที่ ๑๔ เมษายนค.ศ. ๑๙๓๑ ได้มีการยกเลิกระบอบกษัตริย์และจัดตั้งสาธารณรัฐสเปนเป็นครั้งที่ ๒
และตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลขึ้นโดยมีนิเซโตอัลกาลา ซามอรา (Niceto Alcala Zamora)เป็นทั้งประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี แต่ในเดือนต่อมาก็เกิดการประท้วงของประชาชนซึ่งนำไปสู่การบุกที่ทำการหนังสือพิมพ์แนวอนุรักษนิยม มีการเผาและปล้นสะดมสถานที่ของศาสนจักรหลายแห่ง
รัฐบาลเฉพาะกาลจัดการเลือกตั้งในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๓๑พรรคสังคมนิยมได้ ๑๑๔ ที่นั่ง พรรคพันธมิตรสายกลางซ้ายได้ ๑๔๕ ที่นั่งส่วนพรรคนิยมกษัตริย์ได้เพียง ๑ ที่นั่ง และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้น แต่ก็เกิดการนัดหยุดงานครั้งย่อย ๆ บ่อยครั้ง ต่อมาในวันที่ ๙ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๓๑ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญซึ่งใช้เวลาร่าง ๕ เดือน โดยให้สิทธิพลเมืองทุกคนเท่าเทียมกันตามกฎหมาย ไม่นำสงครามมาเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายของประเทศไม่มีศาสนาทางการ ยกเลิกการใช้ยศและบรรดาศักดิ์ ทั้งหญิงและชายที่อายุเกิน๒๓ ปีมีสิทธิเลือกตั้ง มีการศึกษาแบบให้เปล่าในระดับต้น แยกศาสนจักรออกจากอาณาจักร และให้รัฐเป็นผู้จัดการด้านการศึกษาแทนศาสนจักรยกเลิกอภิสิทธ์และเงินสนับสนุนบางประเภทที่ให้แก่ศาสนานิกายต่าง ๆ ใช้ระบบสภาเดียวซึ่งเรียกว่าสภากอร์เตส มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาทุก ๔ ปี มีประธานาธิบดีเป็นประมุขและหัวหน้าคณะรัฐบาลซึ่งมีการเลือกตั้งทุก ๖ ปี และประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีอัลกาลา ซามอรา (Alcal Zamora)ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๓๑ และมานูเอลอาซานา(Manuel Azaña) หัวหน้าพรรคสังคมนิยมและกลุ่มผสมปีกซ้ายได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
สาธารณรัฐใหม่มีความก้าวหน้าหลายด้าน ยกเว้นเรื่องการปฏิรูปที่ดินและการจัดการกับการประท้วงของฝ่ายค้านจึงทำให้ประชาชนสนับสนุนรัฐบาลน้อยลงมีการนัดหยุดงานมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นอีกในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๓๓ ในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. ๑๙๓๔ เกิดการจลาจลโดยมีศูนย์กลางในเขตอัสตูเรียส ประจวบกับเกิดการก่อกบฏในกาตาโลเนียซึ่งมีผู้เสียชีวิตและทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก อาซานาอดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งลาออกในค.ศ. ๑๙๓๓ ถูกจับและถูกจำคุกด้วยข้อหากบฏ แต่ไม่นานก็ได้รับการตัดสินให้พ้นผิด มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรีหลายชุด ในที่สุดเมื่อสภาคอร์เตสถึงทางตันประธานาธิบดีซามอราจึงยุบสภา ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๓๖ฝ่ายซ้ายได้ ๒๕๖ ที่นั่ง ฝ่ายขวาได้ ๑๖๕ ที่นั่ง และพรรคสายกลางได้ ๕๒ ที่นั่ง
