ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์เป็น ๑ ใน ๓ ประเทศของกลุ่มประเทศแผ่นดินต่ำ(Low Countries) หรือกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ (Benelux) ซึ่งประกอบด้วย เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) เนเธอร์แลนด์มีชื่อที่รู้จักกันดีอีกชื่อว่าฮอลแลนด์ (Holland) ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า “haltland” (ฮอลต์แลนด์)หมายถึงแผ่นดินป่า (woodland) เนเธอร์แลนด์ก่อตั้งเป็นประเทศในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ หลังจากที่ ๗ มณฑลทางตอนเหนือของ “ดินแดนเนเธอร์แลนด์”แยกตัวออกจากการปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) สายสเปน และเรียกชื่อประเทศว่าสหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์ (United Provinces of theNetherlands) ส่วน ๑๐ มณฑลทางตอนใต้หรือราชอาณาจักรเบลเยียม ในปัจจุบันที่เคยรวมตัวด้วยกันยังคงอยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์กต่อไปอีกกว่า๒ศตวรรษ ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์ได้เจริญสูงสุดและถือเป็นยุคทอง เนเธอร์แลนด์เป็นศูนย์กลางของความเจริญอีกแห่งของยุโรปทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และศิลปวัฒนธรรม อีกทั้งอำนาจและอิทธิพลของเนเธอร์แลนด์ยังขยายไปยังโพ้นทะเล ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) แห่งจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ ๑ (First Empire ofFrance) ทรงจัดตั้งเนเธอร์แลนด์เป็นราชอาณาจักรและโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุชาเสด็จไปปกครอง แต่ใน ค.ศ. ๑๘๑๐ เนเธอร์แลนด์ก็ถูกยุบและรวมเข้ากับฝรั่งเศส หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ปราชัย ที่ประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress ofVienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕) ได้ยกฐานะของเนเธอร์แลนด์ขึ้นเป็นสหราชอาณาจักรโดยรวมเบลเยียม เข้าไปด้วยเพื่อให้เป็นรัฐกันชนมิให้ฝรั่งเศส ขยายตัวไปทางตอนเหนือและตะวันตก ต่อมา เบลเยียม ได้ก่อกบฏและสถาปนาเอกราชได้สำเร็จในค.ศ. ๑๘๓๐ ระหว่างการปฏิวัติค.ศ. ๑๘๔๘ (Revolutions of 1848) เนเธอร์แลนด์ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญและเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองการปกครองในแนวทางของประชาธิปไตย รวมทั้งการปฏิรูประบบการบริหารอาณานิคมในปลายศตวรรษด้วย ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ และสงครามโลกครั้งที่ ๒เนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินนโยบายเป็นกลาง แต่ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ ถูกกองทัพเยอรมันเข้ารุกรานและยึดครองประเทศ หลังสงครามเนเธอร์แลนด์ได้รวมตัวทางเศรษฐกิจกับประเทศแผ่นดินต่ำอื่น ๆ จัดตั้งสหภาพเศรษฐกิจเบเนลักซ์ (BeneluxEconomic Union) ซึ่งต่อมาได้เข้าไปมีบทบาทสำคัญ ๆ ในการก่อตั้งและเป็นสมาชิกเริ่มแรกขององค์การว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปหรืออีีอีซี(European Economic Community - EEC) หรือตลาดร่วมยุโรป (Common Market) ที่ขยายขอบเขตความร่วมมือและพัฒนาเป็นสหภาพยุโรป หรืออียู (European Union - EU) ในปัจจุบัน
เนเธอร์แลนด์เป็นดินแดนที่มีประชากรอาศัยอยู่ตั้งแต่ยุคน้ำแข็งสุดท้ายหรือเมื่อประมาณหลายแสนปีที่แล้ว เมื่อจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ขยายอำนาจเข้าครอบครองดินแดนเนเธอร์แลนด์ในศตวรรษที่ ๑ ก่อนคริสต์ศักราชซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เนเธอร์แลนด์นั้น เนเธอร์แลนด์เป็นดินแดนที่มั่งคั่งดังปรากฏหลักฐานที่ “หลุมพระศพกษัตริย์ในออสส์”(Kingûs Grave in Oss)ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๕๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราชโดยมีขนาดปากหลุมกว้างถึง๕๐ เมตรและภายในบรรจุิส่งของมีค่าต่าง ๆ เช่น พระแสงดาบทำด้วยเหล็กเดินลายด้วยทองคำและปะการัง นอกจากนี้ ดินแดนเนเธอร์แลนด์ยังเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าเยอรมันเผ่าต่าง ๆ อาทิพวกทูบันที (Tubanti) แคนนิเนเฟต(Canninefate) ฟรีเซีย (Frisian) และบาตาเวีย (Batavian) ซึ่งชนเผ่าหลังสุดนี้ถือกันว่าเป็นบรรพบุรุษที่แท้จริงของชาวดัตช์ในปัจจุบัน
หลังจากจักรวรรดิโรมันสามารถพิชิตดินแดนแผ่นดินตำแล่ ้ว ก็เริ่มสร้าง“เมือง” ต่าง ๆ ขึ้นซึ่งถือว่าเป็นเมืองแห่งแรก ๆ ของเนเธอร์แลนด์ ได้แก่ เมืองยูเทรกต์ (Utrecht) เมืองเนเมเกน (Nijmegen) และเมืองมาสตริกต์ (Maastrict)ทางตอนใต้ของแม่น้ำไรน์ (Rhine) ส่วนดินแดนทางตอนเหนือที่อยู่นอกเขตของจักรวรรดิเป็นที่อาศัยของพวกฟรีเซียซึ่งยังคงพำนักและสืบเชื้อสายต่อกันมาจนถึงปัจจุบันอย่างไรก็ดีพวกฟรีเซียก็รับความเจริญต่าง ๆ จากชาวโรมันด้วยโดยเฉพาะตัวอักษรดินแดนเนเธอร์แลนด์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันเป็นเวลากว่า ๒๕๐ ปีในช่วงระยะเวลาดังกล่าวพ่อค้าโรมันสามารถเดินทางเข้ามาค้าขายได้อย่างอิสระโดยนำสินค้าจากเมืองต่าง ๆ ในอิตาลี และแคว้นกอล (Gaul) เข้ามาจำหน่าย ชาวโรมันยังได้สร้างศาสนสถาน ทำไร่ขนาดใหญ่และนำความเจริญต่าง ๆ มาสู่เนเธอร์แลนด์
