Slovenia, Republic of

สาธารณรัฐสโลวีเนีย




     สาธารณรัฐสโลวีเนีย เป็นประเทศในเขตเทือกเขาแอลป์(Alps) ทางใต้ของยุโรปกลางหรือทางตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรบอลข่าน เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) และจักรวรรดิออสเตรีย -ฮังการี (Austro-Hungarian Empire) หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ได้ร่วมกับชาวโครแอตและชาวเซิร์บก่อตั้งประเทศยูโกสลาเวีย (Yugoslavia) ขึ้นซึ่งถูกฝ่ายอักษะ (Axis Powers) ยึดครองระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ หลังสงครามยังคงอยู่รวมกับยูโกสลาเวียโดยเป็น ๑ ใน ๖ สาธารณรัฐที่รวมกันในสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย จนกระทั่งต่อสู้แยกตัวเป็นอิสระในค.ศ. ๑๙๙๑ และปกครองในระบอบประชาธิปไตย
     บริเวณที่เป็นประเทศสโลวีเนียปัจจุบันนั้น มีการพบหลักฐานทางโบราณคดีเก่าที่สุดคือ เครื่องมือหิน ๒ ชิ้นจากถ้ำจามา (Jama) ในป่าโลซา (Loza) ใกล้โอเรเฮก(Orehek) ซึ่งบ่งชี้ว่าเมื่อราว ๒๕๐,๐๐๐ ปีมาแล้วเคยมีมนุษย์อาศัยอยู่บริเวณนี้ และยังพบเครื่องดนตรีเก่าแก่ประเภทขลุ่ยของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal)เหนือหุบเขาอีดรีจา (Idrija) แต่มนุษย์รุ่นแรก ๆ ที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งยังชีพด้วยการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์นั้น ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นชาติพันธุ์ใด จนกระทั่งประมาณ๓๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกเคลต์ (Celt) ได้เริ่มเข้ามาอยู่อาศัยและก่อตั้งรัฐแห่งแรกขึ้นชื่อว่าโนริกัม (Noricum) สถานที่หลายแห่งในสโลวีเนียปัจจุบัน เช่นโบฮินิ (Bohinj) และตูฮินิ (Tuhinj) ตลอดจนแม่น้ำหลายสาย เช่น ซาวา (Sava)ซาวินจา (Savinja) และดราวา (Drava) ต่างได้ชื่อมาจากสมัยนี้ ประมาณ ๑๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช รัฐโนริกัมถูกผนวกเข้าอยู่ในจักรวรรดิโรมัน หลังจากนั้นบริเวณนี้ก็มีการก่อตั้งเมืองโรมันต่าง ๆ ขึ้น ได้แก่ เอโมนา [Emona หรือลูบลิยานา(Ljubljana)] เซเลีย [Celeia หรือเซลเย (Celje)] และโปโตเวีย [Poetovia หรือปตุช (Ptuj)] พวกโรมันได้สร้างถนนอย่างดีจากกรุงโรมตัดผ่านสโลวีเนียสู่ที่ราบ
     แพนโนเนีย (Pannonia) เพื่อใช้ประโยชน์ทางการทหารและการค้า ในช่วงที่เป็นรัฐในจักรวรรดิผู้คนในท้องถิ่นกลายเป็นชาวโรมันและเริ่มรับรู้เกี่ยวกับศาสนาคริสต์
     หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสลาย บริเวณสโลวีเนียถูกพวกฮั่น (Hun) และชนเผ่าเยอรมันรุกรานระหว่างทางที่จะบุกคาบสมุทรอิตาลี เมื่อพวกแลงโกบาร์ด(Langobard) ซึ่งเป็นชนเผ่าเยอรมันสุดท้ายที่ออกจากสโลวีเนียมุ่งไปยังอิตาลี ในค.ศ. ๕๖๘พวกสลาฟ (Slav) ก็อพยพเข้ามาตั้งรกรากแต่ไม่แน่ชัดว่าเข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อใด หลังจากพวกสลาฟสามารถต่อต้านพวกเอวาร์ (Avar) ซึ่งเป็นชนเผ่าเร่ร่อนจากเอเชียสำเร็จ (ค.ศ. ๖๒๓-๖๒๖) ใน ค.ศ. ๖๒๗ ก็ได้รวมกับสมาพันธ์แห่งรัฐชนเผ่าของพระเจ้าซาโม (Samo) ซึ่งเป็นราชอาณาจักรสลาฟที่ครอบคลุมดินแดนจากที่ราบลุ่มแม่น้ำซาวาขึ้นไปทางเหนือถึงเมืองไลพ์ซิก (Leipzig) โดยมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่บริเวณที่เป็นประเทศเช็ก ปัจจุบัน เมื่อสมาพันธรัฐสลายตัวใน ค.ศ. ๖๕๘บรรดาชาวสลาฟที่อยู่ในเขตคารินเทีย (Carinthia) ของสโลวีเนียปัจจุบันได้จัดตั้งดัชชีคารานทาเนีย (Duchy of Carantania) ที่เป็นอิสระขึ้น มีศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทเคร์น (Krn Castle) ทางเหนือของเมืองคลาเกนฟูร์ท (Klagenfurt)
     ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๘ดัชชีคารานทาเนียตกเป็นวาสซัล (vassal) ของบาวาเรีย (Bavaria) ซึ่งนำศาสนาคริสต์เข้าไปเผยแผ่ในเขตสโลวีเนีย ใน ค.ศ. ๗๘๘ทั้งชาวคารานทาเนียและชาวบาวาเรียต่างอยู่ใต้การปกครองของพวกแฟรงก์ (Frank)ราชวงศ์คาโรลินเจียน (Carolingian) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๙ พวกแฟรงก์ถอดถอนเจ้าชายของคารานทาเนียออกด้วยข้อหากบฏและให้ดุ็กที่ดู แลพรมแดนของตนรับตำแหน่งแทน ระบบฟิวดัลของพวกแฟรงก์จึงแพร่ขยายสู่ดินแดนสโลวีเนีย ครั้นสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ ๙พวกแมกยาร์ (Magyar) เข้ารุกรานที่ราบแพนโนเนียเข้าสู่เขตสโลวีเนียและตัดขาดสโลวีเนียออกจากพวกสลาฟตะวันตกกลุ่มอื่น ชาวสลาฟในคารานทาเนียและคาร์นีโอลา (Carniola) ทางใต้ก็เริ่มพัฒนารัฐอิสระของตนขึ้น เมื่อจักรพรรดิออทโทที่ ๑ (Otto I ค.ศ. ๙๓๖-๙๗๓) แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทรงมีชัยชนะต่อพวกแมกยาร์ใน ค.ศ. ๙๕๕ สโลวีเนียก็ถูกแบ่งเป็นรัฐชายแดนต่าง ๆของจักรวรรดิ รัฐที่สำคัญที่สุดคือ คารานทาเนียซึ่งได้รับการยกฐานะสูงขึ้นเป็นดัชชีคารานทาเนียใหญ่ (Duchy of Great Carantania) ในช่วงนี้มีการจัดทำเอกสารลายมือเขียนภาษาสโลวีนที่เก่าที่สุดที่พบซึ่งเป็นบทสวดมนตร์ในภาษาถิ่นของสโลวีเนีย เรียกว่า เอกสารเฟรซิง (Freising manuscript) แต่งขึ้นประมาณ ค.ศ.
     ๑๐๐๐ นับเป็นเอกสารภาษาสลาฟที่เก่าที่สุดที่มีอยู่ซึ่งเขียนด้วยตัวอักษรโรมันในปลายยุคกลางเกิดการก่อตั้งแคว้นที่ต่อมามีความสำคัญในประวัติศาสตร์สโลวีเนียจากการเป็นภูมิภาคชายแดน ได้แก่ สติเรีย (Styria) คารินเทีย คาร์นีโอลา โกรีเซีย(Gorizia) ทริเอสเต (Trieste) และอิสเทรีย (Istria) และรวมเข้าอยู่ในจักรวรรดิของชนเยอรมัน
     ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ ดินแดนส่วนใหญ่ของสโลวีเนียอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) ซึ่งต่อมาในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย -ฮังการี ด้วย อย่างไรก็ดี ราชวงศ์ฮับส์บูร์กมีคู่แข่งสำคัญในการแย่งชิงดินแดนสโลวีเนีย คือ เคานต์แห่งตระกูลเซลเย(Celje) ซึ่งเป็นขุนนางฟิวดัลตระกูลสำคัญในเขตนี้ซึ่งได้ตำแหน่งเป็นเคานต์แห่งจักรวรรดิใน ค.ศ. ๑๔๓๖ แต่ตระกูลเซลเยสิ้นสายลงใน ค.ศ. ๑๔๕๖ ทำให้ดินแดนืผนใหญ่ต้องตกเป็นทรัพย์สินของราชวงศ์ฮับส์บูร์กจนถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐ธงชาติของสโลวีเนียจึงมีตราของตระกูลเซลเยปรากฏอยู่ด้วยเป็นรูปโล่ พื้นสีน้ำเงินตรงกลางสีขาวเป็นยอดเขาทริกลาฟ (Triglav) ซึ่งเป็นยอดสูงสุดของประเทศมีดาว ๖ แฉกจำนวน ๓ดวงเรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำอยู่เหนือยอดเขา
     ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๖พวกเติร์กเข้ารุกรานเขตนี้บ่อยครั้ง ประชาชนเริ่มไม่พอใจที่ผู้ปกครองในระบอบฟิวดัลไม่สามารถขับไล่พวกเติร์ก และยังบังคับเก็บภาษีชนิดใหม่ ๆ โดยเฉพาะการส่งบรรณาการและการเกณฑ์แรงงานแบบมีพันธะผูกพัน จึงเกิดกบฏชาวนาซึ่งเป็นชนชั้นที่อนุรักษ์ภาษา วัฒนธรรม ประเพณีของชาวสโลวีน (ชนชั้นสูงรับอิทธิพลวัฒนธรรมและภาษาเยอรมัน) ขึ้นเป็นระยะ ๆจนถึงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ กบฏครั้งสำคัญคือ ใน ค.ศ. ๑๕๑๕ ซึ่งกินอาณาเขตเกือบครอบคลุมดินแดนสโลวีเนียทั้งหมด และใน ค.ศ. ๑๕๗๒-๑๕๗๓ชาวนาสโลวีนและโครแอต (Croat) ได้ร่วมมือกันก่อกบฏขึ้น กบฏแต่ละครั้งมักจะจบลงด้วยความพ่ายแพ้และการเสียเลือดเนื้อ
     กลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ซึ่งเป็นสมัยการปฏิรูปศาสนา นิกายลู เทอรัน(Lutheranism) ได้แพร่เข้าสู่ดินแดนสโลวีเนียและช่วยวางพื้นฐานภาษาเขียนของสโลวีเนียซึ่งเป็นภาษาของชาวสลาฟใต้อย่างจริงจัง โดยใน ค.ศ. ๑๕๕๐ พริมอช
     ทรูบาร์ (Primoz Trubar) นักปฏิรูปโปรเตสแตนต์ได้พิมพ์หนังสือ ๒ เล่มแรกเป็น
     ภาษาสโลวีนที่เมืองทือบิงเงิน (Tübingen) ต่อมาอาดัม โบโฮริช (Adam Bohoric)