อาซานาซึ่งมีประชาชนเป็นแนวร่วมได้จัดตั้งรัฐบาลผสมฝ่ายซ้ายขึ้น และเริ่มโครงการปฏิรูปสายกลาง แต่ความรุนแรงก็ยังคงมีอยู่ต่อไป ซามอราถูกขับออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อพวกหัวรุนแรงกล่าวหาว่าเขายุบสภาโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญอาซานาได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีในเดือนพฤษภาคม อย่างไรก็ดี เหตุการณ์รุนแรงในสเปนยังคงดำเนินต่อไปโดยกลุ่มและองค์กรติดอาวุธต่าง ๆ ที่สำคัญคือ กลุ่มฟาลังเคเอสปาโญลา (Falange Española) ซึ่งเป็นกลุ่มฟาสซิสต์ การลอบสังหารเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่การลอบสังหารบุคคลสำคัญของฝ่ายกษัตริย์นิยมในเดือนกรกฎาคมทำให้กองทัพเห็นเป็นโอกาสร่วมมือกับกลุ่มอนุรักษนิยมวางแผนโค่นล้มรัฐบาล ขณะเดียวกันนายพลฟรานซิสโก ฟรังโกอีบาอามอนเด (FranciscoFranco y Bahamonde) เสนาธิการทหารซึ่งที่มีแนวคิดขวาจัดที่ก่อนหน้านี้ถูกส่งตัวไปหมู่เกาะคะแนรีเพื่อกันให้ออกจากการเมืองได้เดินทางกลับสเปน และเป็นผู้นำของพวกชาตินิยมต่อต้านรัฐบาล กองกำลังชาตินิยมสามารถยึดเมืองอัลเคซีรัส(Algeciras) กาดิซ และเซบีย์ได้ ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๓๖ เกิดการลุกฮือของค่ายทหารต่าง ๆ ทั่วสเปนตามที่วางแผนไว้อย่างดี แต่กองกำลังอาสาของรัฐบาลที่เพิ่งจัดตั้งขึ้นอย่างฉุกละหุกก็สามารถยับยั้งพวกกบฏได้ และเข้าคุมกองทัพและคลังอาวุธส่วนใหญ่ไว้ได้ อย่างไรก็ดี การลุกฮือได้ลุกลามจนกลายเป็นสงครามกลางเมืองสเปน (Spanish Civil War ค.ศ. ๑๙๓๖-๑๙๓๙) ที่ยึดเยื้อถึง ๓ ปี
ในระยะแรกของสงคราม รัฐบาลสาธารณรัฐดำเนินการกับปัญหาการลุกฮือโดยถือเป็นเพียงการก่อความวุ่นวายระดับท้องถิ่นและเป็นการชั่วคราวเท่านั้นแต่เมื่อสถานการณ์เลวร้ายลง ประธานาธิบดีอาซานาจึงพยายามจัดตั้งรัฐบาลสายกลางขึ้น แต่รัฐบาลมักบริหารประเทศโดยขึ้นกับผู้นำทางทหาร ขณะเดียวกันก็มีการแทรกแซงจากต่างชาติ สหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ฝ่ายรัฐบาลหรือที่เรียกว่าพวกลอยัลลิสต์ (Loyalist) ขณะที่อิตาลี และเยอรมนี สนับสนุนฝ่ายชาตินิยมซึ่งยึดบางส่วนของกรุงมาดริดได้จนรัฐบาลต้องย้ายไปเมืองบาเลนเซียในต้นเดือนพฤศจิกายน กองพลน้อยนานาชาติ (International Brigades) ที่ประกอบด้วยอาสาสมัครจากหลายประเทศได้สมทบกับฝ่ายรัฐบาลในการกอบกู้กรุงมาดริด ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๓๗ ประมาณว่ามีทหารอิตาลี ๗๐,๐๐๐ คนและทหารช่างเทคนิคเยอรมันอีกหลายพันคนได้เข้าร่วมรบกับฝ่ายชาตินิยม
