สาธารณรัฐซานมารีโน มีชื่อทางการอีกชื่อหนึ่งว่า Most Serene Republicof San Marino เป็นประเทศอิสระที่มีขนาดเล็กที่สุดเป็นอันดับ ๓ ของยุโรป(รองจากวาติกันและโมนาโก ) และเป็นสาธารณรัฐที่เล็กที่สุดเป็นอันดับ ๒ ของโลก[รองจากนาอูรู (Nauru) ซึ่งเป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกที่เพิ่งได้เอกราชในค.ศ. ๑๙๖๘] ทั้งยังอาจกล่าวได้ว่าซานมารีโนเป็นสาธารณรัฐที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ดำรงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน
ซานมารีโนตั้งอยู่ในดินแดนของประเทศอิตาลี บริเวณภาคกลางตอนบนห่างจากชายฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic) เข้าไปประมาณ ๑๘ กิโลเมตร ประเทศซานมารีโนมีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่า โดยมีเส้นทะแยงมุมที่ยาวที่สุดจากมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือถึงมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ยาวเพียง ๑๓ กิโลเมตรพื้นที่ประกอบด้วยภูเขาตีตาโน (Monte Titano) ซึ่งมียอดที่โดดเด่น ๓ยอด แต่ละยอดมีปราสาทตั้งอยู่ด้านบน และเนินเขาเตี้ย ๆ โดยรอบซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านขนาดเล็กที่เรียกว่า castle หรือ castelli ในภาษาอิตาลี อีกไม่เกิน ๑๐ หมู่บ้าน รวมเป็นเนื้อที่ทั้งหมด ๖๑ ตารางกิโลเมตร
จากการขุดค้นทางโบราณคดีในบริเวณเขาตีตาโนมีการพบชิ้นส่วนวัสดุสมัยก่อนประวัติศาสตร์และสมัยจักรวรรดิโรมันอยู่บ้าง แต่การตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนในบริเวณนี้สันนิษฐานว่าคงเริ่มขึ้นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๔ เมื่อมารีนัส (Marinus)ช่างสกัดหินผู้นับถือคริสต์ศาสนาจากดัลเมเชีย (Dalmatia) [ปัจจุบันอยู่ในโครเอเชีย (Croatia) ] พร้อมผู้ติดตามจำนวนหนึ่งได้อพยพหลบหนีการเข่นฆ่ากวาดล้างชาวคริสเตียนตามพระบัญชาของจักรพรรดิไดโอเคลเชียน (Diocletian ค.ศ. ๒๘๔-๓๐๕)แห่งจักรวรรดิโรมันขึ้นมาตั้งถิ่นฐานบนยอดเขาตีตาโนซึ่งมีความสูงที่สุด (๗๓๘ เมตร)ในบรรดาเขาทั้งหมดในซานมารีโน ต่อมาเขาได้ก่อสร้างหอสวดมนต์ (chapel)ขึ้นบนยอดเขาและดำรงชีวิตแบบผู้อุทิศตนให้ศาสนา ในไม่ช้าก็มีชนชาวคริสต์อพยพหนีมาอยู่ด้วยอีกเป็นจำนวนมาก จนเกิดเป็นชุมชนอิสระที่พัฒนาขึ้นเป็นสาธารณรัฐที่ดำรงอยู่สืบมาจนทุกวันนี้ ชาวซานมารีโนจึงถือว่ามารีนัสหรือเซนต์มารีโนเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ประเทศของตนและจัดพิธีเฉลิมฉลองวันเซนต์มารีโนในวันที่ ๓กันยายนของทุกปี นอกจากนี้ ชาวเมืองยังเชื่อกันว่ากระดูกของเซนต์มารีโนยังคงอยู่ที่ิวหารซานมารีโน (Basilica of San Marino)
