โปรตุเกสเป็นประเทศทางตะวันตกสุดของภาคพื้นทวีปยุโรปซึ่งมีพัฒนาการมาจากอาณาจักรคริสเตียนในคาบสมุทรไอบีเรีย (Iberia) ที่ปรากฏขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒ เป็นอาณาจักรที่คงความสืบเนื่องมาได้ถึงปัจจุบัน ขณะที่อาณาจักรสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ เลออง (Leon) กาสตีล (Castile) นาวาร์ (Navarre)อารากอน (Aragon) และเคาน์ตีบาร์เซโลนา (Barcelona) ค่อย ๆ รวมกันเข้าเป็นประเทศสเปน ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ โปรตุเกสเปลี่ยนการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐใน ค.ศ. ๑๙๑๐ ฐานะทางเศรษฐกิจของโปรตุเกสด้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในยุโรปตะวันตกแม้จะเคยเป็นประเทศที่บุกเบิกการเดินเรือจากยุโรปไปเอเชียและตั้งสถานีการค้าต่าง ๆ ตามเส้นทางจนมีจักรวรรดิโพ้นทะเลซึ่งประกอบด้วยดินแดนในแอฟริกา เอเชีย และอเมริกาใต้ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖
ในช่วงแรก ๆ ของพัฒนาการทางการเมืองในคาบสมุทรไอบีเรียดินแดนที่ประกอบเป็นโปรตุเกสปัจจุบันเป็นส่วนของภูมิภาคต่าง ๆ ของสเปน กล่าวคือตอนเหนือเป็นส่วนหนึ่งของกาลิเชีย (Galicia) ตอนกลางและตอนล่างเป็นส่วนหนึ่งของเอ็กซเตรมาดูรา (Extremadura) และอันดาลูเซียตะวันตก (Western Andalucัa)ข้อมู ลทางโบราณคดีบ่งชี้ว่ามีมนุษย์อาศัยตามถ้ำและเพิงหินในบริเวณโปรตุเกสตั้งแต่สมัยหินเก่า (Paleolithic Period) และพบโครงกระดูกมนุษย์นิแอนเดอร์ทอล(Neanderthal) ของสมัยต่อมาด้วย ประมาณ ๑,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชพวกเคลต์ (Celt) ได้ข้ามเทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees) เข้าสู่คาบสมุทรไอบีเรียเป็นระลอก ๆ และหลายกลุ่มมุ่งไปทางทิศตะวันตก ชาวเคลต์จากยุโรปกลางส่วนหนึ่งได้เข้าสู่ดินแดนที่ต่อมาเป็นโปรตุเกสและแต่งงานกับชาวพื้นเมืองจึงทำให้เกิดชาวไอบีเรีย เชื้อสายเคลต์ซึ่งแบ่งเป็นเผ่าต่าง ๆ เผ่าที่สำคัญคือ ลูซิเตเนีย (Lusitania)ซึ่งตั้งถิ่นฐานระหว่างแม่น้ำโดรู (Douro) และแม่น้ำเทกัส (Tagus)อันเป็นบริเวณจากตอนกลางขึ้นไปทางเหนือของโปรตุเกส ใน ๒๓๘ ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวคาร์เทจ(Carthage) ได้เข้าครอบครองดินแดนชายฝั่งคาบสมุทรที่ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนต่อจากพวกฟินิเชีย (Phoenician) ๒๐ ปี ต่อมา กองทหารโรมันชุดแรกก็ได้บุกเข้าไปและขับไล่ชาวคาร์เทจได้สำเร็จในช่วงสงครามพิวนิกครั้งที่ ๒ (Punic War ๒๑๘-๒๐๑ปีก่อนคริสต์ศักราช)
พวกโรมันเข้าครอบครองโปรตุเกสจากทางใต้ซึ่งเป็นเขตที่พวกโคนี (Conii)ซึ่งมีท่าทีเป็นมิตรอาศัยอยู่ หลายทศวรรษต่อมา พวกโรมันก็ขยายอิทธิพลในเขตชายฝั่งทางใต้และภาคตะวันออก ส่วนพวกเคลต์อยู่ทางภาคตะวันตก พวกลูซิเตเนียสามารถสกัดกั้นการขยายอิทธิพลขึ้นไปทางเหนือของพวกโรมันขณะที่มีีวราทุส(Virathus) เป็นผู้นำ ทั้ง ๒ ฝ่ายทำสงครามกันอย่างยืดเยื้อจนในที่สุดฝ่ายโรมันเอาชนะวีราทุสด้วยการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของลูซิเตเนียให้สังหารวีราทุสประมาณ๑๔๐ปีก่อนคริสต์ศักราช หลังจากนั้น กระบวนการยึดครองและการทำให้เป็นโรมัน(Romanization) จึงเริ่มขึ้น จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้เข้าบริหารดินแดนที่เป็นโปรตุเกสต่อมาชั่วระยะหนึ่ง ใน ๒๕ ปีก่อนคริสต์ศักราชจักรพรรดิออกัสตัส(Augustus ๒๗ ปีก่อนคริสต์ศักราช-ค.ศ. ๑๔) ทรงสถาปนาอิเมรีตาออกัสตาหรือเมรีดา(Emerita Augusta หรือ M”rida) เป็นเมืองหลวงของลูซิเตเนียซึ่งอยู่ตอนกลางของโปรตุเกสในปัจจุบัน นับเป็นเวลา ๕๐๐ ปีที่อยู่ใต้การปกครองของพวกโรมันซึ่งสิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๔๑๑ เมื่อพวกอนารยชนเยอรมันเผ่าต่าง ๆ เข้ารุกรานดินแดนของจักรวรรดิโรมัน พวกซู เอวี (Suevi) เข้าสู่บริเวณกาลิเชียตอนใต้และผนวกลูซิเตเนียชั่วระยะหนึ่ง ต่อมาใน ค.ศ. ๕๙๐ พวกวิซิกอท (Visigoth) ได้อำนาจเด็ดขาดจากพวกซู เอวีและเปลี่ยนความเชื่อจากนิกายแอเรียน (Arianism) เป็นโรมันคาทอลิกระหว่าง ค.ศ. ๕๙๐-๗๑๑ ระบอบกษัตริย์ของวิซิกอทก็ครอบคลุมทั่วคาบสมุทรแต่ไม่ได้รับความภักดีจากขุนนางและผู้คนในท้องถิ่นทำให้การรุกรานคาบสมุทรไอบีเรียของมุสลิมซึ่งเริ่มขึ้นใน ค.ศ. ๗๑๑ ในช่วงแรก ๆ ไม่ประสบการต่อต้านนัก