ประมาณ ค.ศ. ๓๐๐ อำนาจและอิทธิพลของโรมันในเนเธอร์แลนด์ก็เริ่มถดถอยลง เนื่องจากถูกอนารยชนเยอรมันเผ่าอื่น ๆ จากตะวันออกเข้ารุกราน ได้แก่พวกแซกซันเข้าครอบครองดินแดนทางตะวันออกและพวกแฟรงก์ทางตะวันตกและตอนใต้ ส่วนพวกฟรีเซียสามารถยืนหยัดรักษาดินแดนทางตอนเหนือไว้ได้ อย่างไรก็ดีในบรรดาผู้รุกรานทั้งหมดอนารยชนเผ่าแฟรงก์เป็นพวกที่มีอำนาจที่สุด หลังจากจักรวรรดิโรมันด้านตะวันตกล่มสลายใน ค.ศ. ๔๗๖ และยุโรปได้เข้าสู่สมัยกลาง(Middle Ages) พวกแฟรงก์ก็สามารถตั้งอาณาจักรของตนเองได้ ใน ค.ศ. ๔๙๖พระเจ้าคลอวีสที่ ๑ (Clovis I) กษัตริย์ของชนเผ่าแฟรงก์ทรงหันมานับถือคริสต์ศาสนาขณะที่ชนเผ่าอื่น ๆ ในดินแดนเนเธอร์แลนด์ยังคงเป็นพวกนอกศาสนาต่อมาพวกแฟรงก์ก็สามารถบีบบังคับพวกแซกซันและพวกฟรีเซียซึ่งตกอยู่ใต้อำนาจของตนให้ยอมรับคริสต์ศาสนา ใน ค.ศ. ๘๐๐ ในรัชสมัยของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ(Charlemagne) ดินแดนของเนเธอร์แลนด์ทั้งหมดซึ่งในขณะนั้นมีเบลเยียม (Belgium) รวมอยู่ด้วยก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิคาโรลินเจียน (CarolingianEmpire) ของพวกแฟรงก์ อย่างไรก็ดี เมื่อจักรวรรดิต้องแตกแยกลงในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๙ จากการลงนามในสนธิสัญญาแวร์เดิง (Tresty of Verdunค.ศ. ๘๔๓) ที่แบ่งดินแดนของจักรวรรดิให้แก่บรรดาพระราชนัดดาทั้ง ๓พระองค์ของจักรพรรดิชาร์เลอมาญครอบครอง เนเธอร์แลนด์ได้ถูกรวมเข้ากับดัชชีลอร์แรน(Duchy of Lorrain) หรือโลทารินเจีย (Lotharingia) ต่อมาใน ค.ศ. ๙๒๕ ก็ถูกรวมเข้ากับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire)
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๙-๑๐ ชนเผ่าไวกิ้ง (Viking) จากคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย (Scandinavia) ได้เข้ารุกรานและปล้มสะดมดินแดนตามชายฝั่งทะเลและสองฝั่งแม่น้ำสายสำคัญ ๆ ของยุโรป การรุกรานดังกล่าวทำให้ชนชั้นขุนนางซึ่งทำหน้าที่ปกครองท้องถิ่นสามารถขยายอำนาจและสร้างระบบการป้องกันที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพ ผลในทางอ้อมที่ได้รับคือการขยายตัวของเมืองและการเติบโตของกลุ่มพ่อค้าและช่างฝีมือที่เข้ามาอาศัยในเมืองและต้องการความคุ้มครองการพัฒนาและการขยายตัวของชุมชนเมืองในลักษณะดังกล่าวนี้ นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของเนเธอร์แลนด์ที่ดำเนินติดต่อกันตลอดระยะเวลาในสมัยกลาง โดยเฉพาะในระหว่างและหลังสงครามครู เสด (Crusadesค.ศ. ๑๐๙๖-๑๒๙๑) ที่มีการเปิ ดตลาดการค้าระหว่างยุโรปตะวันตกกับดินแดนตะวันออกใกล้ การขยายตัวของการค้าทำให้พ่อค้าที่มั่งคั่งกลายเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจและอิทธิพลของเมือง ในที่สุดกลุ่มพ่อค้าดังกล่าวก็สามารถลิดรอนอำนาจและอภิสิทธิ์ ของชนชั้นขุนนางที่ปกครองเมืองต่าง ๆ ได้ โดยได้รับสิทธิในการปกครองเมืองในรูปของกฎบัตร (charter) และอำนาจในการออกกฎหมายในที่สุดเมืองที่รำรวยและเป่็นศูนย์กลางของการค้าต่าง ๆ ก็มีลักษณะการปกครองแบบกึ่งสาธารณรัฐอิสระ (quasi-independent republics) โดยมีเมืองบรุกเกอ(Brugge) และต่อมาเมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) เป็นเมืองและท่าเรือที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของยุโรป
ขณะที่เนเธอร์แลนด์รวมตัวอย่างหลวม ๆ ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ นั้นดินแดนต่าง ๆ ก็ถูกแบ่งแยกและตกอยู่ในอำนาจปกครองของเคานต์แห่งฮอลแลนด์(Count of Holland)ดุ็กแห่งเกลร์ (Duke of Gelre)ดุ็กแห่งบราบันต์ (Duke ofBrabant) และบิชอปแห่งยูเทรกต์ (Bishop of Utrecht) ส่วนดินแดนทางตอนเหนือคือ ฟรีสแลนด์ (Friesland) และโกรนิงเงิน (Groningen) สามารถรักษาอิสรภาพได้และปกครองโดยขุนนางผู้น้อยหรือขุนนางท้องถิ่นที่มีฐานะเป็น “หัวหน้า”(head-man) ของชุมชน
ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ผลจากการอภิเษกสมรสระหว่างลูกหลานเจ้าราชรัฐและความผกผันทางการเมืองต่าง ๆ ทำให้ดินแดนต่าง ๆ ที่รวมตัวกันเป็นราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน คือ แคว้นฮอลแลนด์ ยู เทรกต์บราบันต์ และเกลเดอร์แลนด์ รวมทั้งราชอาณาจักรเบลเยียม ค่อย ๆ ตกเป็นของดุ็กแห่งเบอร์กันดี (Duke of Burgundy) ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ (Charles V ค.ศ. ๑๕๑๙-๑๕๕๖)แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และกษัตริย์แห่งสเปน (ค.ศ. ๑๕๑๖-๑๕๕๖)แห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (Habsburg) พระนัดดา (หลานตา) ในชาร์ล ดุ็กแห่งเบอร์กันดีก็ทรงสืบทอดดินแดนต่าง ๆ เหล่านี้ รวมทั้งดินแดนของพวกฟรีเซีย และพระองค์ก็ทรงรวมดินแดนต่าง ๆ เหล่านี้เข้าเป็นรัฐเดียวกัน ต่อมาก่อนที่พระองค์จะทรงสละราชสมบัติเพียง ๗-๘ ปี จักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ทรงประกาศพระราชกฤษฎีกาค.ศ. ๑๕๔๙ (Pragmatic Sanction of 1549) กำหนดให้มณฑลทั้ง ๑๗ แห่งของเนเธอร์แลนด์มีฐานะเป็นรัฐเอกเทศจากหน่วยการปกครองของทั้งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และราชอาณาจักรฝรั่งเศส ที่ได้อำนาจปกครองดินแดนส่วนใหญ่ของดัชชีเบอร์กันดีก่อนหน้านั้น โดยให้รวมเนเธอร์แลนด์เข้ากับสเปน อย่างเป็นทางการและห้ามการแบ่งแยกดินแดนเนเธอร์แลนด์ทั้ง ๑๗ มณฑลอย่างเด็ดขาด แม้ว่าพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าวจะไม่ได้ปลดปล่อยเนเธอร์แลนด์ให้เป็นอิสระ แต่ให้อำนาจเนเธอร์แลนด์ในการปกครองตนเองได้ในระดับหนึ่ง