กองกำลังของทั้ง ๒ ฝ่ายหยุดการต่อสู้ในฤดูหนาว ค.ศ. ๑๙๓๖-๑๙๓๗แต่เมื่อถึงฤดูร้อนฝ่ายชาตินิยมมุ่งสู่มณฑลต่าง ๆ ในเขตบาสก์ (Basque) บิลเบาเกร์นีกา (Guernica) ซานตานเดร์ (Santander) ถูกยึดได้ตามลำดับจนกระทั่งคีคอง
(Gijon) ซึ่งเป็นที่มั่นสำคัญแห่งสุดท้ายทางเหนือของฝ่ายรัฐบาลก็ถูกยึดครองทั้ง ๒ ฝ่ายใช้ความทารุณในการสู้รบ ฝ่ายรัฐบาลถูกกล่าวหาว่าสังหารนักบวชและศัตรูทางการเมืองนับร้อยคน ส่วนฝ่ายชาตินิยมทิ้งระเบิดถล่มและยิงกราดพลเรือนหลายแห่ง โดยเฉพาะที่เมืองเกร์นีกาต้องเผชิญกับความโหดเหี้ยมที่สุด แต่การก่อจลาจลของพวกหัวรุนแรงและฝ่ายซ้ายในบาร์เซโลนาเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๓๗บีบบังคับให้รัฐบาลตั้งควน เนกรีน (Juan Negrัn) เป็นนายกรัฐมนตรีแทนลาร์โกกาบัลเยโร (Largo Caballero) ในเดือนตุลาคม สมาชิกสภาคอร์เตสจำนวน ๑๘๕จาก ๔๕๐ คน ประชุมที่เมืองบาเลนเซียและตัดสินใจย้ายที่ทำการรัฐบาลไปยังบาร์เซโลนา แต่ต่อมาไม่นานกองทัพรัฐบาลก็เริ่มรุกกลับจนยึดเมืองเตรูเอล (Teruel)คืนได้ ในฤดูใบไม้ผลิค.ศ. ๑๙๓๘ กองกำลังชาตินิยมเป็นฝ่ายรุกบ้าง โดยมีทั้งกำลังพลและยุทธปัจจัยที่มากกว่า ทำให้ฝ่ายรัฐบาลซึ่งด้อยทั้งกำลังและยุทธปัจจัยต้องเพิ่มความพยายามเป็น ๒ เท่า แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการถูกโจมตีได้
ปลายเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๓๙ เมืองบาร์เซโลนาถูกระดมยิงและทิ้งระเบิดทั้งจากทางบก ทะเล และอากาศ นายกรัฐมนตรีเนกรีนเดินทางไปขอความช่วยเหลือในกรุงปารีสและที่ือ่น ๆ แต่ไม่สำเร็จ นครบาร์เซโลนาจึงถูกยึดครองในเดือนนั้น และไม่กี่วันต่อมาการต่อต้านของฝ่ายรัฐบาลในกาตาโลเนียก็ิส้นสุดลงเนกรีนซึ่งยังมีสภากอร์เตสที่มีจำนวนสมาชิกลดลงเรื่อย ๆ สนับสนุนปฏิญาณว่าจะไม่ยอมแพ้ แต่อย่างไรก็ดี ชาวมาดริดและบาเลนเซียซึ่งขาดทั้งยุทธปัจจัยและกำลังใจก็ต้องยอมจำนน ก่อนยอมแพ้ กรุงมาดริดได้กลายเป็นสมรภูมิแห่งการนองเลือดเพราะพวกคอมมิวนิสต์ตัดสินใจสู้ต่อและก่อกบฏต่อคณะทหาร ฝ่ายชาตินิยมเรียกร้องให้รัฐบาลยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ในวันที่ ๒๘ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ฝ่ายชาตินิยมเข้ายึดครองกรุงมาดริดอย่างสมบูรณ์ สงครามกลางเมืองที่ขมขื่นและยาวนานถึง ๓ ปีก็จบสิ้นลง มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ๑,๐๐๐,๐๐๐ คน ก่อนหน้านั้น๑ เดือน อังกฤษและฝรั่งเศส ได้รับรองรัฐบาลชาตินิยมที่มีนายพลฟรังโกเป็นผู้นำซึ่งเท่ากับทำลายความหวังของฝ่ายรัฐบาลหรือพวกลอยัลลิสต์จนหมดสิ้น ในเดือนเมษายน สหรัฐอเมริกาก็รับรองรัฐบาลของนายพลฟรังโกด้วย