ประมาณ ค.ศ. ๗๕๐ พวกมุสลิมหันไปรวมกันอยู่เป็นจำนวนมากตามเขตเมืองและเขตที่มีการพัฒนาเศรษฐกิจตอนกลางและตอนใต้ของโปรตุเกสโดยไม่สนใจบริเวณตอนเหนือของแม่น้ำมองเดกู (Mondego) นัก ภาคเหนือของโปรตุเกสจึงเป็นดินแดนที่ไม่มีใครครอบครองกว่า ๑ ศตวรรษ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๙ราชอาณาจักรเลอองของพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๓ (Alfonso III) ได้รวมเขตระหว่างลุ่มแม่น้ำมีนยู (Minho) กับลุ่มแม่น้ำโดรู ตอนเหนือของโปรตุเกสเป็นมณฑลปอร์ตุกาเลนเซหรือปอร์ตุกาเล (Portugalense ; Portucale) ซึ่งมีความหมายว่าเมืองท่าที่สวยงาม เพราะมีเมืองสำคัญซึ่งเป็นเมืองโรมันเดิมคือพอร์ตกาเล (PorteCale) ซึ่งอยู่ใกล้เมืองโอปอร์ตู (Oporto) ในปัจจุบัน บริเวณนี้กลายเป็นดินแดนพิพาทระหว่างชาวคริสต์กับชาวมุสลิมอีก ๒ ศตวรรษจนกระทั่งรัฐกาหลิบหรือคอลีฟะห์ของราชวงศ์อุไมยะห์ (Umaiyah) แห่งกอร์โดบา (Córdoba) พ่ายแพ้และเสียดินแดนให้แก่ชาวคริสต์ หลังจากนั้นปอร์ตุกาเลกลายเป็นดินแดนในราชอาณาจักรเลออง มีฐานะเป็นเคาน์ตีหรือมณฑล เมื่อเลอองอ่อนแอ ปอร์ตุกาเลก็เริ่มดิ้นรนที่จะเป็นอิสระ แต่ใน ค.ศ. ๑๐๗๑ ความพยายามดังกล่าวทำให้สูญเสียสิทธิปกครองตนเองของเคานต์แห่งตระกูลวีมาลา เปเรส (Vimala Peres) ซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองวีมาราเมส (Vimarames) ซึ่งตั้งตามชื่อของเขา ปัจจุบันคือเมืองกีมาไรช์ (Guimar๋es)๒๐ ปีต่อมาเคานต์เฮนรีแห่งเบอร์กันดี (Henry of Burgundy) ได้รับแต่งตั้งเป็นเคานต์แห่งโปรตุเกสเพื่อตอบแทนที่ช่วยพระเจ้าอัลฟองโซที่ ๖ (Alfonso VI ค.ศ.๑๐๖๕-๑๑๐๙) แห่งเลอองในการทำสงคราม เฮนรีได้รับมอบหมายให้ขยายพรมแดนลงไปทางใต้จนทำให้มีการสถาปนาอาณาจักรโปรตุเกสระหว่าง ค.ศ. ๑๑๐๙-๑๑๔๓อาฟองโซ เอนรีเก (Afonso Henriques ค.ศ. ๑๑๒๘-๑๑๘๕) บุตรชายของเฮนรีซึ่งได้เป็นเคานต์แห่งโปรตุเกส (Count of Portugal) ได้ใช้คำนำหน้าว่าเป็นกษัตริย์หลังการสู้รบกับพวกมุสลิมใน ค.ศ. ๑๑๓๙ พระเจ้าอัลฟองโซที่ ๗ (Alfonso VII)แห่งเลอองและกาสตีลซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิดก็ทรงยอมรับสิทธิปกครองตนเองของโปรตุเกสใน ค.ศ. ๑๑๔๓ แต่ยินยอมให้ดำรงอิสริยศักดิ์ เป็นกษัตริย์ได้ใน ค.ศ. ๑๑๗๙เมื่อพระเจ้าอาฟองโซ เอนรีเกนำโปรตุเกสอยู่ใต้สันตะปาปา และทรงสัญญาว่าจะส่งเครื่องบรรณาการให้ทุกปี ทรงเป็นกษัตริย์นักรบซึ่งเรื่องราวของพระองค์ปรากฏในนวนิยายรักสมัยกลางหลายเรื่อง ทรงกอบกู้ดินแดนจากพวกมุสลิมโดยการยึดเมืองต่าง ๆ เริ่มจากซานตาเรม (Santar”m) และลิสบอน (Lisbon) ใน ค.ศ. ๑๑๔๗ ทั้งนี้ด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ ฝรั่งเศส รัฐเยอรมัน และเมืองเฟลมิช โปรตุเกสจึงมีดินแดนเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวพรมแดนภาคใต้ขยายไปอยู่ที่แม่น้ำเทกัสหรือเตจู (Tejo)
ในคริสต์ศตวรรษหลังจากสมัยของพระเจ้าอาฟองโซ เอนรีเก โปรตุเกสยังสู้รบกับพวกมุสลิมหรือมัวร์ (Moor)อยู่เป็นระยะ ๆ จนกระทั่ง ค.ศ. ๑๒๔๙ การกอบกู้ดินแดนจากพวกมัวร์ก็ิส้นสุดลงเมื่อสามารถยึดเขตอัลการ์ีว (Algarve) ทางภาคใต้ได้ หลังจากนั้นมีการผสมกลมกลืนระหว่างประชากรเชื้อสายอาหรับทางใต้กับผู้ชนะทางภาคเหนือ มีการย้ายเมืองหลวงจากโกอิมบรา (Coimbra) ไปยังกรุงลิสบอนสมัยพระเจ้าอาฟองโซที่ ๓ (Afonso III) การค้ากับต่างประเทศเริ่มคึกคักหลัง ค.ศ. ๑๒๕๐ เมื่อพวกคริสเตียนสามารถคุมช่องแคบยิบรอลตาร์ (Gibraltar)และบรรดาเมืองต่าง ๆ บนคาบสมุทรอิตาลี และในเขตฟลานเดอร์ก็มีความคึกคักทางเศรษฐกิจขึ้นมาก
ในรัชกาลที่ยาวนานของพระเจ้าเดนิสหรือดีนิส (Denis หรือ Dinisค.ศ. ๑๒๗๙-๑๓๒๕) ซึ่งได้ฉายาว่า “กษัตริย์เกษตรกร” (farmer king) ทรงปรับปรุงวิีธการเกษตรและดำเนินโครงการกู้ืผนดินจากผืนน้ำ รัชสมัยนี้มีการสร้างกองเรือหลวง การจัดตั้งมหาวิทยาลัยโกอิมบราใน ค.ศ. ๑๒๙๐ การใช้ภาษาโปรตุเกสแทนภาษาละติน ทรงเสริมอำนาจของกษัตริย์ขณะที่ลดทรัพย์สินและสิทธิของบาทหลวงและขุนนาง ในด้านการต่างประเทศทรงเป็นพันธมิตรกับราชอาณาจักรกาสตีล-เลอองและทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอิซาเบล (Isabel)แห่งอารากอน ความสงบและความรุ่งเรืองของสมัยพระเจ้าเดนิสเริ่มสลายเมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมทั่วยุโรปจากการระบาดของกาฬโรคหรือความตายสีดำ (Black Death) ตั้งแต่ ค.