เมื่อพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ (Philip II ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๕๙๖) พระราชโอรสในจักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ หรืออีกพระอิสริยยศคือพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ แห่งสเปน ทรงได้สืบทอดพระราชมรดกของราชวงศ์ฮับส์บูร์กสายสเปน พระองค์ซึ่งไม่มีพระทัยผูกพันกับดินแดนแผ่นดินต่ำ [ผิดกับจักรพรรดิชาลส์ที่ ๕ ที่ประสูติที่เมืองเกนต์(Ghent) และทรงเติบโตในดินแดนเนเธอร์แลนด์] จึงพยายามเข้าไปลิดรอนสิทธิทางการเมืองของประชาชน รวมทั้งเสรีภาพในการนับถือศาสนาซึ่งในขณะนั้นชาวดัตช์จำนวนมากได้หันไปนับถือคริสต์ศาสนานิกายกัลแวง (Calvinism) ที่แพร่หลายอันเนื่องจากการปฏิรูปศาสนา (Reformation) ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖พระเจ้าฟิลิปที่ ๒ ทรงดำเนินนโยบายอย่างเข้มงวดกับเนเธอร์แลนด์โดยเรียกเก็บภาษีในอัตราสูง และส่งดุ็กแห่งอัลบา (Duke of Alva) ไปปกครองเนเธอร์แลนด์อย่างกดขี่ ชาวดัตช์จำนวนมากที่ต่อต้านสเปน หรือไม่ยอมกลับใจมานับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกถูกสังหารอย่างทรมาน ดังนั้น ประชาชนจึงได้ลุกฮือขึ้นต่อต้านจนเกิดเป็นกบฏและสงครามกลางเมืองที่เริ่มต้นขึ้นใน ค.ศ. ๑๕๖๗ และยึดเยื้อเป็นเวลาหลายปี ทั้งนี้ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ (ElizabethI ค.ศ. ๑๕๕๘-๑๖๐๓) แห่งอังกฤษให้การสนับสนุน ใน ค.ศ. ๑๕๗๙ มณฑล ๗ แห่งทางตอนเหนือซึ่งประชากรนับถือคริสต์ศาสนานิกายกัลแวงได้รวมตัวกันเป็นสหภาพแห่งยูเทรกต์ (Union of Utrecht) และประกาศอิสรภาพในอีก ๒ ปี ต่อมาโดยมีชื่อเรียกว่า สหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์ มีระบอบปกครองแบบสาธารณรัฐท่ามกลางนานาประเทศที่ปกครองในระบอบกษัตริย์ และมีเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ (William of Orange) เป็น “ประมุขรัฐ”(Stadholder) ทายาทและผู้สืบเชื้อสายของเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์ก็ได้รับสิทธิการสืบทอดตำแหน่งพระประมุขต่อมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนมณฑล ๑๐ แห่งทางตอนใต้คือดินแดนของราชอาณาจักรเบลเยียม ในปัจจุบันที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกก็ไม่ยอมรวมตัวด้วย และคงอยู่ใต้ปกครองราชวงศ์ฮับส์บูร์กต่อไปโดยมีชื่อเรียกว่า “เนเธอร์แลนด์ของสเปน ” (The Spanish Netherlands) ต่อมาระหว่าง ค.ศ. ๑๗๑๓-๑๗๘๙ ปกครองโดยราชวงศ์ฮับส์บูร์กสายออสเตรีย มีชื่อเรียกว่า “เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย ”(The Austrian Netherlands)
อย่างไรก็ดี แม้ว่าสหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์จะประกาศเอกราชและกลายเป็นคู่แข่งขันสำคัญกับสเปน ในการค้าทางตะวันออกใน “ยุคแห่งการค้นพบและการสำรวจ”(The Age of Discovery and Exploration) แต่สเปน ก็ไม่ยอมรับการแยกตัวของสหมณฑลจนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ หลังจากสงคราม ๓๐ ปี(Thirty Yearsû War ค.ศ. ๑๖๑๘-๑๖๔๘) สิ้นสุดลงพระเจ้าฟิลิปที่ ๔ (Philip IVค.ศ. ๑๖๒๑-๑๖๖๕) จึงทรงยินยอมทำสนธิสัญญาสงบศึกแห่งเวสต์ฟาเลีย(Peace Treaty of Westphalia วันที่ ๓๐ มกราคม ค.ศ. ๑๖๔๘) รับรองเอกราชของเนเธอร์แลนด์และยกดินแดนบางส่วนของเนเธอร์แลนด์ของสเปน ให้แก่เนเธอร์แลนด์ด้วย ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ ยังถือว่าเป็น “ยุคทอง”ของเนเธอร์แลนด์ที่เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วและการค้าได้ขยายตัวไปทั่วโลก ชาวประมงดัตช์ได้เล่นเรือไปล่าปลาวาฬถึงหมู่เกาะสฟาลบาร์ (Svalbard)ในมหาสมุทรอาร์กติก และบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Dutch East IndiaCompany) ก็เดินทางไปติดต่อค้าขายและซื้อเครื่องเทศที่อินเดียและหมู่เกาะเครื่องเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ปัจจุบันคือสาธารณรัฐอินโดนีเซีย) ในต้นค.ศ. ๑๖๐๖ บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ยังส่งวิลเลมยานซ์ (Willem Jansz)คุมเรือเดิฟเกน (Dyfken) จากเกาะบันดา (Banda) เพื่อค้นหาเกาะทองคำที่เชื่อกันว่าอยู่ทางทิศใต้และทิศตะวันออกของเกาะชวาตามคำเล่าลือของพวกฮินดู ในที่สุดก็ได้ค้นพบดินแดนออสเตรเลียทางตอนเหนือและยานซ์กับลูกเรือได้ชื่อว่าเป็นชาวผิวขาวกลุ่มแรกที่ได้เห็นออสเตรเลีย จึงทำให้เนเธอร์แลนด์เป็นชาติแรกที่ได้ค้นพบออสเตรเลีย ต่อมาชาวดัตช์ได้เรียกดินแดนที่ตนค้นพบนี้ว่า “นิวฮอลแลนด์”(New Holland) เป็นเวลาเกือบ ๒๐๐ ปีก่อนที่อังกฤษจะเข้ายึดครองในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ นอกจากนี้ ยังมีการเริ่มจัดตั้งอาณานิคมในบราซิล เมืองนิวอัมสเตอร์ดัม [New Amsterdam ปัจจุบันคือนครนิวยอร์ก (New York)]ดินแดนแอฟริกาตอนใต้และเวสต์อินดีส (West Indies) อีกด้วย เนเธอร์แลนด์กลายเป็นดินแดนที่มั่งคั่งและศูนย์กลางของศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญอีกแห่งของยุโรป ศิลปินที่มีชื่อเสียงของยุคนี้ ได้แก่ เรมบรันต์ ฮาร์เมนซ์ ฟาน ริเจน (Rambrandt Harmenszvan Rijn ค.ศ. ๑๖๐๖-๑๖๖๙) และยาน เวอร์เมร์ ฟาน ฮาร์เลม (Gan Vermeer vanHaarlem ค.ศ. ๑๖๓๒-๑๖๗๕) ส่วนกรุงอัมสเตอร์ดัมก็เป็นศูนย์กลางของการเงินของภาคพื้นทวีปยุโรปด้วย
ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ สหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์ต้องประสบกับปัญหาและความขัดแย้งทั้งภายในและภายนอกประเทศ ใน ค.ศ. ๑๖๕๐เมื่อประมุขรัฐเจ้าชายวิลเลียมที่ ๒ (William II ค.ศ. ๑๖๒๖-๑๖๕๐) สิ้นพระชนม์ลงได้เกิดการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างข้าหลวงประจำมณฑลต่าง ๆ กับราชวงศ์ออร์เรนจ์โดยที่ชาวดัตช์ส่วนใหญ่ให้การสนับสนุนราชวงศ์ออร์เรนจ์ให้ดำรงตำแหน่งประมุขรัฐต่อไป ความขัดแย้งดังกล่าวนี้จึงทำให้ตำแหน่งประมุขรัฐต้องว่างลงเป็นเวลา๒๒ ปี ซึ่งสร้างความอ่อนแอและบั่นทอนเสถียรภาพของเนเธอร์แลนด์เป็นอันมากส่วนปัญหาภายนอก เนเธอร์แลนด์ต้องเผชิญกับนโยบายการขยายตัวทางการค้าทางทะเลของอังกฤษซึ่งในขณะนั้นได้เกิดการปฏิวัติทางการเมืองและปกครองในระบอบสาธารณรัฐโดยมีทอมัส ครอมเวลล์ (Thomas Cromwell ค.ศ. ๑๖๔๙-๑๖๕๘)เป็นผู้นำ พระราชบัญญัติการเดินเรือ (Navigation Act) ค.ศ. ๑๖๕๑ ที่กีดกันเรือสินค้าต่างชาติและบังคับให้ต่างชาติต้องใช้เรือสัญชาติอังกฤษในการค้าขายกับอังกฤษทำให้เนเธอร์แลนด์ต้องสูญเสียผลประโยชน์ในทางการค้าเป็นอันมาก ซึ่งส่งผลกระทบให้เนเธอร์แลนด์เข้าสู่สงครามกับอังกฤษที่เคยเป็นพันธมิตรกันในอดีตในสงครามอังกฤษ-ดัตช์ (Anglo-Dutch War) ครั้งที่ ๑ ระหว่าง ค.ศ. ๑๖๕๒-๑๖๕๔ต่อมาภายหลังการฟื้นฟูการปกครองระบอบกษัตริย์ (Restoration) ค.ศ. ๑๖๖๐ในอังกฤษ เนเธอร์แลนด์ก็ทำสงครามกับอังกฤษอีก ๒ ครั้ง ในระหว่าง ค.ศ. ๑๖๖๕-๑๖๖๗ และระหว่าง ค.ศ. ๑๖๗๒-๑๖๗๔ ซึ่งในครั้งที่ ๓ นี้ ฝรั่งเศส ได้เข้าร่วมกับฝ่ายอังกฤษด้วย สงครามได้สร้างความหายนะให้แก่กองทัพเรือดัตช์เป็นอันมาก อีกทั้งเนเธอร์แลนด์ยังสูญเสียเมืองนิวอัมสเตอร์ดัมที่เป็นสถานีการค้าที่สำคัญในทวีปอเมริกาเหนือให้แก่อังกฤษอีกด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างเนเธอร์แลนด์กับอังกฤษแนบแน่นขึ้นเมื่อประมุขรัฐเจ้าชายวิลเลียมที่ ๓ (William III ค.ศ. ๑๖๗๒-๑๗๐๒) ในฐานะผู้สืบเชื้อสายของราชวงศ์สจวต (Stuart) แห่งอังกฤษ ทรงเป็นพระราชนัดดา (หลานตา) ในพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ (Charles I ค.ศ. ๑๖๒๕-๑๖๔๙) และผู้นำของการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์(Glorious Revolution ค.ศ. ๑๖๘๘) ที่ขับพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ (James II ค.ศ. ๑๖๘๕-๑๖๘๘) ออกจากบัลลังก์ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติอังกฤษร่วมกับเจ้าหญิงแมรี(Mary)พระชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ด้วย ดังนั้นระหว่าง ค.ศ. ๑๖๘๘-๑๗๐๒ ซึ่งเป็นปีที่ประมุขรัฐเจ้าชายวิลเลียมที่ ๓ หรือพระอิสริยยศพระเจ้าวิลเลียมที่ ๓ (William III ค.ศ. ๑๖๘๙-๑๗๐๒) แห่งอังกฤษสิ้นพระชนม์นั้น สหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์กับราชอาณาจักรอังกฤษจึงมีพระประมุขร่วมกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวนี้ยังทำให้เนเธอร์แลนด์เข้าร่วมรบเป็นฝ่ายอังกฤษในสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน (War of the Spanish Successionค.ศ. ๑๗๐๑-๑๗๑๓) กับฝรั่งเศส ซึ่งทำให้เนเธอร์แลนด์กลายเป็นสมรภูมิที่ได้รับความเสียหายอย่างมหันต์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม จนไม่สามารถที่จะแข่งขันอำนาจกับมหาอำนาจยุโรปอื่น ๆ ได้อีกต่อไป
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ สหมณฑลแห่งเนเธอร์แลนด์ได้ประสบปัญหาภายในและแตกแยกทางความคิดระหว่างพวกที่นิยมราชวงศ์ออเรนจ์ (Orangists)กับพวกรักชาติ (Patriots) โดยฝ่ายแรกต้องการจะเพิ่มพระราชอำนาจให้แก่ประมุขรัฐ ขณะที่ฝ่ายหลังซึ่งได้รับอิทธิพลจากการปฏิวัติของชาวอเมริกัน(American Revolution ค.ศ. ๑๗๗๖) ต้องการให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์มีรูปแบบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น นอกจากนี้ เนเธอร์แลนด์ยังต้องประสบภัยสงครามกับอังกฤษเป็นครั้งที่ ๔ ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๘๐-๑๗๘๔ เมื่อเนเธอร์แลนด์ให้การสนับสนุนการประกาศอิสรภาพของชาวอเมริกันและเป็นชาติแรกที่รับรองเอกราชและแสดงความเคารพธงชาติของสหรัฐอเมริกา สงครามสิ้นสุดลงด้วยความปราชัยอย่างยับเยินของเนเธอร์แลนด์และสร้างความหายนะแก่เศรษฐกิจอย่างมาก ต่อมาพวกรักชาติได้ก่อกบฏขึ้นใน ค.ศ. ๑๗๘๕ แต่ถูกรัฐบาลและฝ่ายที่นิยมราชวงศ์ออเรนจ์ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากปรัสเซีย ที่มีราชวงศ์โฮเฮนซอลเลิร์น(Hohenzollern) เกี่ยวดองเป็นพระญาติส่งทหารมาช่วยปราบปราม พวกก่อการกบฏจำนวนมากได้หลบหนีีล้ภัยไปอาศัยในฝรั่งเศส ส่วนภายในประเทศกองกำลังปรัสเซีย จำนวนหนึ่งก็ยึดบ้านของชาวเมืองเป็นที่อยู่อาศัยและปล้นชิงทรัพย์สินพวกนิยมราชวงศ์ออเรนจ์ยังใช้มาตรการรุนแรงกับฝ่ายตรงกันข้ามจนไม่มีใครกล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะโดยปราศจากสัญลักษณ์ผ้าหรือโบจีบเป็นวงกลม (cockade)สีส้ม ซึ่งเป็นสีสัญลักษณ์ของราชวงศ์ติดบนหมวกเพราะอาจถูกรุมประชาทัณฑ์ได้