ในการรวมอำนาจให้เป็นปึกแผ่น ฟรังโกกำหนดให้มีพรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวคือพรรคฟาลังเค (Falange หรือ Falange Española Tradicionalista) ซึ่งมีนโยบายชาตินิยม ขยายจักรวรรดิต่อต้านคอมมิวนิสต์ และเชิดชูนิกายโรมันคาทอลิกเขาเป็นทั้งหัวหน้าพรรค ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประมุขของประเทศ เมื่อเกิด
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เขาประกาศนโยบายเป็นกลางในวันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ.๑๙๔๐อย่างไรก็ดีเมื่อเยอรมนี โจมตีโซเวียตกลางปีต่อมาพวกฟาลังเคสเปนก็ระดมกองพลใหญ่ีสน้ำเงิน (Blue Division) ร่วมกับเยอรมนี โจมตีรัสเซีย ด้วย การที่ฝ่ายอักษะตกเป็นฝ่ายตั้งรับในกลาง ค.ศ. ๑๙๔๔ และการถูกแรงกดดันทางการทูตจากฝ่ายพันธมิตร อีกทั้งการที่สหรัฐอเมริกายุติการส่งน้ำมันให้สเปน ทำให้ฟรังโกต้องลดการช่วยฝ่ายอักษะลง เมื่อสงครามโลกยุติสหประชาชาติ(United Nations) ได้ลงมติไม่ให้สเปนเข้าเป็นสมาชิก จนกระทั่ง ค.ศ. ๑๙๕๐ สมัชชาใหญ่จึงอนุญาตให้สเปนเข้าร่วมในองค์การชำนัญพิเศษบางองค์การของสหประชาชาติ แต่เมื่อสมาชิกหลายประเทศเห็นว่าสเปนเป็นปราการสำคัญในการต้านการแพร่ของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรป ในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๕๕ สเปนจึงได้เป็นประเทศสมาชิกอย่างสมบูรณ์ ก่อนหน้านั้น ๒ ปี สหรัฐอเมริกาและสเปนก็ได้ลงนามในความตกลงที่อนุญาตให้สหรัฐอเมริกาจัดตั้งฐานทัพเรือใกล้เมืองกาดิซ และฐานทัพอากาศใกล้เมืองเซบีย์ มาดริด และซารากอสซา เพื่อเป็นการตอบแทนที่สหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือทางทหารและเศรษฐกิจแก่สเปน ส่วนภายในประเทศนั้น เหตุการณ์ที่สำคัญคือใน ค.ศ. ๑๙๔๗ ฟรังโกประกาศว่าระบอบกษัตริย์ที่สิ้นสุดไปใน ค.ศ.๑๙๓๑ จะได้รับการฟื้นฟูใหม่เมื่อเขาเสียชีวิตหรือเกษียณจากการเป็นประมุขรัฐบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจะได้รับเลือกจากสภาคอร์เตส เว้นแต่ว่าเขาจะเสนอชื่อผู้สืบต่อเป็นกษัตริย์หรือผู้สำเร็จราชการเอง
ในทศวรรษ ๑๙๖๐ สเปนเริ่มพัฒนาและเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว มีผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐกิจเข้ามาจัดทำแผนรักษาเสถียรภาพ (StabilizationPlan) การลงทุนของต่างชาติโดยเฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและเยอรมนี ตะวันตกอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลายเป็นอุตสาหกรรมอันดับหนึ่งเพราะภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่ดึงดูดลูกค้าจากยุโรปและอเมริกาเหนือ ทั้งราคาไม่สูง นอกจากนี้ผู้อพยพจากสเปนไปยังสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนี ตะวันตก และฝรั่งเศส ซึ่งต้องการแรงงานไร้ทักษะระหว่าง ค.