ศ. ๑๓๔๘ กษัตริย์องค์ต่อ ๆ มาก็ไม่ทรงมีอำนาจ เมื่อพระเจ้าเฟอร์ดินานด์ที่ ๑ (Ferdinand I ค.ศ. ๑๓๖๗-๑๓๘๓) สวรรคตโดยปราศจากรัชทายาทชายก็ทำให้การสืบสายจากเคานต์เฮนรีแห่งเบอร์กันดีสิ้นสุดลง มีแต่เจ้าหญิงเบียทริซ (Beatrice) พระราชธิดาซึ่งสมรสกับพระเจ้าจอห์นที่ ๑ แห่งกาสตีลพระเจ้าจอห์นที่ ๑ ทรงยกทัพเข้ารุกรานโปรตุเกสใน ค.ศ. ๑๓๘๔และสถาปนาพระองค์เป็นกษัตริย์ แต่ชาวโปรตุเกสส่วนใหญ่ไม่พอใจที่จะต้องอยู่ใต้ปกครองของกาสตีล จอห์นแห่งอาวีช (John of Aviz) ซึ่งเป็นโอรสนอกฎหมายของพระเจ้าปี เตอร์ที่ ๑ (Peter I ค.ศ. ๑๓๕๗-๑๓๖๗) ได้นำขุนนางและสามัญชนรบชนะพวกกาสตีลและชาวโปรตุเกสที่เข้าข้างในยุทธการที่อัลจูบาร์โรตา(Aljubarrota) ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๓๘๕ ซึ่งถือกันว่าเป็นยุทธการที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโปรตุเกส จอห์นแห่งอาวีชได้รับชัยชนะทำให้พระองค์ซึ่งต่อมาเป็นพระเจ้าจอห์นที่ ๑ (John I ค.ศ. ๑๓๘๕-๑๔๓๓) ได้ปกครองราชอาณาจักรโปรตุเกสและทำให้ดินแดนอื่น ๆอยากเป็นพันธมิตรด้วย ใน ค.ศ. ๑๓๘๖ โปรตุเกสเป็นพันธมิตรกับอังกฤษโดยการทำสนธิสัญญาวินด์เซอร์ (Treaty of Windsor) และในปีต่อมาพระเจ้าจอห์นที่ ๑ (John I ค.ศ. ๑๓๘๕-๑๔๓๓) ได้อภิเษกสมรสกับฟิลิปปา (Philippa) แห่งราชสกุลแลงคาสเตอร์ (Lancaster) ซึ่งเป็นธิดาของจอห์นแห่งกอนต์ (John of Gaunt) ดุ็กแห่งแลงคาสเตอร์ การเป็นพันธมิตรกับอังกฤษยึนยาวมาจนถึงปัจจุบันนับเป็นการตกลงร่วมมือกันที่เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์
ราชวงศ์อาวีชมีอำนาจเกือบ ๒ศตวรรษ (ค.ศ. ๑๓๘๕-๑๕๘๐) ซึ่งเป็นช่วงที่โปรตุเกสมีอำนาจและอิทธิพลสูงสุด พระเจ้าจอห์นที่ ๑ หลังจากทำสัญญาสันติภาพกับกาสตีลใน ค.ศ. ๑๔๑๑ ก็ขยายอาณาจักรต่อลงไปทางใต้จนครอบครองเมืองเซวตา (Ceuta) ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่รุ่งเรืองของมุสลิมในโมร็อกโกเมื่อค.ศ. ๑๔๑๕ และโปรดให้ดำเนินการออกสำรวจเส้นทางเดินเรือระหว่าง ค.ศ. ๑๔๑๙-๑๔๒๐ จนได้ครอบครองหมู่เกาะมาเดย์รา (Madeira) ซึ่งยังไม่มีผู้คนอาศัยและในค.ศ. ๑๔๒๗ ได้หมู่เกาะอะโซร์ส (Azores) การสำรวจชายฝั่งแอฟริกาในทศวรรษ๑๔๔๐ ซึ่งมีเจ้าชายเฮนรีราชนาวิก (Henry the Navigator)พระราชโอรสองค์ที่ ๓ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สำคัญในการสำรวจทางทะเล ได้ทำให้โปรตุเกสเข้าถึงแหล่งแร่ทองคำและแหล่งค้าทาสซึ่งนำความมั่งคั่งมาสู่โปรตุเกสเป็นอันมาก
ในสมัยพระเจ้าจอห์นที่ ๒ (John II ค.ศ. ๑๔๘๑-๑๔๙๕) นโยบายของโปรตุเกสเปลี่ยนไปเพราะกษัตริย์ไม่ทรงสนพระทัยในโมร็อกโกและบัลลังก์ของกาสตีลทรงมีนโยบายสำรวจทางทะเลโดยมุ่งมั่นให้ถึงอินเดีย แม้ว่าจะสวรรคตก่อนโปรตุเกสทำสำเร็จ แต่พระองค์ก็ได้รับการยกย่องในประเด็นนี้ เพราะก่อน ค.ศ. ๑๔๗๔ ที่ทรงได้รับมอบหมายเรื่องงานสำรวจเส้นทางเดินเรือ เรือของโปรตุเกสแทบจะไม่เคยข้ามเส้นศูนย์สูตรจนกระทั่งรัชกาลนี้ที่นักเดินเรือโปรตุเกสเดินเรือไปถึงคองโกและแอฟริกาใต้ทั้งอ้อมแหลมกู๊ดโฮป (Good Hope) เพื่อไปยังทวีปเอเชีย
หลังจากวาสโกดา กามา (Vasco da Gama ค.ศ. ๑๔๖๐-๑๕๒๔) เดินเรือกลับจากอินเดีย (ค.ศ. ๑๔๙๘-๑๔๙๙) พร้อมด้วยเครื่องเทศก็เป็นการเริ่มต้น ๒ทศวรรษของโปรตุเกสที่จะสร้างความมั่งคั่งจากการติดต่อกับเอเชีย มหาสมุทรอินเดียเปรียบเสมือนทะเลสาบของโปรตุเกสเมื่อฟรานเซสโก เดอัลเมย์ดา (Francescode Almeida) เอาชนะกองเรือมุสลิมใน ค.ศ. ๑๕๐๙ และอาฟองโซ เดอัลบูเกิร์ก(Afonso de Albuquerque)ยึดเมืองท่าตามชายฝั่ง ได้แก่ กัว (Goa ค.ศ. ๑๕๑๐)ในอินเดีย มะละกา (Malacca ค.ศ. ๑๕๑๑) ในคาบสมุทรมลายู และออร์มุซ (Hormuzค.ศ. ๑๕๑๕) ริมอ่าวเปอร์เซีย นอกจากนี้ มีการตั้งค่ายทหารในบราซิลซึ่งเปโดรอัลวาเรซ กาบราล (Pedro Alvares Cabral)พบโดยบังเอิญใน ค.ศ. ๑๕๐๐ ขณะที่มุ่งหน้าจะไปอินเดีย ทำให้กษัตริย์โปรตุเกสมีพระอิสริยยศ King of Portugal andof the Algarves, on this side and overseas in Africa, Lord of Guinea, and ofthe Conquest, Navigation and Commerce of Ethiopia, Arabia, Persia and ofIndia และมีการจัดตั้งอาณานิคมขึ้นที่มาเก๊า (Macau) ใน ค.ศ. ๑๕๕๗ เพื่อค้าขายกับจีน แม้จะครอบครองดินแดนหลายแห่งและอยู่กระจัดกระจายแต่จักรวรรดิโพ้นทะเลของโปรตุเกสรวมแล้วมีเนื้อที่ไม่มาก เพราะไม่ได้มุ่งไปที่เขตคนอยู่หนาแน่นหรือเขตที่มั่งคั่งของเอเชีย การสร้างจักรวรรดิก็เพื่อประโยชน์ทางการค้าซึ่งต้องการครอบครองที่มั่นไม่กี่แห่ง
