Serbia, Republic of

สาธารณรัฐเซอร์เบีย




     สาธารณรัฐเซอร์เบียเคยเป็นดินแดนที่รวมอยู่ในราชอาณาจักรยูโกสลาเวีย(Kingdom of Yugoslavia ๑ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ - ๑๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๔๑) และสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (Socialist Federal Republic ofYugoslavia ค.ศ. ๑๙๔๓-๑๙๙๑) ตลอดจนสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (FederalRepublic of Yugoslavia ค.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๐๓) มาก่อน เป็นประเทศของชนเผ่าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน แต่ก็ต้องเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนของสถานภาพทางการเมืองโดยเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาตะวันออก (Eastern Question) ที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ และความขัดแย้งของชนเผ่าซึ่งแม้จะมีความพยายามที่จะรวมตัวกันเป็นประเทศหลายครั้งแต่ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้อย่างมีเอกภาพ หลังการสลายตัวของสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียใน ค.ศ. ๒๐๐๓ เซอร์เบียและมอนเตเนโกร รวมตัวกันอย่างหลวม ๆ เป็นสหภาพเซอร์เบียและมอนเตเนโกร (State Union ofSerbia and Montenegro) แต่ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ เซอร์เบียได้แยกตัวเป็นประเทศเอกราช
     ประชากรของเซอร์เบียร้อยละ ๖๒ เป็นชนเผ่าเซิร์บ (Serb) รองลงมาร้อยละ ๑๖ เป็นชนเผ่าแอลเบเนีย (Albanian) และร้อยละ ๕ เป็นเผ่ามอนเตเนโกร (Montenegrin) ที่เหลือเป็นสลาฟใต้เผ่าต่าง ๆ รวมทั้งฮังการี โรมาเนีย และบัลแกเรีย ในสมัยกลางชนเผ่าเซิร์บภายใต้การนำของสเตฟาน เนมานยา (Stefan Nemanja)ประสบความสำเร็จในการจัดตั้งราชวงศ์เนมานยิก (Namanjic) และรัฐเซอร์เบียในค.ศ. ๑๑๗๐ ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๐๐ปี ราชวงศ์เนมานยิกได้สร้างความเป็นñปกแผ่นมั่นคงให้กับรัฐเซอร์เบีย เมื่อเจ้าชายสเตฟานพระราชโอรสของพระเจ้าสเตฟานได้ขึ้นครองราชสมบัติมีพระนามว่า พระเจ้าสเตฟานที่ ๒ เนมานยา (Stefan IINemanja ค.ศ. ๑๑๙๖-๑๒๒๘) และได้สถาปนาคริสต์ศาสนานิกายออร์ทอดอกซ์สายเซอร์เบียขึ้นใน ค.ศ. ๑๒๑๙ โดยพระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเป็นอาร์ชบิชอป(Archbishop) พระองค์แรกด้วย พระองค์ได้สร้างผลงานดีเด่นทั้งในฐานะประมุขฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรจึงได้รับการสถาปนาให้เป็นเซนต์ซาวา (Saint Sava)รัฐเซอร์เบียจึงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในยุโรปสมัยกลาง
     ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ เซอร์เบียมีกษัตริย์ที่เข้มแข็งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เจริญก้าวหน้ามาก มีอาณาเขตกว้างขวางครอบคลุมดินแดนจากแม่น้ำดานูบทางตอนเหนือไปจดดินแดนตอนกลางของประเทศกรีซ ทางตอนใต้อย่างไรก็ดีการขยายตัวของเซอร์เบียในภูมิภาคบอลข่านทำให้ต้องเผชิญหน้ากับชนเผ่าเติร์ก (Turk)ซึ่งกำลังแผ่อิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคนั้นเช่นกัน สงครามใหญ่ที่เป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อของพวกเซิร์บเกิดขึ้นในยุทธการที่คอซอวอ (Battle of Kosovo) เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายนค.ศ. ๑๓๙๘ เจ้าชายลาซาร์ (Lazar) ผู้นำกองทัพเซิร์บทรงเพลี่ยงพล้ำในการรบแต่ก็ปฏิเสธที่จะยอมแพ้และทรงพยายามยืนหยัดต่อสู้จนสิ้นพระชนม์วีรกรรมการต่อสู้ครั้งนี้จึงกลายเป็นตำนานของชนชาติเซอร์เบียที่ปลุกเร้าความรักชาติและความภาคภูมิใจในเกียรติศักดิ์ศรีของชาวคริสต์ในการพลีชีพเพื่อไปสู่อาณาจักรของพระเป็นเจ้า หลังยุทธการครั้งนี้พวกเซิร์บมีอิทธิพลและอำนาจมากขึ้นและต่อมาในค.ศ. ๑๔๕๙ดินแดนเซอร์เบียทั้งหมดก็ตกอยู่ใต้การปกครองโดยตรงของพวกเติร์กซึ่งสามารถสถาปนาจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) ได้