อย่างไรก็ดี พวกนิยมราชวงศ์ออเรนจ์มีอำนาจปกครองต่อมาอีกไม่นานเพราะการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๗๘๙ (French Revolution of 1789) ได้มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นให้พวกรักชาติต่อต้านรัฐบาลมากขึ้น ใน ค.ศ. ๑๗๙๕ เมื่อนายพลนโปเลียน โบนาปาร์ต (Napoleon Bonaparte) ยกกองทัพเข้ารุกรานเนเธอร์แลนด์จึงไม่ได้รับการต่อต้านจากชาวดัตช์มากนัก ประมุขรัฐเจ้าชายวิลเลียมที่ ๕ เสด็จลี้ภัยไปยังอังกฤษพวกรักชาติจึงประกาศจัดตั้ง “สาธารณรัฐบาตาเวีย”(Batavian Republic) ขึ้นโดยมีสาธารณรัฐฝรั่งเศส เป็นแม่แบบ อย่างไรก็ดีสาธารณรัฐบาตาเวียก็มีอายุสั้นอีกทั้งยังตกอยู่ใต้อิทธิพลและมีสภาพเป็นรัฐบริวารของฝรั่งเศส ใน ค.ศ. ๑๘๐๖ หลังจากการตั้งจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ ๑ (First Empireof France) นายพลนโปเลียน โบนาปาร์ตซึ่งได้รับสถาปนาเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ (ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ได้ใช้พระราชอำนาจยุบสาธารณรัฐบาตาเวีย แล้วสถาปนาเป็นราชอาณาจักรฮอลแลนด์ (Kingdom of Holland) และโปรดเกล้าฯให้หลุยส์ โบนาปาร์ต (Louis Bonaparte ค.ศ. ๑๗๗๘-๑๘๔๖)พระอนุชาไปครองราชบัลลังก์ ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๘๑๐ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงรวมราชอาณาจักรฮอลแลนด์เข้ากับจักรวรรดิฝรั่งเศส ที่ ๑ เนื่องจากทรงเห็นว่าพระอนุชาพยายามรักษาผลประโยชน์ของเนเธอร์แลนด์มากเกินไป
ใน ค.ศ. ๑๘๐๓ ขณะที่เนเธอร์แลนด์ยังดำรงสถานภาพสาธารณรัฐบาตาเวียอยู่นั้น อังกฤษได้ประกาศสงครามกับฝรั่งเศส หลังจากฝรั่งเศส ปฏิเสธที่จะถอนกองกำลังจากดินแดนเนเธอร์แลนด์ และราชวงศ์ออเรนจ์ได้ลงนามในสนธิสัญญากับอังกฤษยินยอมยกอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ในดินแดนต่าง ๆ ให้แก่อังกฤษเพื่อ “ความปลอดภัย”และมีคำสั่งให้ข้าหลวงของอาณานิคมจำนนต่อทหารอังกฤษด้วย สนธิสัญญาดังกล่าวนี้นับเป็นจุดจบของจักรวรรดิอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์เพราะต่อมาเนเธอร์แลนด์ต้องสูญเสียอาณานิคมสำคัญไปอย่างถาวร เช่น เคปโคโลนี(Cape Colony) กายอานา (Guyana) ซีลอน (Ceylon) หรือศรีลังกาให้แก่อังกฤษยกเว้นอินโดนีเซียซึ่งได้รับคืนใน ค.ศ. ๑๘๑๔
หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ทรงพ่ายแพ้แก่ประเทศสัมพันธมิตรในสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars) ที่ประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress ofVienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕) ได้ฟื้นฟูประเทศเนเธอร์แลนด์ขึ้นมาใหม่หลังจากถูกลบหายไปจากแผนที่ยุโรปเป็นเวลาเกือบ ๕ ปี โดยให้รวมดินแดนแผ่นดินตำท่ ั้งหมดคือเนเธอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ของออสเตรีย หรือเบลเยียม และลักเซมเบิร์ก (Luxembourg) เข้าด้วยกันและสถาปนาเป็น “สหราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์”(United Kingdom of the Netherlands) เพื่อเป็นปราการในการสกัดกั้นการขยายอำนาจของฝรั่งเศส ในอนาคตตามหลักการปิ ดล้อม (Principle ofContainment) ของที่ประชุม ทั้งนี้ โดยอัญเชิญเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์พระโอรสในอดีตประมุขรัฐเจ้าชายวิลเลียมที่ ๕ ให้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติเฉลิมพระอิสริยยศพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ (William I ค.ศ. ๑๘๑๕-๑๘๔๐)
อย่างไรก็ดี การรวมตัวของกลุ่มดินแดนแผ่นดินตำด่ ังกล่าวก็มิได้เป็นไปอย่างราบรื่น มณฑลทางตอนใต้หรือเบลเยียม ที่ประชาชนพูดภาษาฝรั่งเศส และนับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกแม้จะเคยรวมตัวกับดินแดนเนเธอร์แลนด์ในอดีต แต่ในขณะนั้นก็มีความแตกต่างกับชาวดัตช์ทั้งในด้านภาษา วัฒนธรรม นโยบายเศรษฐกิจและอื่น ๆ ดังนั้นเมื่อเกิดการปฏิวัติเดือนกรกฎาคม (July Revolution)ในฝรั่งเศส ค.ศ. ๑๘๓๐ ชาวเบลเยียม จึงเห็นเป็นโอกาสก่อกบฏเพื่อแยกตัวเป็นอิสระจากเนเธอร์แลนด์และต่อมาใน ค.ศ. ๑๘๓๑ ก็สถาปนาเป็นราชอาณาจักรเบลเยียม พระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ ทรงส่งกองทัพเข้าไปปราบปรามแต่ต้องถอยทัพเมื่อฝรั่งเศส เรียกระดมพล แต่เนเธอร์แลนด์ก็ไม่ยอมรับรองเอกราชของเบลเยียม จนถึงค.ศ. ๑๘๓๙ ส่วนลักเซมเบิร์ก ซึ่งมีสถานภาพเป็นแกรนด์ดัชชี (grand duchy)และมีกษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์เป็นประมุขก็แยกตัวออกจากความสัมพันธ์กับราชวงศ์ออเรนจ์ใน ค.ศ. ๑๘๙๐ เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมีนา (Wilhelminaค.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๔๘) เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เพราะกฎหมายของลักเซมเบิร์ก ในขณะนั้นไม่ให้สิทธิราชนารีในการสืบสันตติวงศ์
ระหว่างการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๘๔๘ (The Revolutions of 1848) ในยุโรปเนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จในการปฏิรูปการปกครอง โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ ๒(William II ค.ศ. ๑๘๔๐-๑๘๔๙) โปรดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นและประกาศใช้เมื่อวันที่ ๓พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๘๔๘ รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๘๔๘ ซึ่งถือเป็นรากฐานของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน กำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาล่าง (First Chamber) แทนระบบการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ ส่วนสมาชิกสภาสูง (Second Chamber) ให้เลือกจากผู้ที่จ่ายภาษีเกินกว่าจำนวนที่กำหนด ให้สิทธิเสมอภาคแก่มณฑลที่ประชากรนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเท่ากับมณฑลอื่น ๆ ยกเลิกกฎข้อห้ามทางศาสนาต่าง ๆ ที่ละเมิดสิทธิของประชาชนและอื่น ๆ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ก็มีการขยายสิทธิการเลือกตั้งให้แก่ประชาชนมากขึ้น รวมทั้งการปฏิรูปทางสังคมต่าง ๆผลจากการปรับปรุงและการปฏิรูปกฎหมายและสังคมดังกล่าว จึงทำให้พรรคกรรมกรในเนเธอร์แลนด์เติบโตและมีการขยายตัวขององค์กรแรงงานต่าง ๆ จนพัฒนาเป็นสหภาพแรงงานในที่สุด
ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ซึ่งเป็นยุคที่จักรวรรดินิยม (Imperialism)ขยายตัว เนเธอร์แลนด์ก็สามารถขยายเขตปกครองในอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันก็จัดให้มีการปฏิรูประบบการบริหารอาณานิคมยกเลิกการเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม และหลังจาก ค.ศ. ๑๘๗๗ ก็ยุติการส่งเงินคงคลังไปยังเนเธอร์แลนด์ อย่างไรก็ดีเนเธอร์แลนด์ก็ต้องเผชิญกับการต่อต้านของคนพื้นเมือง กล่าวคือต้องทำสงครามยึดเยื้อกับอาเจะห์ (Aceh) และการปราบกบฏในเกาะลอมบอก (Lombok) ในค.ศ. ๑๘๙๔
ส่วนในบทบาทด้านการต่างประเทศนั้น เนเธอร์แลนด์ก็จัดให้มีการประชุมกรุงเฮก (Hague Conferences) ๒ ครั้ง คือ ใน ค.ศ. ๑๘๙๙ และ ค.ศ. ๑๙๐๗ ซึ่งเป็นการประชุมนานาชาติเพื่อระงับความขัดแย้งระหว่างนานาประเทศมหาอำนาจยุโรปไม่ให้บานปลายเป็นสงครามใหญ่ โดยมีผู้แทนของมหาอำนาจยุโรปและสหรัฐอเมริกาเข้าประชุมด้วย และมีซาร์นิโคลัสที่ ๒ (Nicholas II ค.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๑๗) แห่งรัสเซีย เสด็จมาเป็นประธานในการประชุมครั้งที่ ๒ แม้ผลของการประชุมจะล้มเหลวและไม่สามารถป้องกันการเกิดของสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้แต่ก็ช่วยส่งเสริมบทบาทของเนเธอร์แลนด์ในฐานะประเทศที่รักสันติภาพ นอกจากนี้แนวคิดของการประชุมกรุงเฮกทั้ง ๒ ครั้งก็เป็นการปูพื้นฐานเรื่องการสร้างสันติภาพและการป้องกันสงครามระหว่างชาติอันนำไปสู่การจัดตั้งองค์การสันนิบาตชาติ(League of Nations) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลงด้วย
ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ในขณะที่สถานการณ์ระหว่างประเทศกำลังตึงเครียดอยู่นั้น เนเธอร์แลนด์ได้เรียกระดมพล แต่เมื่อเกิดสงครามเนเธอร์แลนด์ได้ดำเนินนโยบายเป็นกลาง อย่างไรก็ดี แม้จะไม่ถูกกองทัพต่างชาติเข้ายำย่ ีแต่ประเทศก็ได้รับผลกระทบจากสงครามอย่างมากเนื่องจากถูกห้อมล้อมไปด้วยภัยของสงคราม เบลเยียม ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านถูกละเมิด “ความเป็นกลางอย่างถาวร” (permanent neutrality) ที่มหาอำนาจยุโรปเคยให้การค้ำประกันมาตั้งแต่ค.ศ. ๑๘๓๙ และเป็นที่ตั้งกองบัญชาการของฝ่ายเยอรมนี ส่วนทะเลเหนือก็อยู่ในเส้นทางลาดตระเวนของเรืออู (U-boat) ของฝ่ายเยอรมนี ในการทำยุทธนาวีมหาสมุทรแอตแลนติก (Battle of the Atlantic) เพื่อทำลายเรือขนส่งเสบียงสินค้าและยุทธปัจจัยที่จะส่งไปยังเกาะอังกฤษ เนเธอร์แลนด์จึงไม่สามารถส่งสินค้าออกได้ซึ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศตกอยู่ในภาวะเสื่อมถอย อีกทั้งประชาชนยังต้องเผชิญกับการขาดแคลนเครื่องอุปโภคและเครื่องบริโภค จนต้องมีการใช้คูปองในการแบ่งปันอาหาร ความอดอยากทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งลุกฮือเข้าแย่งชิงอาหารที่กำลังนำส่งให้แก่กองทัพ เกิดเป็นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “การลุกฮือมันฝรั่ง”(Potato Rebellion) ในกรุงอัมสเตอร์ดัมใน ค.ศ. ๑๙๑๗ ต่อมา ปี เตอร์ เยลเลส ทรูลสตรา(Pieter Jelles Troelstra) ผู้นำพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตย (SocialDemocratic Labour Party - SDAP) เห็นเป็นโอกาสที่จะปลุกระดมให้กรรมกรก่อการปฏิวัติสังคมนิยม แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ภายหลังสงคราม ชาวดัตช์เพศชายที่บรรลุนิติภาวะทุกคนได้รับสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง ส่วนผู้หญิงได้รับสิทธิดังกล่าวใน ค.ศ. ๑๙๒๒
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๙๓๙ เนเธอร์แลนด์ประกาศตนเป็นกลางอีกครั้ง แต่ในวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ กองทัพเยอรมันก็เข้ารุกรานเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม และสามารถยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศได้สมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมีนาเสด็จลี้ภัยไปประทับยังอังกฤษในวันที่ ๑๓พฤษภาคมในวันรุ่งขึ้นกองทัพอากาศเยอรมันก็โจมตีเมืองรอตเทอร์ดาม (Rotterdam) ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ ๒ ของเนเธอร์แลนด์ มีผู้เสียชีวิตกว่า ๘๐๐ คน บ้านเมืองเสียหายอย่างยับเยินและมีผู้ไร้ที่อยู่อาศัยถึง ๗๘,๐๐๐ คน การต่อต้านกองทัพเยอรมันจึงสิ้นสุดลงโดยปริยายอย่างไรก็ดีเนเธอร์แลนด์ก็มิได้ประกาศยอมแพ้ต่อเยอรมนี มีการจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้นในกรุงลอนดอนเพื่อต่อต้านเยอรมนี และสั่งการบริหารอาณานิคมโพ้นทะเล
ในวันที่ ๘ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๑ รัฐบาลพลัดถิ่นได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศพันธมิตรของเยอรมนี หลังจากกองทัพญี่ปุ่นได้เข้ารุกรานอีสต์อินดีส (East Indies) ของเนเธอร์แลนด์ และอีก ๒ สัปดาห์ต่อมาก็ประกาศสงครามกับอิตาลี ซึ่งมีผลย้อนหลังถึงวันที่ ๑๑ ธันวาคม ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๒รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังได้ส่งมอบเรือพาณิชย์และเรือรบจำนวนมากที่สามารถหลบหนีออกจากอีสต์อินดีสไปยังชายฝั่งออสเตรเลีย ขณะที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาะชวาได้ในวันที่ ๘ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๔๒ ให้อยู่ในบังคับบัญชาของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษเพื่อใช้ประโยชน์ในสงครามอีกด้วย