     พิมพ์หนังสือไวยากรณ์ภาษาสโลวีนเล่มแรก และจูีรดัลมาติน (Jury Dalmatin) แปลคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มเป็นภาษาสโลวีน ครั้นต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เจ้าผู้ครองรัฐและศาสนจักรคาทอลิก พยายามสะกัดกั้นการแพร่ขยายนิกายโปรเตสแตนต์ จึงทำให้พัฒนาการด้านวรรณกรรมในภาษาสโลวีนชะงักลงเป็นเวลานาน เมื่อยุโรปเข้าสู่สมัยแห่งภูมิธรรม (Enlightenment) ชาวสโลวีนซึ่งอยู่ใต้ปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กก็ได้ประโยชน์ไปด้วย โดยเฉพาะในสมัยอาร์ชดัชเชสมาเรีย เทเรซา (MariaTheresa ค.ศ. ๑๗๔๐-๑๗๘๐) และจักรพรรดิโจเซฟที่ ๒ (Joseph II ค.ศ. ๑๗๖๕-๑๗๙๐) ซึ่งมีการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและก่อให้เกิดชนชั้นกลางของสโลวีเนียขึ้น
     ในสมัยจักรพรรดิโจเซฟที่ ๒ ซึ่งทรงสืบทอดราชสมบัติของราชวงศ์ฮับส์บูร์กใน ค.ศ. ๑๗๘๐ ต่อจากอาร์ชดัชเชสมาเรีย เทเรซาพระราชมารดา โปรดให้จัดการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาขั้นต้นก็ให้สอนเป็นภาษาสโลวีน นักวิชาการชาวสโลวีนจึงเริ่มกิจกรรมทางด้านภาษาและวัฒนธรรม นับเป็นช่วงเวลาของการฟื้นฟูชาติสโลวีเนียและการเกิดรัฐสโลวีเนียตามความหมายสมัยใหม่ของคำว่าชาติ ต่อมาเมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ขยายพระราชอำนาจครอบงำยุโรป ทรงต้องการกีดกันออสเตรีย ไม่ให้ออกทะเลเอเดรียติก (Adriatic)จึงทรงสถาปนามณฑลอิลลิเรียน (Illyrian Provinces ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๑๓) ของฝรั่งเศส ซึ่งรวมภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสโลวีเนียเข้ากับดินแดนโครอชคา
     (Koroska) ครันยิสคา (Kranjska) โกรีเซีย ทริเอสเตอิสเทรียดัลเมเชีย (Dalmatia)และโครเอเชีย (Croatia) ทางใต้ของแม่น้ำซาวา โดยมีลูบลิยานาเป็นเมืองหลวง(ซึ่งเป็นเมืองหลวงของสโลวีเนียปัจจุบันด้วย) แม้ฝรั่งเศส จะปกครองสโลวีเนียในชั่วระยะสั้น ๆ ก็ตาม แต่ก็ได้ช่วยปฏิรูประบบภาษี กฎหมาย และยกระดับการใช้ภาษาสโลวีนในโรงเรียน แต่ยังไม่ได้ช่วยยกเลิกระบอบฟิวดัล ฟรานซ์ เพรเชเรน(France Preeren) กวีชาวสโลวีนคนสำคัญมากช่วยขจัดปัญหาความแตกต่างในหมู่ภาษาท้องถิ่นต่าง ๆ ของสโลวีเนียด้วยการช่วยสนับสนุนการมีภาษาเขียนที่มีรูปแบบเดียวและพยายามปกป้องไม่ให้ผู้ใดพยายามที่จะผสมผสานภาษาสโลวีนเข้ากับภาษาอิลลิเรียนที่ประดิษฐ์ขึ้น
     เมื่อทั่วยุโรปเกิดการปฏิวัติค.ศ. ๑๘๔๘ (Revolutions of 1848) ที่เรียกว่าฤดูใบไม้ผลิแห่งประชาชาติ (Springtime of Nations) ชาวสโลวีนเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการเรียกร้องให้ดินแดนทั้งหมดที่ชาวสโลวีนอาศัยอยู่รวมเป็น
     อันหนึ่งอันเดียวกันและให้เรียกว่าสโลวีเนีย ในเขตปกครองตนเองนี้ ภาษาสโลวีนจะเป็นภาษาราชการ มีภาษาท้องถิ่นของตนแต่ยังรวมอยู่ในจักรวรรดิฮับส์บูร์ก ในค.ศ. ๑๘๖๗ ผู้แทนชาวสโลวีนได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงส่วนใหญ่ในสภาท้องถิ่น เมื่อมีการสถาปนาระบอบราชาธิปไตยคู่ (Dual Monarchy) ระหว่างออสเตรีย กับฮังการี ดินแดนที่เป็นสโลวีเนียปัจจุบันส่วนใหญ่อยู่ในเขตของออสเตรีย มีโพมูร์เย (Pomurje)อยู่ในเขตฮังการี ส่วนชาวสโลวีนในเวเนโต (Veneto) ตัดสินใจใน ค.ศ. ๑๘๖๖ว่าปรารถนาจะผนวกอยู่กับอิตาลี ดังนั้น ความคิดเรื่องการมีดินแดนสโลวีเนียที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจึงยังเป็นประเด็นสำคัญไปอีก ๖๐ ปี ระหว่างนี้ความคิดเรื่องการตั้งสหภาพการเมืองระหว่างชาวสลาฟใต้เริ่มปรากฏในทศวรรษ ๑๘๗๐ และมีการจัดตั้งพรรคการเมืองรุ่นแรกในสโลวีเนียอีก ๒ ทศวรรษต่อมา
     ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ชาวสโลวีนจำนวนมากบาดเจ็บล้มตายโดยเฉพาะพวกที่อยู่ในแนวรบโซกา (Soca) ซึ่งเป็นการรบที่นองเลือด เมื่อประเทศมหาอำนาจดำเนินนโยบายจักรวรรดินิยม ต้องการแบ่งแยกดินแดนในหมู่ตนตามกติกาสัญญาลอนดอน ค.ศ. ๑๙๑๕ สโลวีเนียจึงพยายามจะก่อตั้งรัฐของชาวสโลวีนโครแอต และเซิร์บ (Serb) ที่เคยอยู่ใต้ปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กเข้าด้วยกันข้อเรียกร้องโดยผู้แทนชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บในรัฐสภาออสเตรีย ที่กรุงเวียนนาในฤดูใบไม้ผลิค.ศ. ๑๙๑๗ เรียกว่า แถลงการณ์เดือนพฤษภาคม (MayDeclaration) แม้ขบวนการแห่งชาติสโลวีเนียเคลื่อนไหวเข้มแข็ง แต่ออสเตรีย ปฏิเสธที่จะยอมรับ และเมื่อจักรวรรดิออสเตรีย -ฮังการี พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ทั้งสภาท้องถิ่นของโครเอเชีย ที่กรุงซาเกรบ (Zagreb) และการชุมนุมของประชาชนที่กรุงลูบลิยานาในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ ได้ประกาศจัดตั้งรัฐอิสระแห่งชาวสโลวีน โครแอต และเซิร์บ (State of Slovenes, Croats andSerbs) โดยมีเมืองหลวงที่กรุงซาเกรบ แต่ในที่สุดความเกรงภัยคุกคามจากอิตาลี ที่เข้ายึดครองพรีมอร์สกา (Primorska) ิอสเทรียและบางส่วนของดัลเมเชีย และแรงกดดันจากพวกเซิร์บที่ต้องการรวมเป็นรัฐเดียวกัน จึงทำให้รัฐแห่งชาวสโลวีนโครแอตและเซิร์บรวมเข้ากับราชอาณาจักรเซอร์เบียในวันที่ ๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๘เป็นราชอาณาจักรแห่งชาวเซิร์บ โครแอตและสโลวีนซึ่งได้เปลี่ยนชื่อเป็นยูโกสลาเวีย(Yugoslavia) ใน ค.ศ. ๑๙๒๙ อนึ่ง ออสเตรีย ต้องยอมสละดินแดนสโลวีเนียตามสนธิสัญญาแซงต์แชร์แมง (Treaty of Saint-Germain) ที่ทำกับฝ่ายสัมพันธมิตรใน ค.ศ. ๑๙๑๙
     สำหรับดินแดนคารินเทียนั้น หลังการลงประชามติใน ค.ศ. ๑๙๒๐ ส่วนที่เป็นสโลวีเนียถูกผนวกเข้ากับออสเตรีย ด้วยเหตุนี้ ดินแดนที่มีชาวสโลวีนอาศัยอยู่จึงยังไม่ได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียว ดินแดนส่วนใหญ่ของสโลวีเนียที่อยู่ในยูโกสลาเวียก็มีการปกครองแบบดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอย่างบริบูรณ์ สโลวีเนียไม่มีอิสระด้านการปกครองหรือการออกกฎหมาย แต่การที่เป็นดินแดนที่ประกอบด้วยคนกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันเป็นส่วนใหญ่และการที่พรรคประชาชนสโลวีน (SlovenePeopleûs Party - SLS) พยายามเรียกร้องสิทธิปกครองตนเอง ทำให้สโลวีเนียมีความเป็นอิสระพอควรโดยสภาที่กรุงเบลเกรด (Belgrade) ยอมผ่อนปรนบ้างสโลวีเนียจึงมีโอกาสพัฒนาทั้งทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจซึ่งได้เน้นอุตสาหกรรมมากขึ้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ สโลวีเนียกลายเป็นส่วนที่มั่งคั่งที่สุดของยูโกสลาเวียเพราะอุดมสมบูรณ์ด้วยแร่ธาตุและการพัฒนาอุตสาหกรรม
     ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ราชอาณาจักรยูโกสลาเวียสลายตัวดินแดนสโลวีเนียถูกแบ่งแยกโดยเยอรมนี อิตาลี และฮังการี โดยเยอรมนี ครอบครองดินแดนสติเรียตอนล่างและคารินเทีย อิตาลี ผนวกอิสเทรียและดินแดนรอบกรุงลูบลิยานา(ต่อมา ภายหลังมีการพิพาทกับอิตาลี เรื่องสิทธิเหนืออิสเทรีย ใน ค.ศ. ๑๙๕๔อิตาลี จึงได้เมืองทริเอสเต ส่วนยูโกสลาเวียได้ดินแดนที่เหลือ) ส่วนฮังการี ได้ที่ราบตามทิวเขามูรา (Mura) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสโลวีเนีย ใน ค.ศ. ๑๙๔๑ ได้มีการจัดตั้งแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติสโลวีเนีย (Liberation Front of the SloveneNation) ขึ้นที่กรุงลูบลิยานาซึ่งร่วมมือกับกองทัพคอมมิวนิสต์ของยอซีป บรอซหรือตีโต (Josip Broz; Tito) ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวีย เพื่อต่อต้านการยึดครองของกลุ่มประเทศอักษะโดยการต่อสู้จากฐานที่ตั้งในเขตภูเขา ในไม่ช้าพรรคคอมมิวนิสต์มีบทบาทนำในแนวร่วมต่อต้านนี้ จึงชี้นำการต่อสู้ไปในแนวทางการปฏิวัติสังคมนิยม
     ในช่วงท้ายของสงคราม กองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ได้ปลดปล่อย
     ˇสโลวีเนียทั้งหมด สภาผู้แทนแห่งชาติสโลวีเนียที่คอเชฟเย (Kocevje) ลงมติในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๔๓ รวมสโลวีเนียเข้ากับยูโกสลาเวียใหม่ที่จะจัดตั้งขึ้นตามที่จัดตั้งโดยที่ประชุมของสภาต่อต้านฟาสซิสต์เพื่อการปลดปล่อยแห่งชาติยูโกสลาเวีย(Anti-Fascist Council for the National Liberation of Yugoslavia) ที่เมืองยาอิตเซ (Jajce) ใน ค.ศ. ๑๙๔๓ และ ๒ปีต่อมามีการประกาศสถาปนาสหพันธ์