ศ. ๑๙๕๙-๑๙๗๔ ซึ่งมีจำนวนถึง ๓,๐๐๐,๐๐๐ คน ได้ส่งเงินกลับสู่ประเทศจำนวนมาก ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจของสเปนขึ้นระหว่างค.ศ. ๑๙๖๐-๑๙๗๔ เศรษฐกิจเติบโตร้อยละ ๖๖ ต่อปีซึ่งจัดว่าเร็วกว่าทุกแห่งยกเว้นญี่ปุ่น สเปนจึงเปลี่ยนเป็นประเทศอุตสาหกรรม มีรายได้หลักจากสินค้าและการบริการแทนเกษตรกรรม และดึงดูดให้พลเมืองจากโลกที่สามอพยพเข้าไป
ในด้านนโยบายต่างประเทศ สเปนพยายามเข้าเป็นสมาชิกในองค์การตลาดร่วมยุโรป (Common Market) แต่ก็ถูกปฏิเสธหลายครั้ง สเปนจึงสร้างความสัมพันธ์ทางการค้ากับประเทศสมาชิกตลาดร่วมยุโรปโดยผ่านข้อตกลงพิเศษหลายฉบับส่วนกับอังกฤษที่อยู่นอกตลาดร่วมยุโรปเช่นกันในช่วงแรก ๆ การค้าก็ดำเนินเรื่อยมาแม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ่อยครั้งเกี่ยวกับยิบรอลตาร์ นายพลฟรังโกยังประกาศความเป็นมิตรต่อชาติอาหรับที่กำลังขัดแย้งกับอิสราเอล สเปนยอมรับเอกราชของอีเควตอเรียลกินี(Equatorial Guinea) ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ และตามสนธิสัญญาเฟซ (Fez) ค.ศ. ๑๙๖๙ สเปนได้มอบเขตอิฟนี(Territory of Ifni) คืนให้แก่โมร็อกโก โดยยังคงรักษาเซวตาและเมลียาไว้ ต่อมาตามข้อตกลง ค.ศ. ๑๙๗๕ก็ให้โมร็อกโกและมอริตาเนีย (Mauritania) ร่วมกันปกครองสแปนิชสะฮารา (SpanishSahara)
ในวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๖๙ ฟรังโกเสนอให้ควน การ์โลส (JuanCarlos) แห่งราชวงศ์บูร์บง (Bourbon)พระราชนัดดาในพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๑๓ เป็นผู้สืบตำแหน่งประมุขของประเทศและได้รับอิสริยยศเป็น เจ้าชายแห่งสเปน(Prince of Spain) ทรงทำหน้าที่เป็นประมุขแห่งรัฐชั่วคราว ๒ ครั้งในช่วงที่ฟรังโกล้มป่วยใน ค.ศ. ๑๙๗๔ และ ค.ศ. ๑๙๗๕ และเมื่อฟรังโกถึงแก่อสัญกรรมด้วยโรคหัวใจเมื่อวันที่ ๒๒พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๗๕ เจ้าชายควน คาร์ลอสก็ได้รับการสถาปนาเป็นพระเจ้าควน คาร์ลอสที่ ๑ หลังจากนั้น สเปนก็เริ่มปฏิรูปประเทศตามแนวทางประชาธิปไตย ใน ค.ศ. ๑๙๗๖ มีการยกเลิกข้อห้ามเกี่ยวกับการดำเนินการทางการเมือง ในปี ต่อมา มีการจัดการเลือกตั้งที่เสรีครั้งแรกนับตั้งแต่ค.ศ. ๑๙๓๖ พรรคสหภาพแห่งประชาธิปไตยสายกลางหรือยูซีดี (Unัon de CentroDemocrático - UCD) ได้ที่นั่งส่วนใหญ่ สภาคอร์เตสใหม่ซึ่งประกอบด้วย ๒ สภาได้แก่ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาก็ได้ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งได้รับการรับรองในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๗๘ ซึ่งระบุว่าสเปนเป็นประเทศสังคมประชาธิปไตย มีกษัตริย์ในระบบสืบสันตติวงศ์ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ พระเจ้าควน คาร์ลอสทรงเป็นทั้งองค์ประมุข ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และประธานสภาป้องกันสูงสุด สเปนยึดหลักอิสรภาพยุติธรรม เสมอภาค และพหุนิยมทางการเมือง ภาษาราชการมี๔ ภาษาคือ กัสติเลียน กาตาลัน กัลเยโกหรือกาลิเชียน และบาสก์หรือ Euskara
ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ยังคงอยู่คือ ภูมิภาคเก่าแก่ต่าง ๆ ต่างพยายามขอสิทธิการปกครองตนเอง ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ กฎหมายให้สิทธิปกครอง
ตนเองแก่กาตาโลเนียและบาสก์ได้ผ่านการลงประชามติโดยได้รับเสียงสนับสนุนอย่างท่วมท้น แต่รัฐบาลไม่เห็นชอบกับการลงประชามติในทำนองเดียวกันของเขตอันดาลู เซียในปีต่อมาเพราะเกรงว่าจะทำให้รัฐบาลกลางอ่อนแอ อย่างไรก็ดีพวกหัวรุนแรงในเขตบาสก์ก็ยิ่งอยากได้เอกราชอย่างสมบูรณ์ จึงมีการก่อการร้ายขององค์การเพื่อบ้านเกิดและเสรีภาพของบาสก์หรืออีทีเอ (Basque Homelandand Liberty; Euskadi ta Askatasuna - ETA)อยู่เนือง ๆ เช่น การใช้ระเบิดสังหารพลเรือเอกลูอิส การ์เรโร บลังโก (Luis Carrero Blanco) นายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. ๑๙๗๓ ในที่สุดเมื่อถึง ค.ศ. ๑๙๘๓ ประชาคมต่าง ๆ ทั้งหมด ๑๗ แห่งก็ได้สิทธิปกครองตนเอง (autonomous communities) หลังจากมีการลงประชามติในแต่ละแห่ง สเปนจึงมีการปกครองในลักษณะกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น โดยแต่ละเขตมีสภาของตนเองอย่างไรก็ดีอำนาจในการปกครองส่วนท้องถิ่นก็มีระดับแตกต่างกันไป
ช่วงที่บรรยากาศทางการเมืองยังไม่มั่นคง ในวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๘๑ขณะที่สภากำลังจะลงมติรับรองรัฐบาลใหม่ พันโท อันโตเนียว เตเคโร โมลีนา(Antonio Tejero Molina) ได้ก่อรัฐประหารโดยนำสมาชิกของกองกำลังพลเรือนส่วนหนึ่งเข้าไปจับสมาชิกสภา ๓๕๐ คนเป็นตัวประกันพลโท ไคเม มีลานส์ เดล บอช(Jaime Milans del Bosch) ผู้บัญชาการทหารแห่งบาเลนเซียก็ประกาศภาวะฉุกเฉินและส่งรถถังลาดตระเวนในตัวเมือง แม้จะมีนายทหารอาวุโสหลายคนอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รวมทั้งคนที่ใกล้ชิดราชสำนัก แต่คณะเสนาธิการทหาร ตำรวจ และสมาชิกกองกำลังพลเรือนส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะสนับสนุนพระเจ้าควน คาร์ลอสทรงเข้าแทรกแซงและดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างฉับพลันโดยทรงได้รับคำปฏิญาณแสดงความภักดีจากผู้บัญชาการทหารอื่น ๆ จนทำให้การกบฏสิ้นสุดลงในวันรุ่งขึ้น พันโท เตเคโรยอมแพ้ บรรดาสมาชิกสภาได้รับการปล่อยตัวหลังถูกจับกุมอยู่ ๑๘ ชั่วโมงโดยไม่มีใครถูกทำร้าย ภายหลังเหตุการณ์ นายทหารกว่า ๓๐ คนถูกดำเนินคดี