ส่วนภายในประเทศระหว่างที่ถูกเยอรมันเข้ายึดครองซึ่งมีอาร์เทอร์ซีส์-อิงกวาร์ต (Arthur Seyss-Inquart) เป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล ชาวดัตช์ผู้รักชาติก็พยายามต่อสู้เพื่อปกป้องมาตุภูมิต่อไป มีการทำลายเขื่อนเพื่อปล่อยให้น้ำท่วมทำลายเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งและเอาชนะกองทัพเยอรมันได้ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๔๒ ชาวดัตช์จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ คนถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงานเยี่ยงทาสในโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในเยอรมนี ต่อมา ในปลายปีเดียวกันนั้น ชาวดัตช์จำนวน ๒,๒๐๐ คนต้องเสียชีวิตลงจากการถูกโทษประหารหรือล้มตายอย่างน่าอนาถในค่ายกักกัน (Concentration Camp) และทัณฑสถานส่วนชาวดัตช์เชื้อสายยิวซึ่งมีจำนวน ๑๔๐,๐๐๐ คนในเนเธอร์แลนด์ในช่วงต้นของสงครามก็ถูกจับกุม ประหารชีวิต และส่งเข้าค่ายกักกันเพื่อใช้แรงงาน เมื่อสงครามสิ้นสุดลง มีชาวดัตช์เชื้อสายยิวจำนวน ๒๐,๐๐๐ คนเท่านั้นที่รอดชีวิต แอนน์ แฟรงก์(Anne Frank ค.ศ. ๑๙๒๙-๑๙๔๕) เด็กสาวชาวยิวเจ้าของสมุดบันทึกที่เธอเขียนเล่าประสบการณ์การหลบซ่อนเพื่อหนีภัยจากการกวาดล้างชาวยิวของนาซีเยอรมันในห้องใต้หลังคาในกรุงอัมสเตอร์ดัมระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๒-๑๙๔๔ ซึ่งต่อมาได้รับการตีพิมพ์และแปลเป็นภาษาต่าง ๆ และมีผู้นิยมอ่านจำนวนนับล้าน ๆ คนในภายหลังก็เป็นเหยื่อคนหนึ่งของนโยบายการทำลายล้างเผ่าพันธุ์ (Holocaust) ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ในระหว่างนี้ด้วย
ในปลายสงครามหลังจากกองทัพพันธมิตรได้ปฏิบัติการวันดี-เดย์ (D-Day)ด้วยการยกพลข้ามช่องแคบอังกฤษเพื่อขึ้นบกที่หาดนอร์มองดี (Normandy) เพื่อปลดปล่อยยุโรปจากการยึดครองของเยอรมนี ในวันที่ ๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๔ กองทัพพันธมิตรก็เคลื่อนพลต่อไปยังตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์และสามารถเข้าควบคุมสะพานข้ามแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ ได้ ยกเว้นสะพานข้ามแม่น้ำไรน์ที่เมืองอาร์เนม(Arnhem)ดังนั้น ในปลายเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๔๕ดินแดนต่าง ๆ ทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ก็ได้รับการปลดปล่อยเกือบทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในช่วงฤดูหนาวค.ศ. ๑๙๔๔-๑๙๔๕ ขณะที่การต่อสู้ดำเนินอยู่นั้นชาวดัตช์จำนวนมากก็ต้องเผชิญกับความหนาวและการขาดแคลนอาหารจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก และทำให้ช่วงระยะเวลาดังกล่าวถูกเรียกว่า “ฤดูหนาวอันหิวโหย” (Hunger Winter) ด้วยต่อมา ในวันที่ ๔พฤษภาคม กองทัพนาซีเยอรมันในเนเธอร์แลนด์ก็ประกาศยอมแพ้โดยปราศจากเงื่อนไขแก่จอมพล เซอร์เบอร์นาร์ด ลอว์ มอนต์โกเมอรี (BernardLaw Montgomery) ผู้บัญชาการกองทัพที่ ๒๑ (Twenty-first Army Group)ดินแดนเนเธอร์แลนด์ทั้งหมดจึงเป็นอิสระจากการยึดครองของนาซีเยอรมนี ส่วนอาณานิคมโพ้นทะเลตกอยู่ในการยึดครองของญี่ปุ่นต่อไปจนกระทั่งญี่ปุ่นยอมแพ้เมื่อวันที่ ๑๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๕ แต่ีอก ๒ วันต่อมาดินแดนอาณานิคมต่าง ๆในอีสต์อินดีสก็ประกาศเอกราชจากการปกครองของเนเธอร์แลนด์ อันนำไปสู่ภาวะที่ยุ่งเหยิงทางการเมืองที่เรียกว่า “การปฏิวัติชาตินิยมอินโดนีเซีย” (IndonesianNational Revolution) โดยเนเธอร์แลนด์ได้ส่งกองกำลังไปทำสงครามต่อสู้กับพวกชาตินิยมอินโดนีเซีย อย่างไรก็ดี หลังจากเหตุการณ์ยึดเยื้อเป็นเวลา ๒ ปีเนเธอร์แลนด์ก็ถูกองค์การสหประชาชาติ(United Nations) และสหรัฐอเมริกากดดันโดยสหรัฐอเมริกาข่มขู่ที่จะงดให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟู เศรษฐกิจตามแผนมาร์แชลล์ (Marshall Plan) เนเธอร์แลนด์จึงยินยอมรับหลักการการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง (self determination) ของอินโดนีเซียอินโดนีเซียจึงประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๔๙ ส่วนเนเธอร์แลนด์ยังคงได้รับสิทธิปกครองนิวกินี (New Guinea) ทางด้านตะวันตกซึ่งเป็นที่ตั้งของท่าเรือที่สำคัญของเนเธอร์แลนด์ต่อไป ใน ค.ศ. ๑๙๖๓ เนเธอร์แลนด์ได้ยินยอมส่งมอบนิวกินีตะวันตกให้แก่อินโดนีเซีย นับเป็นการสิ้นสุดการเข้าไปมีอำนาจในเกาะดังกล่าวและอินโดนีเซียเป็นเวลากว่า ๓๐๐ ปีด้วย ต่อมา ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ.๑๙๗๕ เนเธอร์แลนด์ยังต้องยินยอมมอบเอกราชให้แก่ซูิรนาเม (Suriname)ดินแดนในปกครองในทวีปอเมริกาใต้ที่ได้รับอำนาจปกครองตนเองมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๕๔ดังนั้น ในปัจจุบันเนเธอร์แลนด์จึงเหลือเพียงดินแดนเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส(Netherlands Antilles) ที่ประกอบด้วยหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน (Caribbean) และดินแดนอารูบาซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งสาธารณรัฐโบลีวาร์แห่งเวเนซูเอลา (BolivarianRepublic of Venezuela) ประมาณ ๓๐ กิโลเมตรเท่านั้น