     ตลอดระยะเวลาประมาณ ๓๗๐ ปีหลังจากนั้น เซอร์เบียต้องอยู่ภายใต้การปกครองที่กดขี่ของจักรวรรดิออตโตมันซึ่งมีผลทำให้ชนเผ่าเซิร์บจำนวนมากอพยพไปอยู่ในดินแดนรอบนอกคาบสมุทรบอลข่าน โดยเฉพาะในแคว้นวอยโวดีนา(Vojvodina) และโครเอเชีย (Croatia) ซึ่งจักรวรรดิฮับส์บูร์ก (Hapsburg Empire)ให้ความสนใจมาโดยตลอด ใน ค.ศ. ๑๖๙๙ออสเตรีย สามารถขับไล่กองทัพออตโตมันออกไปจากดินแดนทั้งสอง ทำให้พวกอพยพชาวเซิร์บรู้สึกปลอดภัยใน “เขตปลดปล่อย”แห่งใหม่นี้อย่างไรก็ดีชาวเซิร์บในรัฐเซอร์เบียแท้ ๆยังต้องรออีกกว่า ๑ศตวรรษจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ จึงจะมีโอกาสต่อสู้เพื่อการปลดปล่อยประเทศจากอำนาจการปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน ในช่วงครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้เริ่มปรากฏให้เห็นสัญญาณความอ่อนแอของจักรวรรดิออตโตมัน ประกอบกับในรัฐเซอร์เบียก็มีการรวมตัวของผู้รักชาติอย่างเป็นรูปธรรม และมีผู้นำกลุ่มที่เข้มแข็งหลายคน ชาวเซิร์บจึงถือโอกาสในช่วงสงครามนโปเลียน (Napoleonic War)ก่อกบฏขึ้นหลายครั้งเพื่อเรียกร้องเอกราชระหว่าง ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๓ และค.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๑๗ โดยชาวเซิร์บหวังที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย ซึ่งในช่วงเวลาใกล้เคียงกันก็ทำสงครามอยู่กับจักรวรรดิออตโตมัน เมื่อรัสเซีย กับจักรวรรดิออตโตมันยุติความขัดแย้งในสนธิสัญญาบูคาเรสต์ (Treaty of Bucharest)ค.ศ. ๑๘๑๒ รัสเซีย ได้รับสิทธิเป็นผู้ค้ำประกันความเป็นอิสระในการบริหารภายในของเซอร์เบีย แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าเซอร์เบียยังคงอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของจักรวรรดิออตโตมันและป้อมปราการต่าง ๆ ของเซอร์เบียยังคงอยู่ใต้การควบคุมของกองทัพออตโตมัน
     การที่รัสเซีย สามารถแผ่อำนาจและอิทธิพลเข้ามาในดินแดนในปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน นับเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาตะวันออก ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องระหว่างประเทศมหาอำนาจยุโรปกับจักรวรรดิออตโตมัน และทำให้การต่อสู้ของชนชาติในเขตปกครองของจักรวรรดิดังกล่าวกลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศ ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ การก่อตัวของอุดมการณ์รวมกลุ่มสลาฟ (Pan-Slavism) ได้นำไปสู่การต่อสู้เพื่อสร้างรัฐชาติในคาบสมุทรบอลข่านในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๘๗๕ เกิดกบฏในบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา (Bosnia-Herzegovina)เพื่อสร้างรัฐอิสระจากการยึดครองของจักรวรรดิออตโตมัน โดยมีชนชาติสลาฟในภาคตะวันออกและภาคใต้ของออสเตรีย -ฮังการี (Austria-Hungary) ให้การสนับสนุนใน ค.ศ. ๑๘๗๖ เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และบัลแกเรีย ก็เป็นกบฏต่อจักรวรรดิออตโตมันเช่นกัน แต่พวกกบฏได้ถูกกองทัพออตโตมันปราบปราม จึงหันไปขอความช่วยเหลือจากรัสเซีย ที่ตั้งตนเป็นผู้ปกป้องชนชาติสลาฟในคาบสมุทรบอลข่าน
     ใน ค.ศ. ๑๘๗๗ รัสเซีย ทำสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันและเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ รัสเซีย จึงบีบบังคับออตโตมันให้ลงนามในสนธิสัญญาซานสเตฟาโน(Treaty of San Stefano) ใน ค.ศ. ๑๘๗๘ กำหนดให้รัสเซีย ได้รับประโยชน์ในคาบสมุทรบอลข่านจนมหาอำนาจอื่นไม่อาจยอมรับได้ มหาอำนาจจึงจัดให้มีการประชุมร่วมกันในการประชุมใหญ่แห่งเบอร์ลิน (Congress of Berlin) ระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ เพื่อแก้ไขสนธิสัญญาซานสเตฟาโนและสร้างดุลอำนาจใหม่ในคาบสมุทรบอลข่าน ผลของการประชุมนำไปสู่การตกลงในสนธิสัญญาเบอร์ลิน(Treaty of Berlin) ที่จำกัดบทบาทของรัสเซีย ในคาบสมุทรบอลข่าน บัลแกเรีย ได้รับการสถาปนาเป็นรัฐอิสระแม้จะไม่มีขนาดใหญ่เท่าที่สนธิสัญญาซานสเตฟาโนเคยกำหนดให้ เซอร์เบียได้รับการรับรองให้มีเอกราชและอำนาจอธิปไตยของตนเองขณะที่บอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนาก็กลายเป็นรัฐในอารักขาของออสเตรีย -ฮังการี จนถึง ค.ศ.๑๙๐๘ จึงถูกผนวกให้เป็นมณฑลหนึ่งของออสเตรีย -ฮังการี ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้กับพวกเซิร์บหัวรุนแรงในบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนารวมทั้งเซอร์เบียและนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์บอสเนีย (Bosnia Crisis) ใน ค.