หลังการกบฏ สเปนก็มีพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งสเปน (Spanish Social-ist Workersû Party - PSOE) บริหารระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๒-๑๙๙๖ ซึ่งนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนจากระบอบฟรังโกอย่างสิ้นเชิง เพราะรัฐบาลชุดแรกที่พรรคนี้จัดตั้งไม่มีรัฐมนตรีที่เคยมีตำแหน่งสมัยฟรังโกร่วมอยู่ด้วย พรรคสังคมนิยมของสเปนได้ละทิ้งอุดมการณ์มาร์กซิสต์ และรับนโยบายเศรษฐกิจเพื่อการตลาด ต้องการลดภาวะ
เงินเฟ้อ และพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้ทันสมัย ซึ่งมาตรการต่าง ๆ นั้นทำให้สหภาพแรงงานขุ่นเคืองใจ พรรคสังคมนิยมพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ค.ศ. ๑๙๙๖เมื่อพบว่าบุคคลในรัฐบาลหลายคนเกี่ยวข้องกับหน่วยสังหารที่ตั้งขึ้นมาปราบปรามกลุ่มที่ต้องการแยกดินแดนพรรคแนวอนุรักษนิยมจึงได้โอกาสจัดตั้งรัฐบาล
ใน ค.ศ. ๒๐๐๐ โคเซ มาเรียอัซนาร์ (Jos”Marัa Aznar) จากพรรคประชาชน(Popular Party) เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ ๒ เขาเป็น ๑ ใน ๘ ผู้นำยุโรปที่สนับสนุนให้สหรัฐอเมริกายื่นคำขาดต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน (SaddamHussein) แห่งอิรักให้สละอำนาจ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๓ สเปนเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดที่เกาะอะโซร์ส (Azores) และมีการออกแถลงการณ์ร่วมของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) ของสหรัฐอเมริกา นายกรัฐมนตรีโทนี แบลร์ (Tony Blair) ของอังกฤษ และอัซนาร์ประณามการปกครองของซัดดัม ฮุสเซนและสนับสนุนให้ใช้กำลังทหารหากจำเป็น หลังสหรัฐอเมริกาโจมตีอิรัก อัซนาร์ก็เสนอว่าสเปนจะร่วมในกองกำลังรักษาความสงบและหน่วยงานด้านมนุษยธรรมในอิรัก ในเดือนกรกฎาคม ทหารสเปนจำนวน ๑,๓๐๐คน ก็ถูกส่งไปอิรักทั้ง ๆ ที่ชาวสเปนร้อยละ ๙๐ เห็นว่าสหรัฐอเมริกากระทำไม่ถูกเช้าวันที่ ๑๑ มีนาคม ปีต่อมา เกิดเหตุรถไฟ ๓ ขบวนถูกระเบิด ๑๐ ลูกขณะกำลังแล่นนำผู้โดยสารไปทำงานในกรุงมาดริด มีผู้เสียชีวิต ๑๙๑ คน และบาดเจ็บ๑,๔๐๐ คน สเปนต้องประกาศไว้ทุกข์ ๓ วัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกล่าวหาว่าเป็นการกระทำของขบวนการแบ่งแยกดินแดนชาวบาสก์หรืออีทีเอชาวสเปน ๒ ล้านคนเดินขบวนในกรุงมาดริดประณามการใช้ความรุนแรง แต่ต่อมารัฐบาลก็ถูกกดดันเมื่อหลักฐานบ่งชี้ว่าการระเบิดเกี่ยวข้องกับขบวนการของอุซามะบิน ลาดิน (Usama bin laden) ดังนั้น การเลือกตั้งในวันที่ ๑๔ มีนาคมพรรคสังคมนิยมจึงได้ชัยชนะ โคเซ ลุยส์ โรดรีเกซ ซาปาเตโร (Jos”Luis RodriguezZapatero) ทนายความหนุ่มหัวหน้าพรรคได้เป็นนายกรัฐมนตรีและกระทำตามนโยบายที่เคยหาเสียงทันทีโดยการประกาศว่าสเปนจะถอนทหารออกจากอิรักโดยเร็วที่สุด