โปรตุเกสทำสนธิสัญญาตอร์เดซียาส (Tordesillas) กับสเปน ใน ค.ศ. ๑๔๙๔เพื่อประกันว่าการสำรวจและครอบครองดินแดนโพ้นทะเลของโปรตุเกสทางตะวันออกจะไม่ปะทะกับดินแดนสเปน ทางตะวันตก จากสนธิสัญญาดังกล่าวนี้ ได้มีการแบ่งโลกออกเป็น ๒ ส่วนและมีผลให้โปรตุเกสได้ครอบครองบราซิลในทวีปอเมริกาใต้ขณะที่สเปน ได้ครอบครองดินแดนส่วนที่เหลือของทวีป ราชสำนักโปรตุเกสในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ จึงฟุ่มเฟือยหรูหราโดยอาศัยความมั่งคั่งที่หาประโยชน์ได้จากโพ้นทะเลปัญหากับโมร็อกโกและกาสตีลเกิดขึ้นอีกเมื่อพระเจ้าเซบาสเตียน (Sebastianค.ศ. ๑๕๕๗-๑๕๗๘) ทรงขึ้นบริหารประเทศอย่างจริงจัง ใน ค.ศ. ๑๕๖๘ ทรงดำเนินนโยบายขยายอิทธิพลทางเหนือของแอฟริกาจึงเป็นการแสดงความก้าวร้าวต่อโมร็อกโกซึ่งนำไปสู่การสังหารหมู่ที่เอลคาเซเอลเคบีร์ (massacre at el-kaseel-kebir) ใน ค.ศ. ๑๕๗๘ ซึ่งกองทหารฝ่ายโปรตุเกสแพ้อย่างย่อยยับและองค์กษัตริย์เองก็ทรงหายสาบสูญ เข้าใจกันว่าทรงถูกสังหาร เมื่อพระเจ้าเซบาสเตียนไม่ทรงมีรัชทายาท การสืบต่อของราชวงศ์อาวีชจึงสิ้นสุดลง ดังนั้น พระเจ้าฟิลิปที่ ๒ (Philip II ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๕๙๘) แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) สายสเปน จึงทรงอ้างสิทธิในราชบัลลังก์โปรตุเกส เพราะพระราชชนนีเป็นเจ้าหญิงโปรตุเกสทรงใช้พระนามว่าพระเจ้าฟิลิปที่ ๑ (Philip I ค.ศ. ๑๕๘๐-๑๕๙๘) แห่งโปรตุเกสในค.ศ. ๑๕๘๐ ด้วยเหตุนี้ การดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศของโปรตุเกสมา ๔๐๐ ีปจึงสิ้นสุดลงดินแดนในคาบสมุทรไอบีเรียทั้งหมดอยู่ใต้ประมุของค์เดียวกัน
การรวมตัวกับสเปน ทำให้โปรตุเกสต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ ของราชวงศ์ฮับส์บูร์กในยุโรปด้วย ดัตช์กลายเป็นคู่แข่งขันทางการค้าสำคัญของโปรตุเกสและเข้าโจมตีดินแดนโพ้นทะเลของโปรตุเกสจนยึดครองหมู่เกาะอินเดียตะวันออกใน ค.ศ. ๑๖๐๕ มะละกาใน ค.ศ. ๑๖๔๑ เกาะซีลอน (ศรีลังกาในปัจจุบัน)ใน ค.ศ. ๑๖๕๘ และมะละบาร์ (Malabar) ทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอินเดียใน ค.ศ. ๑๖๖๓ดินแดนของโปรตุเกสในทวีปเอเชียจึงเหลือเพียงเมืองกัว มาเก๊า และติมอร์ (Timor) ความขุ่นเคืองใจจากการถูกสเปน ปกครองได้เพิ่มพูนขึ้นจนสมัยของพระเจ้าฟิลิปที่ ๓ (Philip III ค.ศ. ๑๖๒๑-๑๖๔๐) เพราะประมุขของสเปน ไม่ค่อยเสด็จมายังโปรตุเกส และทรงแต่งตั้งชาวสเปน เข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ในโปรตุเกสการทำสงครามของสเปน กับชาติต่าง ๆ ก็ทำให้โปรตุเกสสูญเสียการค้าและยังต้องถูกเรียกเก็บภาษีเพื่อเอาเงินไปใช้ทำสงคราม เมื่อเคานต์-ดุ็กแห่งโอลีบาเรส(Count-Duke of Olivares) อัครเสนาบดีได้พยายามรีดเค้นทรัพยากรต่าง ๆ จากดินแดนภายใต้ราชวงศ์ฮับส์บูร์กและใช้กองทหารโปรตุเกสในการปราบปรามกระแสความไม่พอใจ การพ่ายแพ้ของสเปน ในสงครามสามสิบปี (Thirty Yearsû War)กลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย กอปรทั้งการลุกฮือของชาวคาตาลัน (Catalan) ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๖๔๐ ก็ก่อแรงบันดาลใจให้ชาวโปรตุเกสเคลื่อนไหวในเดือนธันวาคมต่อมาโดยมีดุ็กแห่งบรากันซา (Duke of Bragan“a) เป็นผู้นำซึ่งประสบความสำเร็จและขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าจอห์นที่ ๔ (John IV ค.ศ. ๑๖๔๐-๑๖๕๖)แต่หลังจากที่เป็นอิสระจากสเปน ผู้นำของโปรตุเกสต่อ ๆ มาไม่มีบารมีมากพอที่จะทำให้โปรตุเกสอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ โปรตุเกสจึงผูกสัมพันธ์กับอังกฤษเพื่อป้องกันตนจากสเปน และดัตช์ การที่ต้องทำสงครามหลายครั้งและการสูญเสียอิทธิพลทางการค้าในเอเชียทำให้มีผลกระทบต่อสถานะเศรษฐกิจของประเทศหลังได้เอกราชไปอีก๒ ชั่วอายุคนก่อนจะมีการพบทองคำ (ค.ศ. ๑๖๙๐) และเพชร (ค.ศ. ๑๗๒๐) ในบราซิลการผูกสัมพันธ์กับอังกฤษทำให้มีการทำสนธิสัญญาเมทวน (Methuen Treaty) ในค.ศ. ๑๗๐๓ ซึ่งทำให้เหล้าองุ่นโปรตุเกสเข้าสู่ตลาดอังกฤษได้อย่างเสรี ทั้งนี้เป็นการแลกเปลี่ยนกับการยอมให้อังกฤษส่งผ้าและสินค้าอุตสาหกรรมอื่น ๆ เข้าไปแข่งขันกับสินค้าท้องถิ่น