ภูมิประเทศที่เป็นภู เขาสูงชันยากที่จะเข้าโจมตีทำให้ชุมชนซานมารีโนสามารถดำรงความเป็นอิสระ รอดพ้นจากการคุกคามของจักรวรรดิโรมันซึ่งอยู่ในภาวะกำลังจะเสื่อมสลาย และจากการรุกรานของอนารยชนเผ่าต่าง ๆ ในเวลาต่อมาเมื่อถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ ซานมารีโนก็มีฐานะเป็นรัฐ (commune) อิสระที่มีธรรมนูญปกครองประเทศของตนเอง และปกครองตามระบอบประชาธิปไตยโดยผู้นำที่เรียกว่า กงสุล (consul) แต่ขณะเดียวกันก็อยู่ในอำนาจควบคุมตามระบอบฟิวดัลของบิชอปแห่งซานลีโอ (San Leo)ด้วย
ในสมัยกลางดินแดนตอนเหนือของคาบสมุทรอิตาลี ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆที่มีอำนาจปกครองตนเองและผู้ปกครองรัฐทั้งหลายต่างก็พยายามที่จะขยายอิทธิพลและเขตแดนของตนเข้าครอบครองดินแดนใกล้เคียง รัฐที่อยู่ใกล้กับซานมารีโนคือรีมินี(Rimini) เมืองท่าริมทะเลเอเดรียติก เป็นรัฐที่มีความเข้มแข็งและอิทธิพลสูงผู้ครองรัฐได้แก่ ตระกูลมาลาเตสตา (Malatesta) รีมินีต้องการผนวกซานมารีโนเข้าเป็นดินแดนของตน แต่ชาวซานมารีโนซึ่งหวงแหนความเป็นอิสระได้พยายามต่อต้านอย่างเข้มแข็ง โดยอาศัยความได้เปรียบทางด้านภูมิประเทศซึ่งเป็นเขาสูงชัน นอกจากนี้ ซานมารีโนยังได้รับการปกป้องคุ้มครองจากตระกูลมอนเตเฟลโตร (Montefeltro)ผู้ครอบครองราชรัฐอูร์บีโน (Urbino) ซึ่งเป็นรัฐเพื่อนบ้านเช่นเดียวกับรีมินีและเป็นคู่แข่งของรีมินีด้วย ทำให้สามารถรอดพ้นจากการถูกยึดครองทั้งจากรีมินีและรัฐอื่นๆใน ค.ศ. ๑๓๕๑ ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาของ “การคุมขังแห่งบาบิโลน”(The BabylonianCaptivity ค.ศ. ๑๓๐๙-๑๓๗๘) ที่สันตะปาปาทรงสูญสิ้นอำนาจและถูกฝรั่งเศส บังคับให้ไปประทับที่เมืองอาวีญง (Avignon) ในฝรั่งเศส บิชอปเปรุซซี(Peruzzi)ก็ได้พ่ายแพ้ต่อพวกกิเบลลีน (Ghibelline) ที่สนับสนุนจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) และต้องสูญเสียซานลีโอ ชาวซานมารีโนจึงเห็นเป็นโอกาสเสนอให้ที่พำนักแก่บิชอปโดยบิชอปต้องยอมลงนามในเอกสารต่าง ๆที่จะปลดเปลื้องซานมารีโนจากเงื่อนไขต่าง ๆ ของระบอบการปกครองแบบฟิวดัล
ใน ค.ศ. ๑๔๖๓ สันตะปาปาไพอัสที่ ๒ (Pius II ค.ศ. ๑๔๕๘-๑๔๖๔) ได้ยกหมู่บ้านเซร์ราวัลเล (Serravalle) ให้ซานมารีโนเป็นการตอบแทนที่ได้ให้ความช่วยเหลือในการต่อสู้กับตระกูลมาลาเตสตาที่เป็นพวกเกวลฟ์ (Guelf) อริของสันตะปาปานับเป็นการได้ดินแดนเพิ่มขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของซานมารีโนเพราะตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบันสาธาณรัฐซานมารีโนมีดินแดนเท่าเดิมมาโดยตลอดอย่างไรก็ีด ความเป็นเอกราชของสาธารณรัฐซานมารีโนได้ถูกทำลายลงชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ใน ค.