ศ. ๑๙๐๘ เซอร์เบียเรียกร้องให้ออสเตรีย -ฮังการี คืนดินแดนที่ยึดครองแก่ตนและรัสเซีย ก็สนับสนุน แต่เยอรมนี ประกาศสนับสนุนการยึดครองบอสเนีย และเฮอร์เซโกวีนา และแสดงท่าทีให้เห็นว่าจะใช้กำลังทหารเข้าตัดสิน สงครามที่จะก่อตัวขึ้นทำให้รัสเซีย กับเซอร์เบียต้องยอมรับรองการผนวกดินแดนของออสเตรีย -ฮังการี แม้ิวกฤตการณ์บอสเนีย จะสิ้นสุดลงโดยปราศจากสงครามแต่ก็สร้างความร้าวฉานขึ้นระหว่างเซอร์เบียกับออสเตรีย -ฮังการี และความไม่พอใจของรัสเซีย ในเวลาต่อมาพวกเซิร์บในบอสเนีย จึงเคลื่อนไหวต่อต้านการปกครองของออสเตรีย -ฮังการี และราชวงศ์ฮับส์บูร์ก(Hapsburg) ต่อมาคาบสมุทรบอลข่านจึงเผชิญกับภาวะวิกฤติอย่างต่อเนื่อง ด้วยกระแสชาตินิยมปะทะกับกระแสจักรวรรดินิยม (Imperialism) ในขณะที่จักรวรรดิออตโตมันเองก็อ่อนแอเปรียบเสมือน “คนป่วยแห่งยุโรป”(The Sick Man of Europe)ซึ่งไม่อยู่ในภาวะที่จะช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น สงครามบอลข่าน (Balkan Wars)เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๑๓ ตามมาด้วยการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดุ็กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Francis Ferdinand) มกุฎราชกุมารออสเตรีย -ฮังการี เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๑๘ ณ กรุงซาราเยโว (Sarajevo) เมืองหลวงของบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนาโดยเซอร์เบียถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อออสเตรีย ตัดสินใจประกาศสงครามกับเซอร์เบียเมื่อวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๘โดยทั้ง ๒ ฝ่ายต่างมีผู้สนับสนุน สงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงอุบัติขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
     เซอร์เบียเข้าสู่สงครามโลกตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อออสเตรีย -ฮังการี ประกาศสงครามและส่งกำลังทหารบุกเข้าโจมตี แต่กองทัพเซอร์เบียก็สามารถต้านทานกองทัพออสเตรีย ไว้ได้ และมีชัยชนะหลายครั้งในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ดี การที่ออสเตรีย -ฮังการี ได้รับการสนับสนุนอย่างเข้มแข็งจากเยอรมนี และบัลแกเรีย ในการรบในคาบสมุทรบอลข่าน กลุ่มพันธมิตรออสเตรีย -ฮังการี จึงสามารถยึดครองเซอร์เบียได้ในเวลาต่อมา แต่กองทัพเซอร์เบียจำนวนหนึ่งก็ไม่ยอมแพ้ ได้หนีไปตั้งหลักอยู่นอกเขตพื้นที่โดยได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และสหรัฐอเมริกา ทำการรบอย่างต่อเนื่องจนสงครามสิ้นสุดใน ค.ศ. ๑๙๑๘เซอร์เบียต้องสูญเสียกำลังทหารไปถึง ๑.๒๖ ล้านคนหรือประมาณร้อยละ ๒๘ ของจำนวนประชากร ๔.๕ ล้านคน หรือประมาณร้อยละ ๕๘ ของจำนวนประชากรเพศชายทั้งหมด ซึ่งนับเป็นการสูญเสียอย่างหนัก แต่ผลจากการเข้าร่วมสงครามและประสบชัยชนะทำให้จักรวรรดิออตโตมันและออสเตรีย -ฮังการี สิ้นสุดบทบาทในคาบสมุทรบอลข่าน และเป็นการเริ่มต้นการรวมชาติสลาฟใต้ภายใต้การนำของเซอร์เบีย โดยใน ค.ศ. ๑๙๑๘ ก่อนสงครามจะยุติประชาชนในแคว้นวอยโวดีนาขอรวมกับเซอร์เบียซึ่งเพิ่งเป็นอิสระจากการยึดครองของออสเตรีย -ฮังการี และกำลังช่วยมอนเตเนโกร ปลดปล่อยประเทศเช่นกัน ทันทีที่สงครามยุติ เซอร์เบียก็ได้ถือโอกาสผนวกมอนเตเนโกร ไว้กับเซอร์เบีย การผนวกดินแดนครั้งนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวมอนเตเนโกร เป็นอันมากจึงได้ทำการต่อต้านอำนาจของเซอร์เบียเป็นระยะ ๆ ติดต่อกันหลายปีอย่างไรก็ดีระหว่างที่เซอร์เบียกำลังรวมตัวกับวอยโว-ดีนาและมอนเตเนโกร ชนชาติสลาฟในปกครองของออสเตรีย -ฮังการี ซึ่งพ่ายแพ้ในสงครามก็ขอรับการคุ้มครองจากกษัตริย์เซอร์เบีย ใน ค.ศ. ๑๙๑๘ เดือนธันวาคมเซอร์เบียจึงกลายเป็นแกนนำและประสบความสำเร็จในการรวมชนชาติสลาฟใต้ได้เป็นครั้งแรกโดยสถาปนาราชอาณาจักรเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (Kingdom ofSerbs, Croats, and Slovenes) ขึ้นเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ และมีพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ (Alexander I) แห่งราชวงศ์คาราจอร์เจวิช (Karageorgevic)ทรงเป็นพระประมุข
     ราชอาณาจักรใหม่นี้ประกอบด้วยเซอร์เบีย (รวมวอยโวดีนา มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย ) โครเอเชีย บอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา ดัลเมเชีย (Dalmatia) และสโลวีเนีย (Slovenia) ซึ่งแม้รัฐต่าง ๆ จะมีความขัดแย้งในการเลือกรูปแบบการปกครองอยู่ระยะหนึ่ง แต่ในที่สุดรัฐต่าง ๆ ก็ยอมรับรัฐธรรมนูญ ค.ศ. ๑๙๒๑ ที่กำหนดการปกครองเป็นแบบรัฐเดี่ยว (unitary state) รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่ส่วนกลางโดยมีกรุงเบลเกรด (Belgrade) เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรใหม่นี้ พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจในการบริหารและนิติบัญญัติร่วมกับคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติยกเว้นในด้านการต่างประเทศเท่านั้นให้อยู่ในพระราชวินิจฉัย การรวมรัฐต่าง ๆ ที่เคยเป็นอิสระแก่ตนทำให้ต้องยอมรับอำนาจที่มีเพียงหนึ่ง แม้จะทำให้กระบวนการสร้างชาติเป็นไปได้รวดเร็วแต่ก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ชนชาติต่าง ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ทรงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ก็มีพระประสงค์จะล้มล้างอำนาจของสภานิติบัญญัติและสถาปนาระบอบราชาธิปไตยขึ้น เมื่อเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในโดยเฉพาะระหว่างชาวเซิร์บกับชาวโครแอต รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้ พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ จึงเห็นเป็นโอกาสยุบสภายกเลิกรัฐธรรมนูญและปกครองด้วยระบบเผด็จการ ทรงมีพระราชโองการเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นยูโกสลาเวีย (Yugoslavia)ซึ่งหมายถึงประเทศของชาวสลาฟใต้ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๒๙พร้อมทั้งให้มีการแบ่งเขตการปกครองใหม่ทั้งประเทศเป็น ๙ จังหวัด (prefectures) แทนที่ ๕รัฐเดิม ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ชนชาติต่าง ๆยึดมั่นอยู่กับการแบ่งแยกเป็นรัฐของชนชาติตามที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ นโยบายสลายความเป็นชาติของชนชาติต่าง ๆ ได้สร้างความไม่พอใจและความรู้สึกแปลกแยกภายในชาติมากขึ้นเป็นลำดับอย่างไรก็ดีระหว่างทศวรรษ ๑๙๓๐ ได้เกิดเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (Great Depression) ขึ้นทั่วทั้งยุโรปรวมทั้งยูโกสลาเวีย ประชาชนจึงมุ่งเน้นไปสนใจปัญหาเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอด ยูโกสลาเวียยังพัฒนาน้อยมากในด้านอุตสาหกรรม ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทางเกษตรกรรมและยังยากจนอยู่มาก รัฐบาลกลางก็ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควรในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการเพิ่มพูนผลผลิตและรายได้ของประชากรผู้คนจึงเริ่มสิ้นหวังในรัฐบาล
     เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒อุบัติขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๓๙ ประชาชนเริ่มเกิดความหวาดกลัวและไม่แน่ใจในอนาคต เพราะทุกครั้งที่มีการสู้รบระหว่างมหาอำนาจคาบสมุทรบอลข่านมักจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๔๑กองกำลังของกลุ่มอักษะ (Axis Powers)อันประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย -ฮังการี อิตาลี บัลแกเรีย และแอลเบเนียได้เข้ายึดครองยูโกสลาเวียแล้วแบ่งแยกประเทศออกเป็นหลายส่วน โครเอเชีย บอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา และดินแดนภาคตะวันตกอยู่ในความดูแลของกองทัพนาซีโดยมีชื่อใหม่ว่า รัฐอิสระโครเอเชีย (IndependentState of Croatia) และกองทัพนาซีได้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นปกครองประเทศตามนโยบายของนาซีเช่นเดียวกับเซอร์เบียก็ถูกจัดตั้งขึ้นโดยกองทัพนาซีพันธมิตรของเยอรมนี จึงเห็นเป็นโอกาสแย่งชิงดินแดนยูโกสลาเวีย โดยฮังการี ผนวกวอยโวดีนาและดินแดนลุ่มแม่น้ำดานูบ บัลแกเรีย ผนวกดินแดนด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่แอลเบเนียยึดครองคอซอวอ เมโทฮียา (Metohija) และมอนเตเนโกร โดยที่แอลเบเนียเองก็ตกอยู่ภายใต้อำนาจทางทหารของอิตาลี สำหรับสโลวีเนีย และหมู่เกาะในทะเลเอเดรียติกมีเยอรมนี และอิตาลี ดูแลร่วมกัน
     ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๑-๑๙๔๔ ยูโกสลาเวียหรือคาบสมุทรบอลข่านเกือบทั้งหมดตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของระบอบฟาสซิสต์ (Fascism) และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ซึ่งประมาณว่าพวกยิวยิปซีและพวกต่อต้านรัฐบาลหุ่นของนาซีโดยเฉพาะพวกเซิร์บต้องถูกทำลายล้างในค่ายกักกัน (Concentration Camp) ไม่ต่ำกว่า ๑ ล้านคนจึงได้เกิดขบวนการต่อต้านระบอบฟาสซิสต์ขึ้นโดยมีพวกยูโกสลาฟจำนวนมากเข้าร่วมกับกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ (National Liberation Army) ซึ่งมียอซิปบรอซหรือตีโต (Josip Broz; Tito) ชาวโครแอตและเป็นหัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียผู้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซึ่งมีชาวเซิร์บเป็นกำลังสำคัญได้ร่วมรบกับกองทัพแดงและประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยเซอร์เบียได้ในปลายค.ศ. ๑๙๔๔ และภายในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ ก็สามารถปลดปล่อยรัฐอื่น ๆได้ทั้งหมด แต่ยูโกสลาเวียก็ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนทั้งในการทำสงครามต่อต้านเพื่อปลดปล่อยประเทศและในค่ายกักกันของนาซีสูงถึง ๑.๗ ล้านคนหรือประมาณร้อยละ๑๐.๘ ของประชากรทั้งหมด