เมื่อจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ปกครองฝรั่งเศส ทรงมีพระประสงค์จะปิดเมืองท่าต่าง ๆ บนภาคพื้นทวีปไม่ให้เรืออังกฤษเข้าจอดดังนั้น จึงต้องการโจมตีโปรตุเกสซึ่งเป็นพันธมิตรของอังกฤษ กำลังทหารของพระองค์เอาชนะโปรตุเกสได้ง่ายดายโดยบุกจากที่มั่นของฝรั่งเศส ในสเปน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๐๗ ด้วยเหตุนี้ พระราชวงศ์ของโปรตุเกสจึงเสด็จโดยเรือที่จอดรอในแม่น้ำเทกัสและมีเรืออังกฤษคุ้มกันหนีไปประทับที่บราซิลทำให้ราชสำนักโปรตุเกสย้ายไปอยู่ที่กรุงริโอเดจาเนโร (Rio de Janeiro) เป็นเวลา ๑๔ ปีต่อมา บราซิลก็ประกาศเอกราชในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๘๒๒ และปกครองโดยพระเจ้าเปโดรที่ ๔ (Pedro IV) ของโปรตุเกสหรือจักรพรรดิเปโดรที่ ๑ (Pedro I)แห่งบราซิล เมื่อสเปน ตัดสินใจสู้กับฝรั่งเศส ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๘๐๘ ก็เกิดการก่อกบฏขึ้นในโปรตุเกสซึ่งเปิดทางให้ดุ็กแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington)นำทหารอังกฤษเข้าไป เวลลิงตันต้องใช้เวลา ๓ ปีในการขับไล่ฝรั่งเศส ผู้รุกรานออกไปสำเร็จ ภายหลังสงครามโปรตุเกสก็ยังไม่มีเสถียรภาพนักเพราะพระเจ้าเปโดรที่ ๔ ทรงสละบัลลังก์โปรตุเกสให้แก่มาเรียดา กลอเรีย (Maria da Gloria)พระราชธิดาวัย ๗ ปี ต่อมาทรงถูกดอม มีเกล (Dom Miguel)พระอนุชาของพระเจ้าเปโดรที่ ๔ ซึ่งมีนโยบายอำนาจนิยมยึดอำนาจใน ค.ศ. ๑๘๒๘ สงครามกลางเมืองได้เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ. ๑๘๓๒-๑๘๓๔ และสิ้นสุดลงด้วยการที่พระเจ้ามีเกลเสด็จลี้ภัยเจ้าหญิงมาเรีย ดา กลอเรียขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ ๒(Maria II ค.ศ. ๑๘๓๔-๑๘๕๓)ด้วยพระชันษา ๑๕ ปี ทรงเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายเสรีนิยมซึ่งต่อต้านการมีอำนาจเด็ดขาด แต่ในสมัยของพระนางจนกระทั่งสิ้นรัชกาลใน ค.ศ. ๑๘๕๓ บางครั้งก็ทรงเอนเอียงไปทางกลุ่มที่เคยสนับสนุนพระเจ้ามีเกลแต่นายพลโจเอา การ์ลูช เด ซาลดันยา (João Carlos de Saldanha) ซึ่งต่อมาเป็นดุ็กแห่งซาลดันยา (Duke of Saldanha)อัครเสนาบดีสามารถคุมสถานการณ์ได้
ใน ค.ศ. ๑๘๙๐ ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งสำคัญขึ้นซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การสิ้นสุดอำนาจของสถาบันกษัตริย์ใน ค.ศ. ๑๙๑๐ ทั้งนี้เนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจซึ่งรุนแรงขึ้นหลังจากที่โปรตุเกสต้องสูญเสียประโยชน์ที่เคยได้รับจากการมีอาณานิคม บราซิลเป็นเอกราชไปแล้วในทศวรรษ ๑๘๒๐ การเลิกค้าทาสก็ทำให้สูญเสียแหล่งรายได้จากโพ้นทะเล แองโกลาและโมซัมบิกที่คงมีในแอฟริกาก็ไม่ใช่ขุมทรัพย์ทางเศรษฐกิจและหลายทศวรรษที่ผ่านมาก็ทำให้โปรตุเกสต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงเพราะต้องคอยระวังไม่ให้อังกฤษและเยอรมนี ยึดครอง เหตุการณ์เริ่มขึ้นเมื่ออังกฤษยื่นคำขาดให้โปรตุเกสเรียกคณะสำรวจดินแดนของเซร์ปา ปินโต(Serpa Pinto) ซึ่งพยายามเชื่อมต่อแองโกลาและโมซัมบิกไปยังอีกฝั่งของทวีปตามโครงการทำแผนที่สีกุหลาบ (Rose-Colored Map) กลับออกไปและให้โปรตุเกสถอนทหารออกจากภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกาที่ปั จจุบันคือมาลาวี(Malawi) และซิมบับเว (Zimbabwe) ความไร้พลังของโปรตุเกสที่ต้องยินยอมทำให้ภาพลักษณ์ของกษัตริย์องค์ใหม่คือพระเจ้าการ์ลูชหรือคาร์ลอส (Carlos ค.ศ.๑๘๘๙-๑๙๐๘) ตกต่ำ ขณะเดียวกันก็มีผู้นิยมระบอบสาธารณรัฐเพิ่มขึ้น แม้การก่อจลาจลของฝ่ายสาธารณรัฐที่เมืองโอปอร์โตในปี ต่อมาถูกปราบปรามลง แต่สถาบันกษัตริย์ก็ยังคงตกต่ำในสายตาของคนทั่วไปเพราะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในค.ศ. ๑๘๙๒ และมีการดำเนินการนอกรัฐธรรมนูญโดยที่พระเจ้าคาร์ลอสทรงอนุญาตท่ามกลางความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาล ฝ่ายกองทัพก็มีท่าทีไม่พอใจ ผู้ใช้แรงงานก็ก่อการประท้วงมากขึ้นในเมืองต่าง ๆ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นเร็วก็เป็นแรงกดดันทางสังคมอีกประการ