ศ. ๑๕๐๓เมื่อเชซาเร บอร์จา (Cesare Borgia) หรือเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “วาเลนตีโน”(Valentino)ซึ่งทรงอิทธิพลสูงทั้งทางศาสนจักรและทางการเมืองในดินแดนอิตาลี ขณะนั้น สามารถบุกรุกเข้ายึดครองซานมารีโนได้ นับเป็นครั้งแรกที่ซานมารีโนต้องสูญเสียเอกราชแต่เพียงไม่กี่เดือนต่อมาหลังจากบอร์จาสิ้นชีวิต ชาวเมืองก็สามารถตั้งตนเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง ต่อมาในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ ซานมารีโนก็ถูกรีมินีและซันตาร์กันเจโล [Santarcangelo (ค.ศ. ๑๕๔๓)] และต่อมาเวรุกกีโอ [Verucchio (ค.ศ. ๑๕๔๙)]โจมตีจนต้องมีการสร้างขยายกำแพงเมืองให้เข้มแข็งขึ้น และต้องขอความคุ้มครองจากราชรัฐอูร์บีโนมากขึ้นจนประดุจเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของราชรัฐ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อดุ็กแห่งอูร์บีโนคนสุดท้ายไม่มีทายาท ซึ่งตามประเพณีทรัพย์สินทั้งปวงของดุ็กหลังสิ้นพระชนม์จะต้องตกเป็นของศาสนจักร ชาวเมืองซานมารีโนจึงทำเรื่องอุทธรณ์ไปยังสันตะปาปาเพื่อขอความคุ้มครองโดยตรงจากพระองค์หากราชรัฐอูร์บีโนต้องสลายตัวลง สันตะปาปาทรงให้คำมั่นสัญญาเป็นลายลักษณ์ดังนี้ต่อมาใน ค.ศ. ๑๖๓๑ เมื่อดุ็กแห่งอูร์บีโนสิ้นพระชนม์ สันตะปาปาเออร์เบินที่ ๘(Urban VIII ค.ศ. ๑๖๒๓-๑๖๔๔) ทรงรักษาคำสัญญาและประกาศรับรองความเป็นอิสระของซานมารีโน ตั้งแต่นั้นมาสาธารณรัฐซานมารีโนก็เป็นที่ยอมรับในฐานะเป็นนครรัฐอิตาลี ที่มีอำนาจปกครองตนเอง จนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เมื่อคาร์ดินัล จูีลโออัลเบโรนี(Giulio Alberoni) ซึ่งเป็นผู้แทนองค์สันตะปาปา (legate)ไปปกครองเขตโรมาญญา [Romagna - บริเวณตอนเหนือของอิตาลี ที่รัฐสันตะปาปา(Papal States) ครอบครองอยู่ในขณะนั้น] ได้ใช้กำลังทหารผนวกซานมารีโนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสันตะปาปาในปลาย ค.ศ. ๑๗๓๙ นับเป็นเหตุการณ์ครั้งที่ ๒ในประวัติศาสตร์ของประเทศที่ถูก “ต่างชาติ”เข้ายึดครอง ในเวลาไม่ช้าชาวเมืองก็ร่วมกันขัดขืนอย่างสงบและลอบส่งสารถึงสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ ๑๒ (Clement XIIค.ศ. ๑๗๓๐-๑๗๔๐) เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมดังนั้นในต้น ค.ศ. ๑๗๔๐ สันตะปาปาจึงทรงยอมรับในสิทธิและอำนาจของรัฐอิสระของซานมารีโน และทำให้ซานมารีโนได้รับเอกราชกลับคืนมาอีก