     สาธารณรัฐประชาชนแห่งยูโกสลาเวีย (Federal Peopleûs Republic of Yugoslavia- FPRY) ในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๔๕ ซึ่งประกอบด้วย ๖ สาธารณรัฐได้แก่ เซอร์เบีย โครเอเชีย มอนเตเนโกร มาซิโดเนีย สโลวีเนีย และบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา สโลวีเนียได้ชื่อใหม่เป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาชนแห่งสโลวีเนีย(Peopleûs Republic of Slovenia) ภายใน ค.ศ. ๑๙๔๗ กิจการของเอกชนทั้งหลายก็ถูกโอนเป็นของรัฐ แต่สโลวีเนียก็มีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมพอควร แม้ในทางการเมืองจะอยู่ใต้การชี้นำของสันนิบาติคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย(League of Communists of Yugoslavia) ซึ่งมีศูนย์กลางที่กรุงเบลเกรด
     หลังจากยูโกสลาเวียดำเนินนโยบายเป็นอิสระจากสหภาพโซเวียตในค.ศ. ๑๙๔๘ และหันไปใช้แนวทางสังคมนิยมตามแนวทางลัทธิีตโต (Titoism) แต่ยังอยู่บนหลักการของการเป็นเจ้าของร่วมกันและการบริหารจัดการด้วยตนเอง ในค.ศ. ๑๙๖๓ สหพันธ์สาธารณรัฐประชาชนแห่งยูโกสลาเวียก็เปลี่ยนชื่อเป็นสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งยูโกสลาเวีย (Socialist Federal Republic ofYugoslavia - SFRY) และสโลวีเนียเองก็เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมสโลวีเนีย(Socialist Republic of Slovenia) เศรษฐกิจของสโลวีเนียพัฒนาอย่างรวดเร็วตั้งแต่ทศวรรษ ๑๙๕๐ โดยมุ่งสู่อุตสาหกรรมเป็นสำคัญ หลังจากยูโกสลาเวียปฏิรูปเศรษฐกิจและใช้นโยบายเศรษฐกิจแบบกระจายอำนาจในช่วง ค.ศ. ๑๙๖๕-๑๙๖๖สโลวีเนียก็กลายเป็นสาธารณรัฐที่มุ่งสู่เศรษฐกิจการตลาดได้ เร็วที่สุดในหมู่สาธารณรัฐที่อยู่ร่วมกัน ทั้ง ๆ ที่มีการออกกฎหมายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่เข้มงวดซึ่งเซอร์เบียที่เป็นสาธารณรัฐใหญ่ที่สุดเป็นผู้กำหนด สโลวีเนียก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ในระดับสูง มีแรงงานที่มีทักษะสูงกว่าที่ือ่นโดยเฉลี่ย และมีิวนัยในการทำงานขององค์กรที่ดี
     เมื่อตีโต ประธานาธิบดียูโกสลาเวียถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. ๑๙๘๐สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและการเมืองในหมู่สาธารณรัฐทั้ง ๖ แห่งเพิ่มความตึงเครียดขึ้น สโลวีเนียเคลื่อนไหวเรียกร้องการแยกตัวเป็นเอกราชใน ค.ศ. ๑๙๘๗โดยกลุ่มปัญญาชนที่จัดพิมพ์ Nova revija ครั้งที่ ๕๗ มีการเรียกร้องประชาธิปไตยและโจมตียูโกสลาเวียที่ใช้นโยบายรวมอำนาจ จนเกิดการจับกุมนักหนังสือพิมพ์ ๓ คนของหนังสือพิมพ์การเมืองรายสัปดาห์ Mladina ในวันที่ ๒๗ กันยายน ค.ศ. ๑๙๘๙สภาสโลวีเนียเห็นชอบให้แก้ไขรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐซึ่งแตกต่างจากเดิมอย่าง
     สิ้นเชิงโดยยืนยันอธิปไตยของสโลวีเนียและสิทธิในการแยกตัวออกจากสหพันธ์สาธารณรัฐ การประกาศดังกล่าวถูกเตือนว่าเป็นการขัดกับรัฐธรรมนูญของสหพันธ์ สลอบอดาน มีโลเซวิช (Slobodan Milosevic) ผู้นำเซอร์เบียพยายามจะจัดการเคลื่อนไหวต่อต้านผู้นำสโลวีเนียและสั่งให้ิวสาหกิจของเซอร์เบียตัดขาดกับสโลวีเนียที่ตอบโต้ด้วยการปิดพรมแดนกับเซอร์เบีย และใช้นโยบายควำบาตรทาง่เศรษฐกิจต่อกัน ความสัมพันธ์ระหว่างสโลวีเนียกับสาธารณรัฐอื่น ๆ ก็เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว
     ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๐ ผู้แทนสโลวีเนียถอนตัวจากการประชุมใหญ่