ใน ค.ศ. ๑๙๐๖ พระเจ้าคาร์ลอสทรงพยายามหยุดยั้งความเสื่อมโทรมทางการเมืองโดยพระราชทานอำนาจกึ่งเผด็จการแก่อัครเสนาบดีโจเอา ฟรังโก (JoaoFranco) ด้วยเหตุนี้ ฝ่ายค้านจึงรวมตัวกันและนำไปสู่การลอบปลงพระชนม์ในค.ศ. ๑๙๐๘พระเจ้ามานูเอลที่ ๒ (Manuel II ค.ศ. ๑๙๐๘-๑๙๑๐) โอรสในพระเจ้าคาร์ลอสซึ่งมีพระชันษา ๑๘ ปีและสืบราชบัลลังก์ต่อมา ได้ทรงปลดฟรังโกและนำประเทศคืนสู่การปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ แต่ประชาชนสูญความนิยมในสถาบันกษัตริย์ไปมากแล้ว ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๐ ผลการเลือกตั้งในกรุงลิสบอนและเมืองโอปอร์โตชี้ให้เห็นว่าเสียงส่วนใหญ่ตกอยู่แก่พวกสาธารณรัฐนิยมต่อมาในเดือนตุลาคม ทหารก็ก่อการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์และสถาปนาระบอบสาธารณรัฐขึ้น พระเจ้ามานูเอลที่ ๒ เสด็จลงเรือยอช์ตไปยังเมืองยิบรอลตาร์และเสด็จไปประทับที่อังกฤษจนสวรรคตใน ค.ศ. ๑๙๓๒
ในระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๒๖ ซึ่งเป็นช่วงที่ เกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑(ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘)ด้วยนั้น สาธารณรัฐโปรตุเกสไม่มีเสถียรภาพนักดังเห็นได้จากการมีรัฐบาลถึง ๔๘ ชุด ประธานาธิบดีรวม ๗ คน มีความพยายามก่อรัฐประหาร๒๕ ครั้งและการลอบสังหารด้วยเหตุผลทางการเมืองหลายหน ก่อน ค.ศ. ๑๙๑๖ก็มีฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ก่อจลาจลและผู้ใช้แรงงานก็ก่อความไม่สงบ ในระหว่างสงครามโลก แม้โปรตุเกสจะวางตนเป็นกลางแต่ก็ต้องถูกดึงเข้าสู่กระแสการเมืองโลกในที่ สุดซึ่งก่อผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ราคาข้าวในตลาดโลกสูงขึ้ นมากซึ่งไม่เป็นการดีต่อประเทศที่นำเข้าข้าวสาลีและเมื่อนายกรัฐมนตรีอาฟองโซ กอสตา(Afonso Costa) ผู้นำกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุดตัดสินใจเข้าข้างอังกฤษใน ค.ศ. ๑๙๑๖เศรษฐกิจก็ยิ่งอยู่ในภาวะล่อแหลมขึ้น ทหารได้ประท้วงโดยมีพันตรี ซีโดนีโอ ปาอีส(Sidonio Pais) เป็นผู้นำ ในการขับไล่กอสตาและประธานาธิบดีเบร์นาร์ดีโน มาอาโด(Bernardino Mahado) ออกจากตำแหน่ง และจัดตั้งระบอบกึ่งเผด็จการขึ้ นในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ปาอีสได้รับความนิยมจากประชาชนแต่ไม่เป็นที่พอใจของบรรดากลุ่มการเมือง หลังจากอยู่ในอำนาจเพียง ๑ ปี เขาก็ถูกลอบสังหาร
ภายหลังสงครามโลกโปรตุเกสก็ต้องเผชิญกับปัญหาการฟื้นฟูประเทศเฉกเช่นประเทศอื่น ๆ การปฏิวัติเดือนตุลาคม (October Revolution) ค.ศ. ๑๙๑๗ในรัสเซีย ก็สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้ใช้แรงงานในประเทศ ค่าของเงินเอสกูโด(escudo) ตกต่ำมากใน ค.ศ. ๑๙๑๙ เงินโปรตุเกส ๗.๕๔ เอสกูโดมีค่าเท่ากับ ๑ปอนด์สเตอร์ลิง ครั้นใน ค.ศ. ๑๙๒๔ มีค่าลดลงมากถึง ๑๒๗.๔๐ เอสกูโดต่อ ๑ ปอนด์พวกนิยมระบอบกษัตริย์ได้คิดก่อการขึ้นอีก และกลุ่มทหารก็ต้องการทดสอบกำลังดังนั้นการเมืองภายในประเทศจึงอยู่ในภาวะคลอนแคลนมาตั้งแต่เดือนมกราคมค.ศ. ๑๙๑๙ จนถึงคืนนองเลือด (bloody night) ในวันที่ ๑๙ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๒๑เมื่อนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก ๔ คนถูกสังหาร
ในช่วง ๔ ปี สุดท้ายของสมัยสาธารณรัฐ สถานการณ์พอจะดีขึ้นบ้าง ความวุ่นวายจากผู้ใช้แรงงานลดลง เศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๔ แต่กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ชิงดีชิงเด่นกัน และเมื่อเบนีโต มุสโสลีนี (Benito Mussolini)ประสบความสำเร็จในการสถาปนาระบอบอำนาจนิยมในอิตาลี และปรีโม เด รีเบรา(Primo de Rivera) ในสเปน ก็กระตุ้นให้พวกโปรตุเกสที่อยากยุติระบบรัฐสภาฮึกเหิม ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๒๖ กองทัพก็ทำรัฐประหารซึ่งนำไปสู่ระบอบเผด็จการทหารที่มีนายพลอันโตนีโอ การ์โมนา (António Carmona) เป็นผู้นำอย่างไรก็ดี ระบอบเผด็จการของโปรตุเกสไม่ประสบความสำเร็จทันทีเหมือนกับในอิตาลี หรือในสเปน มีการลุกฮือของฝูงชนที่กรุงลิสบอนและที่เมืองโอปอร์โตในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๒๗ ทั้งเกิดการก่อกบฏของกลุ่มต่อต้านทหารหลายครั้งแม้จะไม่สำเร็จจนกระทั่งเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๓ เศรษฐกิจจึงอยู่ในภาวะปั่นป่วนจนถึงขั้นวิกฤติทำให้มีการเชิญอันโตนีโอ เด โอลีเวียรา ซาลาซาร์ (António deOliveira Salazar) ปัญญาชนคาทอลิกซึ่งเป็นอาจารย์สอนวิชาเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแห่งมหาวิทยาลัยโกอิมบรา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๙๒๘ เขามีบทบาทสำคัญในรัฐบาลมากขึ้นจนกระทั่งขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. ๑๙๓๒ ซาลาซาร์นำโปรตุเกสเข้าสู่ระบอบเผด็จการโดยที่ประธานาธิบดีการ์โมนาและฝ่ายทหารมีบทบาทเพียงเล็กน้อย ในช่วงนี้การเลือกตั้งครั้งต่าง ๆ ก็ดำเนินไปอย่างพอเป็นพิธีสภาก็ไม่มีอำนาจพรรคฝ่ายค้านก็เป็นเสมือนเงาของรัฐบาล ภายนอกจึงดู เหมือนว่าโปรตุเกสเป็นสาธารณรัฐ แต่มีแนวการปกครองที่คลุมเครือซึ่งเรียกกันต่อมาว่ารัฐใหม่ (New State; Estado Novo) ซึ่งเน้นความรวมใจรักชาติและการพัฒนาอาณานิคมในทวีปแอฟริกา มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ใน ค.