เมื่อนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) เข้ารุกรานดินแดนตอนเหนือของอิตาลี ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ เขาชื่นชมในความเป็นสาธารณรัฐเสรีนิยมและให้การยอมรับเอกราชของซานมารีโน ทั้งยังเสนอจะให้ดินแดนเพิ่ม แต่ชาวซานมารีโนปฏิเสธไม่ยอมรับโดยให้เหตุผลว่าความเป็นรัฐที่ยากจนและมีดินแดนเพียงน้อยนิดนี้เองที่ทำให้ซานมารีโนสามารถรอดพ้นจากการยึดครองของรัฐเพื่อนบ้านที่ยิ่งใหญ่และหิวกระหายมาได้ หลังสงครามนโปเลียน (NapoleonicWars) ที่ประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕)ได้ประกาศรับรองความเป็นรัฐอิสระของซานมารีโน ในขณะที่สาธารณรัฐเก่าแก่คือลุกโก (Lucco) เจโนวา (Genova) และเวนิส (Venice) ถูกยุบ
นอกจากความรักหวงแหนและภาคภูมิใจในความเป็นเอกราชของประเทศแล้ว ชาวซานมารีโนยังมีความคิดว่าเนื่องจากประเทศซานมารีโนเกิดขึ้นมาจากการเป็นที่ีล้ภัยของผู้ก่อตั้ง ฉะนั้นซานมารีโนก็ควรเอื้อเฟืôอให้ที่พักพิงแก่ผู้ีล้ภัยทั้งหลายด้วย ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการพยายามรวมชาติอิตาลี (Unification of Italy) ซานมารีโนจึงเป็นที่ีล้ภัยการเมืองของนักปฏิวัติจำนวนมากรวมทั้งจู เซปเป การีบัลดี (Giuseppe Garibaldi)วีรบุรุษของชาวอิตาลี ผู้นำคนสำคัญของกองกำลังอาสาสมัครเชิ้ตแดงในขบวนการรวมชาติอิตาลี อานีตา (Anita)ภรรยาและผู้ติดตามจำนวน ๑,๐๐๐ คนซึ่งหลบหนีเข้ามาอยู่ในซานมารีโนใน ค.ศ. ๑๘๔๙แต่ีอก ๒ ปีต่อมากองกำลังร่วมของออสเตรีย กับรัฐสันตะปาปาก็เคลื่อนตัวเข้าซานมารีโนเพื่อจับกุมกลุ่มอดีตสมาชิกของสภาโรมัน (Roman Assembly) เหล่านี้ที่มีส่วนร่วมในการเข้ายึดรัฐสันตะปาปาและปกครองในช่วงระยะเวลาหนึ่งระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๘๔๘ (Revolutions of 1848) ต่อมาหลังจากที่อิตาลี สามารถรวมชาติได้สำเร็จ ค.ศ. ๑๘๖๑ ซานมารีโนซึ่งเคยให้ที่พักและช่วยพาการีบัลดีและภรรยาตลอดจนเจ้าหน้าที่หลบหนีจากการจับกุม รวมทั้งให้ยารักษาโรคอาหาร และเงินก็ได้รับการตอบแทนโดยได้รับการยกเว้นจากการผนวกเข้ากับราชอาณาจักรอิตาลี ใน ค.ศ. ๑๘๖๒ ซานมารีโนยังขยายขอบเขตความสัมพันธ์กับราชอาณาจักรอิตาลี ใหม่โดยทำสัญญาพันธไมตรีต่อกัน รัฐบาลอิตาลี รับรองความเป็นเอกราชของซานมารีโนและสัญญาจะให้การปกป้องคุ้มครองด้วย นอกจากนี้ทั้ง ๒ ประเทศยังตกลงรวมตัวกันในสหภาพศุลกากรและให้ซานมารีโนใช้หน่วยเงินของอิตาลี สนธิสัญญาพันธไมตรีดังกล่าวนี้ยังได้รับการแก้ไขเป็นระยะ ๆ จนถึงปัจจุบัน