     ในขณะที่ยูโกสลาเวียต้องเผชิญกับปัญหาการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการต่อสู้เพื่อปลดแอกประเทศจากอำนาจของฝ่ายอักษะ ผู้นำกลุ่มต่าง ๆ ก็บรรลุข้อตกลงร่วมกันที่จะล้มเลิกระบอบราชาธิปไตยและสถาปนาระบอบสาธารณรัฐขึ้นใน ค.ศ.๑๙๔๓ โดยตีโตได้รับการทาบทามให้เป็นประธานาธิบดีคนแรก เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงพร้อมกับชัยชนะของฝ่ายกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซึ่งมีตีโตและพรรคคอมมิวนิสต์ของเขามีบทบาทสำคัญ สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียจึงได้รับการสถาปนาขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๔๖ ประกอบด้วยสาธารณรัฐทั้งหมด ๖ รัฐ คือโครเอเชีย บอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา สโลวีเนีย เซอร์เบีย มอนเตเนโกร และมาซิโดเนีย สำหรับเซอร์เบียนั้นยังคงมีคอซอวอ (Kosovo) (รวมทั้งเมโทฮียา) และวอยโวดีนาเป็นจังหวัดที่มีฐานะพิเศษคือมีสิทธิปกครองตนเองแต่ก็ขึ้นอยู่กับเซอร์เบียในบางเรื่องสหพันธ์สาธารณรัฐนี้มีตีโตเป็นประธานาธิบดีและกรุงเบลเกรดเป็นเมืองหลวง แม้ชาวยูโกสลาฟจะยังเข็ดขยาดกับการปกครองแบบรวมศูนย์และเลือกที่จะรวมตัวกันแบบสหพันธรัฐแทนรัฐเดี่ยวเหมือนที่ผ่านมา แต่การปกครองที่เป็นจริงในระยะแรกยังคงเป็นแบบรวมศูนย์ค่อนข้างมากโดยเฉพาะในทางการเมืองและเศรษฐกิจ พรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียมีบทบาทสูงสุดในการกำหนดแนวทางการบริหารประเทศและคณะรัฐบาลของตีโตก็มาจากการเลือกสรรของเขาโดยสหภาพโซเวียตไม่ได้เข้ามามีอิทธิพลและบังคับเหมือนประเทศยุโรปตะวันออกอื่น ๆ ยูโกสลาเวียจึงเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เพียงประเทศเดียวที่เป็นอิสระจากเครือข่ายอำนาจของโซเวียตตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๔๘
     อย่างไรก็ดี หลังยูโกสลาเวียผ่านพัฒนาการทางการเมืองมาระยะหนึ่งโดยดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหภาพโซเวียต มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับใน ค.ศ. ๑๙๕๓, ๑๙๖๓ และ ๑๙๗๔อำนาจบริหารค่อย ๆ กระจายออกจากศูนย์กลางรัฐธรรมนูญ ค.ศ. ๑๙๗๔ แยกอำนาจบริหารออกเป็น ๓ ระดับ ระดับล่างสุดเรียกว่าคอมมูน (communes) มีรวมทั้งหมด ๕๐๐ แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศ คอมมูนจะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการผลิต การควบคุมการผลิตและการทำให้เกิดรายได้เพื่อทำให้เกิดงบประมาณใช้จ่าย ระบบที่สร้างขึ้นจึงเป็นระบบแรงงานและการจัดการแรงงานเป็นหัวใจสำคัญของการดำรงอยู่และความเจริญก้าวหน้าของชุมชนการบริหารระดับที่ ๒ คือระดับสาธารณรัฐและมณฑลอิสระซึ่งมีกลไกการบริหารที่จะต้องดึงตัวแทนของกลุ่มคนในสาขาอาชีพและกลุ่มผลประโยชน์เข้ามามีส่วนร่วมการบริหารระดับสูงสุดคือระดับสหพันธรัฐ ซึ่งมีประธานาธิบดีเป็นผู้บริหารสูงสุดร่วมกับสภาบริหารสหพันธ์และเนื่องจากตีโตมีคุณูปการต่อสหพันธ์และได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถและความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยว เขาจึงได้รับฉันทานุมัติจากสภาบริหารใน ค.ศ. ๑๙๗๔ ให้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของประเทศตลอดชีพ ในปี เดียวกันมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีองค์กรที่เป็นคณะประธานาธิบดีร่วมกัน (CollectiveState Presidency) โดยให้ประธานาธิบดีจากสาธารณรัฐทั้ง ๖ และมณฑลอิสระอีก๒ แห่งผลัดเปลี่ยนกันรับตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศวาระละ ๑ ปี ภายหลังประธานาธิบดีตีโตถึงแก่อสัญกรรมเพื่อแก้ปัญหาการแย่งชิงอำนาจระหว่างชนชาติต่าง ๆ
     สหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียประสบความสำเร็จในระยะ๒๐ ปีแรกในการฟื้นฟูประเทศและการทำให้ระบบการผลิตเข้มแข็งโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคตะวันตกของประเทศที่เริ่มก้าวเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมอย่างช้า ๆและมั่นคง ขณะที่ภาคใต้และภาคตะวันออกยังคงยึดอยู่กับภาคเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมค่อนข้างมาก แม้ีตโตจะพยายามปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อลดความเหลื่อมล้ำแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ นอกจากนี้ ตีโตยังปรับความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตในสมัยของนีกีตา ครุชชอฟ (Nikita Khrushchev) ทำให้ยูโกสลาเวียกับสหภาพโซเวียตกลับมามีความสัมพันธ์กันอีกครั้งหนึ่ง เมื่อตีโตถึงแก่อสัญกรรมใน ค.