ศ. ๑๙๓๓ จึงเกิดระบบการปกครองโดยพลเรือนบนพื้นฐานแบบรัฐทหาร เป็นระบอบเผด็จการที่ซ่อนอยู่ในรูปการปกครองที่มีการเลือกตั้งเป็นลักษณะระบอบฟาสซิสต์ที่ใช้การข่มขู่ให้กลัว มีการใช้หน่วยตำรวจลับที่เรียกว่าปิเด (PIDE) มีการปราบปรามแรงงานในประเทศและการกดขี่ชาวผิวดำในอาณานิคมแอฟริกา
รัฐใหม่ดำเนินไปได้เพราะบุคลิกของซาลาซาร์ที่พูดจานุ่มนวล มารยาทเรียบร้อย มีความถ่อมตนแต่สง่างาม ซึ่งทำให้ได้รับความนิยมทั้งในและนอกประเทศแม้เขาจะไม่ได้มีความริเริ่มสำคัญใด ๆ เพราะเป้าหมายทางเศรษฐกิจของเขาคือการสร้างเสถียรภาพมากกว่าการเจริญเติบโต นโยบายต่างประเทศก็ไม่มีความแปลกใหม่ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ โปรตุเกสเป็นอีกประเทศหนึ่งนอกจากสวิตเซอร์แลนด์ที่ดำเนินนโยบายเป็นกลางอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ดี รัฐใหม่ประสบความสำเร็จเพียงแต่ทำให้การเงินและการเมืองมีเสถียรภาพขึ้น อัตราความไม่รู้หนังสือในโปรตุเกสยังสูง สถานะเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับประเทศในยุโรปอื่นก็ยังไม่กระเตื้องขึ้น
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในครึ่งหลังของทศวรรษ ๑๙๕๐ เพราะเกิดการขยายตัวของระบอบทุนนิยมไปทั่วโลกซึ่งเริ่มขึ้นประมาณ ค.ศ. ๑๙๕๕ มีการกระตุ้นการพัฒนาเมืองและการทำให้เป็นอุตสาหกรรมในโปรตุเกส ขณะที่มีการอพยพของชาวโปรตุเกสจำนวนมากไปสู่เขตตอนเหนือของยุโรปซึ่งต้องการแรงงาน (ระหว่างค.ศ. ๑๙๖๐-๑๙๗๐) ชาวโปรตุเกสกว่า ๑ ล้านคนอพยพออกไปยังประเทศยุโรปต่าง ๆ ขณะที่ในอดีตบราซิลเคยเป็นที่หมายสำคัญ ในอาณานิคมแองโกลาก็คึกคักขึ้นเพราะมีการพบแหล่งน้ำมันและแร่ธาตุ อย่างไรก็ดี ระบอบเผด็จการของซาลาซาร์ไม่อาจดำเนินต่อไปเมื่อเกิดสงครามปลดปล่อยตนเอง (wars ofliberation) ในแอฟริกาส่วนที่เป็นของโปรตุเกสใน ค.ศ. ๑๙๖๑ โปรตุเกสปราบปรามและตอบโต้อย่างรุนแรงและทารุณ ใน ค.ศ. ๑๙๖๘ ซาลาซาร์ล้มป่วยด้วยอาการอัมพาตจนทำงานต่อไปไม่ได้และเสียชีวิต ๒ ปีต่อมา การที่ซาลาซาร์ปกครองประเทศเป็นเวลา ๓๖ ปี (ค.ศ. ๑๙๓๒-๑๙๖๘) โดยอาศัยทหารและตำรวจลับทำให้ผู้ที่รับตำแหน่งต่อจากเขาดำเนินการปฏิรูปประเทศไม่ได้โดยง่าย
ใน ค.ศ. ๑๙๗๓ กลุ่มทหารสายกลางหัวรุนแรงได้จัดตั้งขบวนการลับขึ้นชื่อว่าขบวนการเหล่าทัพหรือเอ็มเอฟเอ (Armed Forces Movement - MFA) ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๗๔ นายพลอันโตนีโอ สปีโนลา (António Spinola) ต้องการเปลี่ยนนโยบายที่มีต่ออาณานิคม ขบวนการเหล่าทัพจึงทำรัฐประหารในวันที่ ๒๕เมษายน ค.ศ. ๑๙๗๔ ซึ่งประชาชนให้การสนับสนุน การปกครองระบอบซาลาซาร์ก็สิ้นสุดลงภายในเวลาเพียง ๑๖ ชั่วโมงอำนาจเปลี่ยนไปอยู่ที่เอ็มเอฟเอและสปีโนลารัฐประหารครั้งนี้มีชื่อเรียกว่าการปฏิวัติดอกคาร์เนชัน (Carnation Revolution)เพราะเกิดขึ้นในช่วงที่มีดอกคาร์เนชันสีแดงตามร้านดอกไม้ทั่วไป ถือเป็นรัฐประหารโดยทหารฝ่ายซ้ายอย่างไม่มีการเสียเลือดเนื้อ ช่วงที่ซาลาซาร์บริหารประเทศพรรคการเมืองต่าง ๆ หมดบทบาททั้งสิ้น ภายหลังการรัฐประหารจึงมีทั้งกลุ่มทหารฝ่ายต่าง ๆ กลุ่มการเมือง และพลังมวลชนต่าง ๆ ปรากฏขึ้นมากมาย แต่เอ็มเอฟเอได้อำนาจและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์ มีการโอนกิจการหลายอย่างเป็นของรัฐและจัดวางระบบสวัสดิการสังคม ใน ค.ศ. ๑๙๗๕ มีการเลือกตั้งโดยเสรีครั้งแรกนับตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๒๖ และให้เอกราชแก่อาณานิคมต่าง ๆ ในแอฟริกา ใน ค.ศ. ๑๙๗๖ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งยังคงใช้มาจนทุกวันนี้ (มีการแก้ไขใน ค.ศ. ๑๙๘๒ ค.ศ. ๑๙๘๙ และ ค.