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ นอกจากชาวสเปนจะหวาดผวากับการก่อการร้ายของชาวมุสลิมหัวรุนแรงแล้ว สเปนยังต้องเผชิญกับปัญหาการก่อความรุนแรงของอีทีเอ ซึ่งสังหารผู้คนไปกว่า ๘๐๐ คนตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๖๘ มีผลให้รัฐบาลสเปนต้องร่วมมือกับฝรั่งเศส และแอลจีเรียอย่างใกล้ชิด (สองประเทศนี้เป็นที่หลบภัยของสมาชิกอีทีเอ) อย่างไรก็ดี ชาวบาสก์ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง
และอีทีเอก็ได้ประกาศหยุดยิงอย่างถาวรโดยให้มีผลนับแต่วันที่ ๒๔ มีนาคมค.ศ. ๒๐๐๖ นอกจากพวกบาสก์แล้ว ยังมีกลุ่มชาตินิยมในกาตาลันและกาลิเซียอีกที่ใช้วิธีการก่อการร้าย
สเปนมีนโยบายที่ชัดเจนว่าต้องการมีส่วนร่วมในเวทีระหว่างประเทศ เพื่อเป็นการเชิดชูสถานะของประเทศและทั้งเอื้ออำนวยให้แก่การพัฒนาประเทศ สเปนได้เป็นสมาชิกขององค์การนาโตใน ค.ศ. ๑๙๘๒ ประชาคมยุโรปใน ค.ศ. ๑๙๘๖สหภาพยุโรปตะวันตก (Western European Union - WEU) ใน ค.ศ. ๑๙๘๘ และในค.ศ. ๑๙๙๒ สเปนก็จัดทหารเข้าร่วมในกองกำลังรักษาความสงบแห่งสหประชาชาติเป็นครั้งแรกในบอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา ใน ค.ศ. ๑๙๙๙ ก็ร่วมกับกองกำลังนาโตสู้กับยูโกสลาเวียและรับผู้ีล้ภัยชาวคอซอวอ (Kosovo) จำนวน ๑๐,๐๐๐ คน ทั้ง ๆที่สเปนก็มีปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายอยู่ โดยส่วนใหญ่มาจากลาตินอเมริกาและแอฟริกาตอนเหนือ
ในด้านการต่างประเทศนั้น สเปนรักษาความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาทั้งสองทำความตกลงป้องกันร่วมกัน ทำให้สหรัฐอเมริกาได้สิทธิใช้ฐานทัพในสเปนและกับสหภาพยุโรปซึ่งสเปนตอบรับขั้นตอนการดำเนินงานต่าง ๆ ของสหภาพยุโรปด้วยดี เช่น เป็นประเทศแรกที่ให้มีการลงประชามติรับรองรัฐธรรมนูญของสหภาพยุโรปใน ค.ศ. ๒๐๐๕ การพยายามเร่งรัดให้ประเทศมีความพร้อมในการใช้เงินสกุลยูโร (Euro) สเปนยังดำเนินนโยบายให้เป็นที่รู้จักโดยใน ค.ศ. ๑๙๙๒ สเปนได้จัดงานเอกซ์โปû๙๒ ที่เมืองเซบีย์ และกีฬาโอลิมปิกที่เมืองบาร์เซโลนา ทีมฟุตบอลของสเปน (เรอัล มาดริดและบาร์เซโลนา) ็กเป็นที่รู้จักเลื่องลือในหมู่ผู้นิยมกีฬาฟุตบอลรายได้จากนักท่องเที่ยวที่เข้าไปในสเปนจึงสะท้อนความสำเร็จของประเทศได้เป็นอย่างดี รายได้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน ค.ศ. ๒๐๐๒ คิดเป็นร้อยละ ๖๔ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และแรงงานร้อยละ ๖๒.๙ อยู่ในอุตสาหกรรมนี้นักท่องเที่ยวในปีดังกล่าวมีจำนวนถึง ๔๘.๗ ล้านคน ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๕สเปนซึ่งเป็นประเทศที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกอย่างเคร่งครัดได้ทำให้ชาวโลกประหลาดใจจากการออกกฎหมายยอมรับการสมรสของพวกเพศเดียวกัน.