ศ. ๑๙๘๐ ประเทศยังคงเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดคือการขาดแรงจูงใจในการผลิตและการขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ ส่งผลให้การผลิตยังตกต่ำไม่เพียงพอที่จะก่อให้เกิดรายได้เพื่อการพัฒนาประเทศ รัฐบาลต้องใช้วิธีกู้เงินจากสถาบันการเงินระหว่างประเทศมากระตุ้นเศรษฐกิจโดยลงทุนในพื้นที่ที่ยังคงอ่อนแอทางเศรษฐกิจอยู่เช่นทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่มากเกินไประหว่างภูมิภาคก่อให้เกิดปัญหาความไม่พอใจในหมู่ประชากรในภูมิภาคต่าง ๆ ประกอบกับในทศวรรษหลังการเสียชีวิตของตีโตยูโกสลาเวียขาดผู้นำที่เข้มแข็ง ตำแหน่งประธานาธิบดีที่ต้องหมุนเวียนสร้างปัญหาการแข่งขันและความไม่ไว้ใจระหว่างรัฐซึ่งท้ายสุดได้นำไปสู่การสลายตัวของสหพันธรัฐใน ค.ศ. ๑๙๙๑-๑๙๙๒
     ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๑ โครเอเชีย และสโลวีเนีย ประกาศถอนตัวจากสหพันธรัฐสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ตามมาด้วยมาซิโดเนีย ในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๑และบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนาในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ค.ศ. ๑๙๙๒ คงเหลือเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ซึ่งตกลงที่จะยังคงอยู่ร่วมกันต่อไป และได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๒ พร้อมกับการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียมีการปกครองแบบเสรีนิยมในระบบรัฐสภา แยกเป็น๒ สภาคือ สภาแห่งสาธารณรัฐ (Chamber of Republics) มีสมาชิก ๔๐ คน เป็นผู้แทนของสาธารณรัฐเซอร์เบียและสาธารณรัฐมอนเตเนโกร แห่งละ ๒๐ คนและมีสภาผู้แทนราษฎร (Chamber of Citizens) มีสมาชิก ๑๓๘ คนตามสัดส่วนของจำนวนประชากร ประธานาธิบดีได้รับเลือกจากรัฐสภาทำหน้าที่เป็นประมุขของประเทศและขณะเดียวกันก็ได้รับมอบหมายอำนาจการบริหารประเทศอย่างมาก โดยมีนายกรัฐมนตรีซึ่งประธานาธิบดีเสนอชื่อและรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ทำหน้าที่บริหารงานทั่วไปในระดับสหพันธรัฐ ขณะที่สาธารณรัฐทั้ง ๒ แห่งยังคงมีรัฐบาลของตนเองทำหน้าที่รับผิดชอบในกิจการด้านสังคมและเศรษฐกิจแม้สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นในรัฐหลายแห่งที่แยกตนออกไป แต่สหพันธรัฐใหม่ก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ประธานาธิบดีสลอบอดาน มีโลเซวิช (Slobodan Milosevic) แห่งเซอร์เบียได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหพันธรัฐที่แม้จะมีขนาดพื้นที่และจำนวนประชากรเล็กลงกว่าเดิมมาก แต่ก็มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเนื่องจากมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลาอันยาวนาน นอกจากนี้ ประชากรของทั้ง๒ รัฐยังมีภาษาพูดและเขียนในสายตระกูลภาษาเดียวกันคือ ภาษาเซิร์บ-โครแอต(Serbo-Croatian) และยังนับถือศาสนาคริสต์นิกายออทอร์ดอกซ์เหมือนกัน อย่างไรก็ดี สหพันธรัฐยูโกสลาเวียก็มีชนกลุ่มน้อยที่สำคัญ ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มชนชาติแอลเบเนียซึ่งมีประมาณ ๒ ล้านคน หรือ ๑ ใน ๖ ของประชากรทั้งหมดประมาณ๑๐ ล้านคนเศษ ชนกลุ่มนี้อยู่ในรัฐคอซอวอทางตอนใต้ของประเทศ กลุ่มที่ ๒ คือชนชาติสลาฟใต้ที่เป็นมุสลิม ส่วนใหญ่จะอยู่ในมอนเตเนโกร (ร้อยละ ๑๕ ของประชากรประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ คนในมอนเตเนโกร ) และอีกส่วนหนึ่งอยู่ในเซอร์เบีย(ร้อยละ ๓ ของประชากรประมาณ ๙ ล้านคนในเซอร์เบีย) กลุ่มที่ ๓ คือ ชนชาติแมกยาร์ในจังหวัดวอยโวดีนา (ร้อยละ ๑๗ ของประชากรประมาณ ๒ ล้านคนในวอยโวดีนา)
     ประธานาธิบดีมีโลเซวิชนำประเทศยูโกสลาเวียเข้าสู่ยุคของการพัฒนาในหลาย ๆด้าน โดยเฉพาะในด้านสังคมและเศรษฐกิจ สำหรับด้านการเมืองเขาทำให้อำนาจส่วนกลางเข้มแข็งโดยเฉพาะอำนาจของประธานาธิบดีสหพันธรัฐและอำนาจการบริหารของรัฐบาลกลาง นโยบายที่แข็งกร้าวของเขาบางครั้งทำให้รัฐบาลสาธารณรัฐมอนเตเนโกร ต้องจับตามอง ที่สำคัญที่สุดก็คือนโยบายแข็งกร้าวต่อชนกลุ่มน้อยในคอซอวอทางตอนใต้ของประเทศ แท้จริงแล้วชาวแอลเบเนียในคอซอวอประสงค์จะรวมกับประเทศแอลเบเนียมากกว่าที่จะอยู่กับเซอร์เบียซึ่งนับแต่กลางทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นต้นมา ได้ใช้มาตรการรุนแรงเพื่อบังคับให้คอซอวออยู่ภายใต้การปกครองของเซอร์เบียโดยตรง ในชั้นแรกชาวแอลเบเนียใช้วิธีต่อต้านอย่างสงบแต่เมื่อไม่ได้ผลจึงหันมาใช้วิธีต่อต้านอย่างเปิดเผยด้วยการจัดตั้งกองทัพปลดปล่อยคอซอวอ (Kosovo Liberation Army - KLA) ขึ้น โดยมุ่งให้ชนกลุ่มน้อยในคอซอวอได้เอกราช การต่อสู้อย่างรุนแรงระหว่างกองทัพเซอร์เบียกับกองทัพปลดปล่อยคอซอวอจึงเริ่มขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๙๘ และแผ่ขยายไปเป็นสงครามทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่เป็นทั้งชาวแอลเบเนียและชนกลุ่มน้อยที่นับถือศาสนาอิสลามทั้งทหารและพลเรือนโดยเซอร์เบียใช้กองกำลังทุกรูปแบบทั้งฝ่ายทหารตำรวจและหน่วยปฏิบัติการพิเศษอื่น ๆ ในการทำลายล้าง ความรุนแรงในคอซอวอทำให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO) มีมติส่งกำลังทหารไปปฏิบัติการในคอซอวอเพื่อยุติเหตุร้ายแรงระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๙ รวมระยะเวลาปฏิบัติการทั้งสิ้น ๗๙ วัน มีโลเซวิชถูกบังคับให้ยอมจำนนโดยกองทัพผสมของนานาชาติเคลื่อนกำลังเข้าไปรักษาความสงบในคอซอวอ
     หลังจากเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๙ คอซอวอได้กลายเป็นรัฐในอารักขาขององค์การสหประชาชาติ(United Nations - UN) ซึ่งได้จัดตั้งคณะทำงานขององค์การสหประชาชาติในคอซอวอ (UN Mission in Kosovo - UNMIK) ขึ้นทำหน้าที่รักษาสถานการณ์ที่เมืองพริชตีนา (Pristina) และมีกองกำลังความมั่นคงคอซอวอ (Kosovo Stabilization Force - KFOR) ช่วยในด้านความมั่นคงของคอซอวอ คณะทำงานนี้ได้ใช้ความพยายามที่จะทำให้คอซอวอเป็นรัฐประชาธิปไตยและมีประชากรหลายเผ่าพันธุ์ที่อยู่ร่วมกันได้ ทั้งนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากเซอร์เบียด้วย ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ชาวคอซอวอมีโอกาสได้เลือกตั้งผู้แทนเข้าไปนั่งในสภาเป็นครั้งแรก ต่อมาในช่วงต้น ค.ศ. ๒๐๐๒ ก็สามารถเลือกประธานาธิบดีทำหน้าที่บริหารคอซอวอและเตรียมการเป็นรัฐที่ปกครองตนเองได้ในเร็ววันโดยคณะทำงานคาดว่าน่าจะพร้อมได้ใน ค.ศ. ๒๐๐๓ แต่ในช่วงเดียวกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียอีกครั้งหนึ่ง
     หลังจากถูกกองกำลังนาโตบังคับให้ยอมจำนนในสงครามคอซอวอในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๙ ประธานาธิบดีมีโลเซวิชยังคงดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเซอร์เบียและของสหพันธรัฐอยู่ เพียงแต่อำนาจของเขาลดลงไปจากเดิมมาก มีการประท้วงต่อต้านอำนาจของเขาหลายครั้ง แม้แต่หน่วยงานด้านความมั่นคงและรักษาความสงบอย่างเช่นตำรวจซึ่งเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็มีเหตุขัดแย้งกับมีโลเซวิช ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๒๐๐๐ มีโลเซวิชจัดให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ วอยิสลาฟ คอสตูนิกา (Vojislav Kostunica) ได้คะแนนร้อยละ ๔๘.๒๒ขณะที่มีโลเซวิชได้ร้อยละ ๔๐.๒๓ โดยไม่มีผู้ใดได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง จึงต้องจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๒๐๐๐ คอสตูนิกาได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งจึงได้เป็นประธานาธิบดี ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๒๐๐๑ มีการเลือกตั้งทั่วไปในเซอร์เบีย โซแรนดินดิช (Zoran Dindic) ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและเมื่อองค์การสหประชาชาติโดยศาลอาชญากรรมระหว่างประเทศที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ สั่งดำเนินคดีมีโลเซวิชในข้อหาประกอบอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเขาก็ได้ส่งตัวมีโลเซวิชไปดำเนินคดีที่กรุงเฮกโดยประธานาธิบดีคอสตูนิกาไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการส่งตัวผู้ต้องสงสัยไปดำเนินคดีนอกประเทศ คดีของมีโลเซวิชมีความสำคัญที่ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในประเทศอย่างรุนแรง นอกจากนั้น ลักษณะของการกล่าวโทษเอาผิดมีโลเซวิชได้กลายเป็นปัญหาระหว่างประเทศด้วย เพราะเขาถูกกล่าวหาในมูลความผิดที่เกี่ยวข้องไม่เฉพาะแต่กรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในคอซอวอเท่านั้น หากยังรวมไปถึงการสังหารและการเนรเทศผู้คนนับล้าน ๆ คนในสงครามกลางเมืองในโครเอเชีย (ค.ศ. ๑๙๙๐-๑๙๙๕) และบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา(ค.ศ. ๑๙๙๒-๑๙๙๕) โดยมีโลเซวิชถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือกบฏชาวเซิร์บในโครเอเชีย และบอสเนีย ด้วย ความน่าสะพรึงกลัวของการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ที่พยานหลายร้อยคนได้ให้การต่อศาลทำให้มีโลเซวิชกลายเป็น “นักฆ่าแห่งคาบสมุทรบอลข่าน”(Butcher of the Balkan) และมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีต่าง ๆรวมแล้วถึง ๖๖ คดีซึ่งมีโลเซวิชปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาตลอดมา ในวันที่ ๑๑ มีนาคมค.ศ. ๒๐๐๖ ขณะที่คดียังไม่ิส้นสุด มีโลเซวิชก็ถึงแก่อสัญกรรมในที่คุมขังขององค์การสหประชาชาติซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงเฮก
     ปั ญหาคอซอวอและปั ญหาความขัดแย้งภายในสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียในช่วงระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๘-๒๐๐๒ ทำให้รัฐบาลสหพันธรัฐเห็นความสำคัญที่ต้องลดความเข้มงวดและแข็งกร้าวในการปกครองประเทศลงบ้าง ได้มีการทบทวนโครงสร้างการบริหารสหพันธรัฐโดยสภาสหพันธ์มีมติให้ลดอำนาจและบทบาทของรัฐบาลสหพันธ์ลง และเพิ่มอำนาจและความเป็นตัวของตัวเองในระดับสาธารณรัฐแต่ละแห่งให้มากขึ้น และหากเป็นไปได้การรวมตัวของสาธารณรัฐเซอร์เบียและมอนเตเนโกร ที่จะเกิดขึ้นควรมีลักษณะเป็นการรวมตัวอย่างหลวม ๆ เท่านั้น ต่อมาในวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๒๐๐๓ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสหภาพเซอร์เบียและมอนเตเนโกร
     การดำรงอยู่ร่วมกันของเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เป็นการร่วมกันแบบสหภาพหรือแบบรัฐในเครือจักรภพ (Commonwealth) ที่แต่ละรัฐคงความเป็นอิสระเกือบทุกด้าน เซอร์เบียมีกรุงเบลเกรดเป็นเมืองหลวง แบ่งเขตการปกครองออกเป็นจังหวัดและมีอีก ๒ จังหวัดที่มีฐานะพิเศษคือวอยโวดีนาซึ่งปกครองตนเองมีนอวีซาด (Novi Sad) เป็นเมืองหลวง และคอซอวอซึ่งอยู่ในความดู แลขององค์การสหประชาชาติมีพริชตีนาเป็นเมืองหลวง มอนเตเนโกร ก็มีการแบ่งเขตการปกครองในรัฐของตนเป็นจังหวัด มีกรุงพอดกอรีตซา (Podgorica) เป็นเมืองหลวงแต่ละรัฐมีประธานาธิบดีคณะผู้บริหาร รัฐสภาศาล ธนาคารชาติเงินตรา ธงชาติและตราสัญลักษณ์ของประเทศเป็นของตนเองจึงสามารถกำหนดนโยบายด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจการค้าและการลงทุน การจัดทำงบประมาณ การภาษีและศุลกากร การคมนาคมและขนส่ง การศาล การศึกษาตลอดจนการบริการสังคมต่าง ๆ ได้ ในฐานะเป็นชาติเดียวกันทั้ง ๒ รัฐบาลต่างตกลงที่จะดำเนินกิจการร่วมกันในด้านการทหารและการต่างประเทศเป็นหลัก ส่วนเรื่องกฎหมายและปัญหาการธำรงรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรมภายในชาติที่อาจเป็นปัญหาร่วมกัน ได้มีการตกลงให้กรุงพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวงด้านการศาล ขณะที่กรุงเบลเกรดเป็นเมืองหลวงด้านการบริหาร ประธานาธิบดีของรัฐเซอร์เบียคือ สเวโตซาร์ มาโรวิช(Svetozar Mavovic) ทำหน้าที่เป็นประธานาธิบดีและประมุขของประเทศ ประชาชนใช้ภาษาเซิร์บเป็นภาษาราชการ การรวมตัวของรัฐทั้งสองจึงเป็นไปแบบหลวม ๆ ทั้งยังมีการตกลงด้วยว่าหากรัฐใดรัฐหนึ่งต้องการแยกตนเป็นอิสระก็สามารถกระทำได้ด้วยการแสดงประชามติแต่ต้องกระทำภายหลังจากที่ทดลองอยู่ร่วมกันมาแล้วอย่างน้อย ๓ ปี นั่นคือนับจาก ค.ศ. ๒๐๐๖ เป็นต้นไป และการแสดงประชามติต้องมีผู้ออกเสียงอย่างน้อยร้อยละ ๕๕ ของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
     อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๖ ชาวมอนเตเนโกร ได้แสดงประชามติเพื่อขอให้รัฐมอนเตเนโกร ยุติการรวมเป็นสหภาพกับเซอร์เบียผลปรากฏว่าพลเมืองร้อยละ ๕๕.๔ ออกเสียงสนับสนุนให้มอนเตเนโกร แยกจากสหภาพและจัดตั้งประเทศใหม่ ในวันที่ ๓ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ รัฐบาลมอนเตเนโกร ได้ประกาศผลการแสดงประชามติของประชาชนอย่างเป็นทางการและแยกตนเป็นประเทศเอกราชอีก ๔ วันต่อมา เซอร์เบียก็ประกาศจัดตั้งประเทศเอกราชเมื่อวันที่๗ มิถุนายน เช่นกัน.
     

ชื่อทางการ
สาธารณรัฐเซอร์เบีย (Republic of Serbia)
เมืองหลวง
เบลเกรด (Belgrade)
เมืองสำคัญ
พริชตีนา (Pristina) นอวีซาด (Novi Sad) นีช (Nis)
ระบอบการปกครอง
สาธารณรัฐ
ประมุขของประเทศ
ประธานาธิบดี
เนื้อที่
๘๘,๓๖๑ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ
ทิศเหนือ : ประเทศฮังการีและประเทศโรมาเนีย ทิศตะวันออก : ประเทศบัลแกเรีย และประเทศโรมาเนีย ทิศใต้ : ประเทศแอลเบเนีย และประเทศมาซิโดเนีย ทิศตะวันตก : ประเทศโครเอเชีย บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาและมอนเตเนโกร
จำนวนประชากร
๑๐,๑๕๐,๒๖๕ คน (ค.ศ. ๒๐๐๗)
เชื้อชาติของประชากร
เซิร์บร้อยละ ๘๒.๙ ฮังการีร้อยละ ๓.๙ และอื่น ๆ ร้อยละ ๑๒.๓
ภาษา
เซอร์เบีย โครแอต (ในวอยวอดีนา) และแอลเบเนีย (ในคอซ
ศาสนา
คริสต์นิกายเซอร์เบียออร์ทอดอกซ์ร้อยละ ๘๕ นิกายโรมันคาทอลิก ร้อยละ ๕.๕ อิสลามร้อยละ ๓.๒ นิกายโปรเตสแตนต์ร้อยละ ๑.๑ อื่น ๆ และไม่ระบุร้อยละ ๕.๒
เงินตรา
นิวยูโกสลาฟดินาร์ (new Yugoslav dinar)
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
สุิจตรา วุฒิเสถียร
แหล่งอ้างอิง
สารานุกรมทวีปยุโรป