ใน ค.ศ. ๑๙๐๖ ได้เกิดการปฏิวัติอย่างสงบในซานมารีโน โดยมีการนำเอาระบบการเลือกตั้งสมาชิก Grand Council กลับมาใช้ีอก โดยสมาชิกต้องมาจากพวกอาเรนโก (Arengo) ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ เท่านั้น แต่หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ใน ค.ศ. ๑๙๒๐ มีการให้สิทธิการเลือกตั้งแก่ชายที่บรรลุนิติภาวะทุกคน ส่วนพรรคการเมืองก็นิยมจัดตั้งตามพรรคการเมืองในอิตาลี โดยในระยะแรกพรรคสังคมนิยมและพรรคปอปปูิลสต์ (Populist) หรือพรรคคาทอลิกมีบทบาทสำคัญ แต่ต่อมาพรรคฟาสซิสต์ (Fascist) ท้องถิ่นก็เข้ามามีอำนาจพร้อม ๆกับการขึ้นมามีอำนาจของเบนีโต มุสโสลีนี (Beneto Mussolini) ผู้นำและเผด็จการทหารอิตาลี แต่เมื่อมุสโสลีนีสิ้นอำนาจใน ค.ศ. ๑๙๔๓ ซานมารีโนก็กลายเป็นประเทศที่ต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์เช่นเดียวกับอิตาลี ด้วย
ในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ชาวซานมารีโนได้ลงคะแนนเสียงที่จะให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อพยพชาวอิตาลี นอกจากนี้ ยังมีอาสาสมัครชาวซานมารีโนจำนวน๕๐ คนรบกับกองกำลังออสเตรีย และมีการจัดตั้งหน่วยพยาบาลขึ้นในแนวหน้าเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ทหารอิตาลี อีกด้วย ส่วนในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซานมารีโนประกาศนโยบายเป็นกลางและเป็นสถานที่ีล้ภัยให้แก่คนจากประเทศต่าง ๆ ทั่วยุโรปกว่า๑๐๐,๐๐๐ คน แต่ชาวซานมารีโนจำนวนหนึ่งได้อาสาสมัครเข้ารบในกองทัพอิตาลี เมื่อรัฐบาลฟาสซิสต์ิส้นอำนาจ กลุ่มทหารอาสาสมัครดังกล่าวก็ถูกซานมารีโนจองจำด้วยข้อหากระทำการผิดต่อกฎหมายโบราณที่ห้ามชาวซานมารีโนรับใช้ในกองทัพต่างชาติแต่ก่อนที่สงครามจะสิ้นสุดลง ซานมารีโนก็ถูกกองทัพนาซีรุกรานและกองกำลังฝ่ายพันธมิตรทิ้งระเบิดใน ค.ศ. ๑๙๔๔ ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งแก่ชีวิตและทรัพย์สินเป็นอันมาก เมื่อสงครามสิ้นสุดลง รัฐบาลซานมารีโนได้เรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ดอลลาร์สหรัฐจากสหรัฐอเมริกา ในช่วงที่สงครามดำเนินอยู่นั้น ชาวซานมารีโนก็ได้แสดงน้ำใจแก่ผู้อพยพลี้ภัยในประเทศอย่างมาก โดยการแบ่งปันที่พักอาศัยอาหาร และไวน์
ในการเลือกตั้ง ค.ศ. ๑๙๔๕ ชาวซานมารีโนซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพวกที่อนุรักษ์ระเบียบที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยกลางและนิยมขนบประเพณีและพิธีการต่าง ๆ ได้สร้างความตื่นตะลึงให้แก่ชาวโลกด้วยการเลือกพรรคสังคมนิยมคอมมิวนิสต์เข้าไปเป็นเสียงข้างมากในสภา นับเป็นประเทศเดียวในทวีปยุโรปนอกค่ายคอมมิวนิสต์ที่บริหารปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งยังก่อให้เกิดความขัดแย้งกับอิตาลี ที่ในขณะนั้นดำเนินนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ พรรคนี้ครองเสียงข้างมากและได้จัดตั้งรัฐบาลผสมต่อมาเป็นเวลา ๑๒ ปี จนถึง ค.ศ. ๑๙๕๗ และได้ร่วมในคณะรัฐบาลผสมอีกครั้งระหว่าง ค.