ศ. ๑๙๙๒)โดยมีประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจบริหาร ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงและมีวาระ ๕ ปีอยู่ในตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๒ วาระ มีสภาเดียวซึ่งประกอบด้วยสมาชิก ๒๓๐ คนจาก ๒๒ เขตเลือกตั้งซึ่งมีขนาดไม่เท่ากันและที่หมู่เกาะมาเดย์ราและหมู่เกาะอะโซร์สซึ่งเป็นดินแดนในมหาสมุทรแอตแลนติกส่งผู้แทนได้แห่งละ ๑ คน พรรคการเมืองสำคัญทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่นคือพรรคสังคมนิยม (Socialist Party หรือ PS) ซึ่งคล้ายคลึงกับพรรคแรงงาน(Labour Party) ของอังกฤษและพรรคสังคมประชาธิปไตย (Social DemocraticParty - PSD) ทั้ง ๒ พรรคต่างก็สนับสนุนนโยบายยุโรปนิยมและเน้นระบบเศรษฐกิจแบบการตลาด ตั้งแต่ ค.ศ. ๒๐๐๕ โจเซ โซกราตีส คาร์วัลยู ปินโต เดโซซา (Jos” Sócrates Carvalho Pinto de Sousa) จากพรรคสังคมนิยมได้เป็นนายกรัฐมนตรีโดยพรรคนี้ได้เสียงข้างมากด้วยคะแนน ๑๒๑ เสียง
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศนั้น โปรตุเกสมีความสัมพันธ์ที่ยึนยาวกับอังกฤษมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๓๗๓ ทั้ง ๒ ประเทศเคยร่วมมือในการขับไล่กษัตริย์สเปน ในสมัยสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) และโปรตุเกสช่วยให้อังกฤษไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวจากระบบภาคพื้นทวีป (ContinentalSystem) การเป็นพันธมิตรดำรงเรื่อยมาจนมาร่วมกันเป็น ๒ ใน ๑๒ ประเทศที่ก่อตั้งองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic TreatyOrganization - NATO) โปรตุเกสเป็น ๑ ใน ๘ ประเทศยุโรปที่ร่วมในการลงนามซึ่งมีอังกฤษเป็นแกนหลักสนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกาในอิรักในต้นค.ศ. ๒๐๐๓ และอนุญาตให้สหรัฐอเมริกาใช้ฐานทัพอากาศที่หมู่เกาะอะโซร์สในกรณีทำสงคราม ต่อมาโปรตุเกสยังเป็นเจ้าภาพประชุมสุดยอดฉุกเฉินเรื่องอิรักระหว่างผู้นำสหรัฐอเมริกา สเปน และอังกฤษที่หมู่เกาะอะโซร์สซึ่งประกาศการใช้กำลังต่ออิรักไม่ว่าสหประชาชาติ (United Nations) จะลงมติเห็นชอบหรือไม่ นอกจากโปรตุเกสจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของประชาคมยุโรป (Eurepean Community)หรือสหภาพยุโรป (European Union) ในปัจจุบันตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๘๖ แล้ว โปรตุเกสยังจัดตั้งประชาคมประเทศที่พูดภาษาโปรตุเกสซึ่งเป็นอดีตอาณานิคมเก่าของตนเรียกว่าประชาคมแห่งประเทศภาษาโปรตุเกสหรือซีพีแอลพี (Comunidade dosPaíses de Lingua Portuguesa - CPLP)อันได้แก่ โปรตุเกส แองโกลา (Angola)โมซัมบิก (Mozambique) และกินี-บิสเซา (Guinea-Bissau) ทั้งนี้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ต่อกันอีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับเคปแวร์เด (Cape Verde) และติมอร์ตะวันออก ส่วนกับบราซิลนั้นโปรตุเกสนอกจากจะคงรักษามิตรภาพระหว่างกันแล้วยังมีการทำความตกลงให้ประชากรของทั้ง ๒ ประเทศถือ ๒ สัญชาติได้ด้วยนอกจากนี้ รัฐบาลปัจจุบันยังถือว่าความสัมพันธ์อันดีกับสเปน เป็นเรื่องสำคัญส่วนกับจีนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีเพราะโปรตุเกสเคยครอบครองมาเก๊ามาก่อนมอบคืนให้ีจนในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๙ เช่นเดียวกับโมร็อกโกซึ่งโปรตุเกสเคยมีดินแดนในครอบครอง โปรตุเกสก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตเก่าแก่มานับเป็นศตวรรษส่วนองค์การสหประชาชาตินั้น โปรตุเกสได้เข้าเป็นสมาชิกใน ค.ศ ๑๙๕๕ และได้เข้าร่วมภารกิจรักษาความสงบด้วยทั้งในติมอร์ตะวันออก บอสเนีย และคอซอวอ(Kosovo)
ส่วนด้านเศรษฐกิจ นับแต่ ค.ศ. ๑๙๘๕ โปรตุเกสได้ปฏิรูปเศรษฐกิจให้ทันสมัย รัฐบาลชุดต่าง ๆ ได้โอนกิจการสำคัญ ๆ ของรัฐบาลหลายอย่างให้เอกชนไปดำเนินการ รวมทั้งภาคการเงินและการโทรคมนาคม นอกจากนี้ ได้มุ่งพัฒนาเศรษฐกิจไปสู่ภาคบริการมากขึ้น อุตสาหกรรมที่สำคัญของโปรตุเกสคือ สิ่งทอ หนัง รองเท้าเครื่องเรือน เซรามิกและไม้คอร์ก (cork) ซึ่งโปรตุเกสผลิตออกมูลค่ากว่าครึ่งหนึ่งของโลก ผลผลิตด้านเกษตรก็ยังคงมีความสำคัญอยู่โดยเฉพาะเหล้าองุ่นและน้ำมันมะกอกซึ่งมีชื่อเสียงด้านคุณภาพ โปรตุเกสเป็นประเทศปลูกองุ่นมาแต่ดั้งเดิมและส่งออกเหล้าองุ่นมานานนับแต่อดีตกาล อย่างไรก็ดี โปรตุเกสซึ่งค้าขายกับประเทศในสหภาพยุโรปเป็นหลักก็ยังคงเสียเปรียบดุลการค้าอยู่ ปัจจุบันจึงได้พยายามพัฒนาด้านการท่องเที่ยวโดยเน้นเชิงวัฒนธรรมและวิถีแห่งท้องถิ่นมากขึ้น.