     (วิสามัญ) ครั้งที่ ๑๔ ของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งยูโกสลาเวีย [14th (Extraordi-nary) Congress of the League Communists of Yugoslavia - LCY] ซึ่งปรากฏว่าสมาชิกของสันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งโครเอเชีย และมาซิโดเนีย สนับสนุน สันนิบาตคอมมิวนิสต์แห่งสโลวีเนียซึ่งเคยเป็นพรรคการเมืองที่ถูกกฎหมายเพียงพรรคเดียวในสโลวีเนียก็ตัดสัมพันธ์กับแอลซีวายและเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคปฏิรูปประชาธิปไตย(Party of Democratic Reform - PDR)
     ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๘๘-๑๙๘๙ มีการจัดตั้งพรรคการเมืองฝ่ายค้านในสโลวีเนียซึ่งได้ร่วมกันเรียกร้องเอกราชของประเทศโดยออกแถลงการณ์เดือนพฤษภาคม(May Declaration) ใน ค.ศ. ๑๙๘๙ สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากการที่ชาวสโลวีนเริ่มรู้สึกหวั่นวิตกที่สลอบอดาน มีโลเซวิช ผู้นำของสาธารณรัฐเซอร์เบียพยายามแสดงตนเป็นผู้นำทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียเมื่อยูโกสลาเวียยุติการปกครองตนเองของคอซอวอ (Kosovo) ซึ่งเป็นมณฑลปกครองตนเองในสหพันธ์อย่างกะทันหัน สโลวีเนียและโครเอเชีย ก็เกรงว่าไม่ช้าอาจถูกบีบคั้นทางการเมืองเช่นกัน ในช่วงเวลาเดียวกันลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ถูกต่อต้านจากประชาชนของประเทศในยุโรปตะวันออก การเรียกร้องเอกราชของสโลวีเนียจึงมีประชาชนจำนวนมากสนับสนุน ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๙๐ มีการเลือกตั้งประชาธิปไตยครั้งแรกของสโลวีเนีย และนับเป็นสาธารณรัฐแรกของยูโกสลาเวียที่จัดการเลือกตั้งเสรีและปฏิเสธระบอบสังคมนิยมที่ใช้มา ๔๕ ปีพรรคฝ่ายค้าน ๖พรรคที่รวมกันเป็นพรรคฝ่ายค้านเพื่อประชาธิปไตยแห่งสโลวีเนีย (DemocraticOpposition of Slovenia - DEMOS) มีชัยชนะและได้จัดตั้งรัฐบาลในวันที่ ๒กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๐ สภานิติบัญญัติสโลวีเนียประกาศอธิปไตยของสาธารณรัฐ
     และระบุว่ากฎหมายของสาธารณรัฐจะต้องมาก่อนกฎหมายของสหพันธรัฐ จึงเท่ากับเป็นการท้าทายสหพันธ์ที่นำโดยเซอร์เบีย ข้อเสนอของสโลวีเนียและโครเอเชีย ที่จะปฏิรูปสหพันธ์ถูกปฏิเสธ และเซอร์เบียก็ลงโทษทางเศรษฐกิจรัฐที่จะแยกตัวในด้านสินค้าขาเข้า ในวันที่ ๒๓ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๐ มีการลงประชามติในสโลวีเนีย ร้อยละ ๘๙ ของผู้มาใช้ิสทธิเห็นชอบให้สโลวีเนียแยกเป็นเอกราช
     ความสัมพันธ์ระหว่างสโลวีเนียกับสหพันธ์ยูโกสลาเวียเสื่อมลงเรื่อย ๆ ในเดือนมกราคมปี ต่อมา ทางการสโลวีเนียปฏิเสธคำสั่งของประธานาธิบดีสหพันธ์ที่ให้ปลดอาวุธกองกำลังทั้งหมด และในเดือนเดียวกันสโลวีเนียและโครเอเชีย ลงนามในความตกลงมิตรภาพและความร่วมมือทางทหาร ในที่สุด สโลวีเนียประกาศว่าจะแยกตัวออกจากสหพันธ์ก่อนสิ้นเดือนมิถุนายน และออกกฎหมายที่จะนำไปสู่การประกาศเอกราชและการจัดตั้งกองทัพสโลวีเนีย ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งสโลวีเนียและโครเอเชีย ยังพร้อมที่จะพิจารณาการเป็นรัฐอธิปไตยในกรอบของสหพันธรัฐ สโลวีเนียและโครเอเชีย ประกาศเอกราชในวันที่ ๒๕ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๑ (ซึ่งได้กลายเป็นวันชาติของสโลวีเนีย) การเรียกระดมพลของสหพันธ์สาธารณรัฐซึ่งนำโดยเซอร์เบียจึงเริ่มขึ้นใน ๒ วันต่อมา รถถังถูกส่งออกจากกรุงเบลเกรด กรุงลูบลิยานาถูกทิ้งระเบิดการสู้รบซึ่งดำเนินไป ๑๐ วันโดยกองทัพสโลวีเนียต่อสู้กับกองทัพของสหพันธ์อย่างเข้มแข้งก็ยุติลงเนื่องจากประชาคมยุโรป (European Community - EC)เข้ามาช่วยเจรจาไกล่เกลี่ย รัฐบาลยูโกสลาเวียมีท่าทีอ่อนลงเพราะสโลวีเนียไม่ได้เรียกร้องดินแดนหรือมีปัญหาชนกลุ่มน้อยเพราะประชากรกว่าร้อยละ ๘๐ เป็นชาวสโลวีน นอกจากนี้ ที่ตั้งของสโลวีเนียห่างไกลจากเซอร์เบีย การรบยืดเยื้อจะกระทบต่อกำลังพลของเซอร์เบียมากและยิ่งต้องปราบปรามโครเอเชีย ด้วยในขณะเดียวกัน ในบรรดาอดีตสาธารณรัฐของยูโกสลาเวีย สโลวีเนียจึงเป็นประเทศที่ได้เอกราชโดยเสียหายน้อยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนาในปีต่อมา วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ เซอร์เบียหรือยูโกสลาเวียได้รับรองเอกราชของสโลวีเนีย กองทัพสหพันธ์ทยอยถอนกำลังออกจากดินแดนสโลวีเนียจนหมดสิ้นในเดือนตุลาคม ขณะที่สโลวีเนียก็เรียกพลเมืองของตนกลับจากการประจำตามหน่วยงานต่าง ๆ ของสหพันธ์เช่นกัน
     ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ มีการผ่านกฎหมายเลิกการโอนกิจการของเอกชนเป็นของรัฐ และในวันที่ ๒๓ ธันวาคม มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่
     ของประเทศซึ่งระบุว่าสโลวีเนียเป็นสาธารณรัฐประชาธิปไตยปกครองโดยหลักแห่งกฎหมาย มีรัฐสภาซึ่งประกอบด้วย ๒ สภา สภาแรกมีผู้แทน ๙๐ คนซึ่ง ๔๐ คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง อีก ๕๐ คนมาจากพรรคตามสัดส่วนที่ได้รับเลือกตั้ง(ต้องได้คะแนนร้อยละ ๓ เป็นอย่างต่ำ) อีกสภาหนึ่งประกอบด้วยบุคคลที่เป็นตัวแทนสาขาอาชีพ กลุ่มผลประโยชน์ และองค์การต่าง ๆ รวม ๔๐ คน ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐและผู้บัญชาการกองกำลังป้องกันสูงสุดซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยตรง มีวาระ ๕ ปี ปัจจุบันคือ ยาเนซ ดรนอฟเชค (Janez Drnovˇsek) จากพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party - LDP) ซึ่งดำรงตำแหน่งมาตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๒ ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซึ่งจะจัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศให้สภาผู้แทนแต่งตั้งโดยมีวาระ ๔ ปี ประชาคมยุโรปประกาศรับรองสโลวีเนียในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๒ สหรัฐอเมริกาประกาศเช่นกันในเดือนเมษายน และในวันที่ ๒๒พฤษภาคม สหประชาชาติ(United Nations) ก็รับสโลวีเนียเข้าเป็นสมาชิก
     ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๙๓ สโลวีเนียเป็นอดีตสาธารณรัฐในยูโกสลาเวียชาติแรกที่ลงนามในความตกลงร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจกับประชาคมยุโรปทำให้มีฐานะเป็นประเทศสมาชิกสมทบ ๓ ปีต่อมา และหลังจากที่สโลวีเนียแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติซื้อที่ดินในสโลวีเนียได้ สโลวีเนียก็สามารถเริ่มการเจรจาขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป [(European Union - EU)หรือประชาคมยุโรปเดิม] ใน ค.ศ. ๑๙๙๘ ในที่สุดสโลวีเนียก็ได้เข้าเป็นสมาชิกใหม่ในวันที่ ๑พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๔พร้อมกับอีก ๙ ประเทศ โดยก่อนหน้านั้นในวันที่๒๙ มีนาคม ก็ได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO)
     แม้สโลวีเนียและโครเอเชีย เป็นอดีตสาธารณรัฐยูโกสลาเวียที่ร่วมมือกันนำร่องการแยกตัวเป็นอิสระจากสหพันธ์สาธารณรัฐ (ในที่สุดสาธารณรัฐต่าง ๆทยอยแยกตัวออกจากสหพันธ์จนหมดสิ้น โดยมีเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เป็นสาธารณรัฐคู่สุดท้าย) แต่ปัจจุบันทั้ง ๒ ประเทศยังคงมีปัญหาพิพาทกันเกี่ยวกับพรมแดนทั้งบนบกและในทะเลเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะเกี่ยวกับอ่าวปิรัน (Piran)ในอิสเทรียซึ่งกระทบความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และไม่นานหลังจากเป็นเอกราชสโลวีเนียไม่อนุญาตให้มีการก่อสร้างโรงงานพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่คริสโก
     (Krˇsko) ซึ่งเดิมสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียจะเป็นผู้สร้างเพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้แก่ ๒ ประเทศ โครเอเชีย ประท้วงการตัดสินใจของสโลวีเนียทันทีเพราะจำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานที่จะผลิตได้ จนกระทั่งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๑ จึงมีความตกลงกันหลังจากที่โครเอเชีย มีรัฐบาลใหม่ ความตกลงนี้ทำให้สโลวีเนียมีทางออกสู่ทะเลเอเดรียติกโดยผ่านอ่าวปิรัน ส่วนเรื่องโรงงานผลิตไฟฟ้านิวเคลียร์ที่คริสโกก็ให้มีการจัดการร่วมกันและหมู่บ้าน ๔ แห่งบริเวณพรมแดนสโลวีเนียยินยอมให้อยู่กับโครเอเชีย แต่ ๒ ปีต่อมา ๒ ประเทศมีเรื่องขุ่นเคืองใจต่อกันอีกเมื่อโครเอเชีย ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจในเขตทะเลเอเดรียติกซึ่งจะทำให้สโลวีเนียไม่มีทางออกสู่น่านน้ำสากลโดยตรง สโลวีเนียจึงเรียกเอกอัครราชทูตของตนกลับช่วงสั้น ๆ และประกาศว่าจะขัดขวางการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปของโครเอเชีย
     ปัจจุบันทั้ง ๒ ประเทศได้จัดทำความตกลงเกี่ยวกับพรมแดนทั้งทางบกและทางทะเล ซึ่งจะทำให้อ่าวปิรันแทบทั้งหมดเป็นของสโลวีเนียและหมู่บ้านหลายแห่งเป็นของโครเอเชีย แต่ความตกลงดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงกันจึงยังไม่ได้รับการให้สัตยาบัน ในเรื่องเกี่ยวกับเขตแดนนี้ นอกจากสโลวีเนียต้องเกี่ยวพันกับโครเอเชีย แล้ว ในฐานะสมาชิกสหภาพยุโรปสโลวีเนียต้องรักษากฎของเชงเกน (Schengen)อย่างเข้มงวดเพื่อลดการลอบเข้าเมืองและการค้าผิดกฎหมายที่ผ่านเข้ายุโรปทางตะวันออกเฉียงใต้ ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในการข้ามพรมแดนระหว่างสโลวีเนียกับโครเอเชีย ด้วย
     สโลวี เนียซึ่งเป็นประเทศที่ใกล้ชิดกับยุโรปตะวันตกมากกว่ายุโรปตะวันออกเป็นตัวอย่างของประเทศเล็กที่ประสบความสำเร็จด้านเศรษฐกิจและมีเสถียรภาพ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๐๔ สโลวีเนียเปลี่ยนสถานะจากประเทศที่เคยกู้ยึมเป็นประเทศผู้บริจาคของธนาคารโลก อัตราเงินเฟ้อของสโลวีเนียก็อยู่ในเกณฑ์ที่สหภาพยุโรปจะรับได้ตามเกณฑ์ที่ตกลงที่เมืองมาสทริชท์ (Maastricht)จึงมีกำหนดว่าจะเปลี่ยนจากการใช้สกุลเงินโตลาร์ (tolar) เป็นยูโร (Euro) ใน ค.ศ.๒๐๐๗อย่างไรก็ดีแม้จะเป็นอดีตสาธารณรัฐของยูโกสลาเวียที่ประสบความสำเร็จแต่การเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในความดู แลของรัฐ แม้ธนาคารกิจการโทรคมนาคมและสาธารณูปโภคจะมีเอกชนดำเนินการตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๐ และการลงทุนของต่างประเทศก็ยังไม่มากนัก รัฐบาลกลางขวาที่นำโดยนายกรัฐมนตรียาเนซ ยันซา (Janez Jansa) ซึ่งรับตำแหน่งในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๔
     จึงประกาศว่าจะเร่งการโอนกิจการใหญ่ ๆ ของรัฐให้แก่เอกชน และจะสนับสนุนให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ ในปลาย ค.ศ. ๒๐๐๕ คณะกรรมการปฏิรูปเศรษฐกิจที่รัฐบาลแต่งตั้งก็ได้รับการยกฐานะเสมอรัฐมนตรีซึ่งมีแผนงานลดภาษี โอนกิจการของรัฐให้เอกชน ปรับปรุงตลาดแรงงานให้ยึดหยุ่น และเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าสโลวีเนียมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างจริงจังแม้ว่าได้รับการจัดว่าเป็นประเทศแถวหน้าทางเศรษฐกิจของสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปแล้วก็ตาม.
     


     

ชื่อทางการ
สาธารณรัฐสโลวีเนีย (Republic of Slovenia)
เมืองหลวง
ลูบลิยานา (Ljublijana)
เมืองสำคัญ
มารีบอร์ (Maribor)
ระบอบการปกครอง
สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบรัฐสภา (parliamentary democratic republic)
ประมุขของประเทศ
ประธานาธิบดี
เนื้อที่
๒๐,๒๗๓ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ : ประเทศออสเตรียทิศตะวันออก : ประเทศฮังการีและประเทศโครเอเชียทิศใต้ : ประเทศโครเอเชียทิศตะวันตก : ประเทศอิตาลีและอ่าวเวนิส
จำนวนประชากร
๒,๐๐๙,๒๔๕ คน (ค.ศ. ๒๐๐๗)
เชื้อชาติของประชากร
สโลวีนร้อยละ ๘๓.๑ เซิร์บร้อยละ ๒ โครแอตร้อยละ ๑.๘ บอสนิแอกร้อยละ ๑.๑ อื่น ๆ และไม่ระบุร้อยละ ๑๒
ภาษา
สโลวีน
ศาสนา
คริสต์นิกายโรมันคาทอลิกร้อยละ ๕๗.๘ นิกายออร์ทอดอกซ์ ร้อยละ ๒.๓ คริสต์นิกายอื่น ๆ ร้อยละ ๐.๙ อิสลามร้อยละ ๒.๔ อื่น ๆ และไม่ระบุร้อยละ ๒๓ ไม่นับถือศาสนาร้อยละ ๑๓.๖
เงินตรา
โทลาร์ (tolar)
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
ชาคริต ชุ่มวัฒนะ
แหล่งอ้างอิง
สารานุกรมทวีปยุโรป