ศ. ๑๙๗๘-๑๙๘๖อย่างไรก็ดีพรรคคอมมิวนิสต์ก็มิได้ดำเนิน“การปฏิรูป” ซานมารีโนในแนวทางสังคมนิยม นอกจากดำเนินการให้บริการรักษาพยาบาลแบบให้เปล่าแก่ประชาชนทุกคน จัดทำโครงการก่อสร้างสาธารณะเพื่อลดจำนวนผู้ว่างงาน และแบ่งผลผลิตทางการเกษตรร้อยละ ๖๓ ให้แก่เกษตรกรที่รับจ้างเจ้าของที่เพาะปลูก (มากกว่าในอิตาลี ที่แบ่งให้เพียงร้อยละ ๕๓) ในด้านการต่างประเทศ ซานมารีโนได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์กรต่างประเทศเป็นครั้งแรกใน ค.ศ.๑๙๐๘ โดยเป็นสมาชิกสถาบันการเกษตรระหว่างชาติ (International Institute ofAgriculture) ส่วนการเป็นสมาชิกองค์กรระหว่างประเทศที่สำคัญในปัจจุบันคือการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ(United Nations) และสมาชิกสภายุโรป (Council ofEurope) ใน ค.ศ. ๑๙๗๑ และต่อมาเป็นสมาชิกการประชุมเพื่อความร่วมมือกันในยุโรป(Conference on Security and Cooperation in Europe - CSCE) และอื่น ๆ
สาธารณรัฐซานมารีโนปกครองด้วยระบอบรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญซึ่งพัฒนามาจากธรรมนูญปกครองประเทศในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ รัฐสภาของซานมารีโน ซึ่งเรียกว่า Grand and General Council ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๖๐ คน โดยจะมีการเลือกตั้งทั่วไปทุก ๕ ปี สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งแต่ไม่มีสิทธิรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภา รัฐสภามีอำนาจทั้งในด้านนิติบัญญัติและการบริหาร ในด้านอำนาจบริหารนั้นรัฐสภาจะเลือกสมาชิกสภาจำนวน ๒ คนขึ้นมาทำหน้าที่หัวหน้าคณะรัฐบาล และผู้นำประเทศซึ่งเรียกว่า capitani reggenti (captain regent) ผู้ได้รับเลือกไม่มีสิทธิปฏิเสธไม่รับตำแหน่ง และอยู่ในตำแหน่งวาระละ ๖ เดือน โดยเข้ารับตำแหน่งในวันที่๑ เมษายน และ ๑ ตุลาคมของปี เมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้วจะไม่สามารถรับตำแหน่งได้อีกจนกว่าจะครบ ๓ ปี นอกจากนี้ รัฐสภายังเป็นผู้เลือกผู้ทำหน้าที่ในคณะรัฐมนตรีซึ่งเรียกว่าสภาแห่งรัฐ (Congress of State) จากสมาชิกสภาจำนวน ๑๐ คน เพื่อทำหน้าที่บริหารงานต่าง ๆ ของประเทศ โดยแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบงานคนละกระทรวง
ซานมารีโนนับเป็นประเทศที่ให้สวัสดิการสังคมแก่ประชาชนอย่างกว้างขวางมาก นอกจากประชาชนทุกคนมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งรวมไปถึงการให้บริการแก่คนชราแล้ว รัฐยังมีหน้าที่จัดหาที่อยู่อาศัยและงานให้แก่ประชาชนที่ต้องการความช่วยเหลือ ส่วนในด้านการศึกษานั้น นักเรียนจะได้เรียนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนถึงอายุ ๑๔ ปี และยังมีโครงการให้ความช่วยเหลือ สำหรับนักศึกษาที่ต้องการไปศึกษาระดับอุดมศึกษาในมหาวิทยาลัยและสถาบันต่างประเทศอีกด้วย
สาธารณรัฐซานมารีโนมีกองทัพขนาดเล็กของตนเอง แต่ไม่มีการเกณฑ์ทหารทหารในกองทัพสวมเครื่องแบบที่สวยงามสะดุดตา ประกอบด้วย ชุดสีน้ำเงินหมวกประดับขนนกสีน้ำเงินกับขาว ถือปืนคาบศิลาและสะพายกระบี่แบบโบราณนอกจากนี้ ยังมีกองทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่อารักขาและเป็นกองเกียรติยศของผู้นำประเทศ ทหารกองนี้สวมเครื่องแบบที่สะดุดตาไม่แพ้กัน อันประกอบด้วยกางเกงสีแดง เสื้อนอกสีเขียว หมวกประดับขนนกสีแดงกับขาวและพกปืนพกโบราณ
ในด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากซานมารีโนไม่มีทรัพยากรแร่ธาตุ เหมืองหินบนเขาตีตาโนที่เคยเป็นแหล่งวัตถุดิบสำหรับงานก่อสร้างและงานฝีมือได้หมดสิ้นไปนานแล้ว เศรษฐกิจของประเทศจึงขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นสำคัญ นอกจากนี้ก็มีการอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น การผลิตวัสดุก่อสร้าง สีเครื่องเรือน สิ่งทอ เสื้อผ้าเครื่องถ้วยชาม เครื่องสำอาง ไวน์ และผลิตภัณฑ์อาหาร ประชากรส่วนใหญ่ยังนิยมทำการเกษตรซึ่งมีทั้งการปลูกข้าวต่าง ๆ เช่น ข้าวสาลีข้าวโพด การทำไร่องุ่นและสวนผลไม้ การเลี้ยงโคนม ิกจการที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศไม่น้อยคือการผลิตดวงตราไปรษณียากรและเหรียญกษาปณ์ ซึ่งซานมารีโนผลิตเงินเหรียญของตนเองแม้จะใช้หน่วยเงินตามของอิตาลี เป็นเงินตราหลัก ทั้งดวงตราไปรษณียากรและเงินเหรียญของซานมารีโนเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวและนักสะสมทั่วโลกนอกจากนี้ ซานมารีโนยังได้รับค่าตอบแทนจากรัฐบาลอิตาลี อีกจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทนที่ให้อิตาลี ผูกขาดการผลิตบุหรี่และสินค้าอื่นอีกบางรายการ
ปัจจุบันชาวซานมารีโนซึ่งเรียกว่า Sammarinesi จำนวนหนึ่งได้ออกไปอาศัยอยู่นอกประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอิตาลี แต่ทุกคนยังคงภาคภูมิใจในความเป็นชาวซานมารีโนที่รักอิสรภาพและความเป็นเอกราชของชาติสมบัติชิ้นหนึ่งที่ชาวซานมารีโนเก็บรักษาไว้อย่างดีในพิพิธภัณฑ์รวมกับงานศิลปะและสัญลักษณ์ของชาติือ่น ๆ ได้แก่ จดหมายตอบขอบคุณจากประธานาธิบดีเอบราแฮม ลินคอล์น(Abraham Lincoln) แห่งสหรัฐอเมริกาที่ตอบขอบคุณการแต่งตั้งให้เป็นเขาประชาชนกิตติมศักดิ์ ของซานมารีโน ซึ่งความตอนหนึ่งกล่าวว่า “Although yourdominion is small, nevertheless your State is one of the most honouredthroughout history...”อันสะท้อนความรู้สึกของชาวซานมารีโนได้เป็นอย่างดี.