ในด้านเศรษฐกิจ แม้เนเธอร์แลนด์จะสูญเสียอีสต์อินดีสและโดยเฉพาะอินโดนีเซียซึ่งเป็นอาณานิคมและแหล่งทรัพยากรที่สำคัญ แต่ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ จะยุติลง เนเธอร์แลนด์ได้เข้าประชุมว่าด้วยศุลกากรที่กรุงลอนดอนเมื่อวันที่๔ กันยายน ค.ศ. ๑๙๔๔ และได้ร่วมลงนามกับเบลเยียม และลักเซมเบิร์ก จัดตั้งสหภาพศุลกากร (Customs Union) ขึ้นเพื่อจัดเก็บภาษีอากรในระบบเดียวกันอันจะเป็นประโยชน์ในการพัฒนาและฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยในระหว่างสงครามข้อตกลงดังกล่าวได้บรรลุผลใน ค.ศ. ๑๙๔๘ โดยภาษีศุลกากรระหว่างประเทศทั้งสามหรือกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ได้ถูกยกเลิก ประเทศสมาชิกได้หันมายึดถือนโยบายเดียวกันทางการค้ากับต่างประเทศและใช้อัตราศุลกากรในระบบเดียวกันในการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าและอื่น ๆ เศรษฐกิจของเนเธอร์แลนด์จึงมีความแข็งแกร่งมากขึ้น และเนเธอร์แลนด์ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟู เศรษฐกิจหลังสงครามได้ก่อนประเทศอื่น ๆอีกหลายประเทศ นอกจากนี้ การที่เนเธอร์แลนด์เข้าร่วมในแผนมาร์แชลหรือที่เรียกว่าโครงการฟื้นฟูยุโรป (European Recovery Programme - ERP)ใน ค.ศ. ๑๙๔๘ โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกาในรูปแบบของเงินทุน วัตถุดิบเครื่องจักรอุตสาหกรรมและอื่น ๆ ก็ทำให้การฟื้นฟู เศรษฐกิจของประเทศสัมฤทธิผลในเวลาอันรวดเร็ว
อย่างไรก็ดี ประสบการณ์อันขมขื่นระหว่างสงครามและความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาก็ทำให้เนเธอร์แลนด์รวมทั้งสมาชิกของกลุ่มประเทศเบเนลักซ์ยกเลิกนโยบายเป็นกลางและเข้าร่วมกับสมาชิกก่อตั้งขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO)ใน ค.ศ. ๑๙๔๙ ต่อมาทั้ง ๓ ประเทศยังเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งองค์การว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก ที่สำคัญได้แก่ประชาคมถ่านหินและเหล็กกล้า (European Coal and Steel Community - ECSC)ใน ค.ศ. ๑๙๕๒ ยิ่งไปกว่านั้น เนเธอร์แลนด์ยังเป็น ๑ ใน ๖ ประเทศที่เรียกว่า“The Inner Europe”อันประกอบด้วยเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส อิตาลี และสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน (เยอรมนี ตะวันตก) ที่เริ่มวางโครงการก่อตั้งองค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตกที่มีขนาดใหญ่ต่อมาคือ ประชาคมเศรษฐกิจยุโรปหรืออีอีซี และประชาคมพลังงานปรมาณูยุโรปหรือยูราตอม (European Atomic Energy Community - EURATOM) เพื่อความร่วมมือกันทางเศรษฐกิจและการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดใน ค.ศ. ๑๙๕๘ในภายหลังประชาคมเศรษฐกิจยุโรปยังได้พัฒนาตัวเองไปสู่ความเป็นเอกภาพอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นอันได้แก่ ประชาคมยุโรปหรืออีซี(European Community -EC) และสหภาพยุโรปหรืออียู ตามลำดับ เนเธอร์แลนด์จึงมีความโดดเด่นในฐานะประเทศผู้ร่วมก่อตั้งองค์การสำคัญต่าง ๆ เหล่านี้ที่รวมสมาชิกประเทศยุโรปให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ในวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๙๙ เนเธอร์แลนด์เป็น ๑ ใน ๑๑ประเทศสมาชิกแรกของสหภาพยุโรปจากจำนวนสมาชิกทั้งหมด ๑๕ ประเทศในขณะนั้นซึ่งผ่านขั้นตอนการปรับสถานะทางเศรษฐกิจภายในประเทศตามกรอบของสนธิสัญญามาสตริกต์ (Maastricht Treaty ค.ศ. ๑๙๙๓) เข้าสู่สภาพเศรษฐกิจและการเงินได้ โดยเริ่มหันมาใช้เงินตราสกุลเดียวกันที่เรียกว่าเงินยูโร (Euro)
ระหว่างทศวรรษ ๑๙๕๐ และทศวรรษ ๑๙๖๐ ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวอย่างรวดเร็วนั้น เนเธอร์แลนด์ต้องประสบกับภาวะการขาดแคลนแรงงาน รัฐบาลจึงหันมาดำเนินนโยบายส่งเสริมให้มีการอพยพแรงงานเข้าประเทศในระยะแรกได้มีแรงงานชาวอิตาลี และชาวสเปน หลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากรุ่นต่อมาก็เป็นชาวเติร์กจากตุรกีและชาวโมร็อกโก นอกจากนี้ ยังมีผู้อพยพจากประเทศอาณานิคมเดิม เช่น อินโดนีเซีย ซูิรนาเม และเนเธอร์แลนด์แอนทิลลิสเดินทางมาตั้งรกรากในเนเธอร์แลนด์เป็นอันมาก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านวัฒนธรรม และทำให้สังคมดัตช์กลายเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรมหลากหลายนอกจากนี้ ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน คนหนุ่มสาวและนิิสตนักศึกษาชาวดัตช์ก็เริ่มปฏิเสธธรรมเนียมปฏิบัติและแนวคิดทางด้านศีลธรรมจรรยาที่ถือเป็น “เสาหลัก”ของสังคมดัตช์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน เช่น การแบ่งแยกทางการศึกษาและรายการโทรทัศน์สำหรับผู้ที่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก โปรเตสแตนต์พวกสังคมนิยม และพวกเสรีนิยมอีกทั้งยังมีการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ เช่นเรื่องสิทธิสตรี เสรีภาพทางเพศ การรณรงค์เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมและอื่น ๆดังนั้น ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ เนเธอร์แลนด์จึงเป็นประเทศที่มีเสรีภาพมากที่สุดประเทศหนึ่ง มีการผ่อนปรนในเรื่องของการใช้ยาเสพติด และให้การการุณยฆาต(euthanasia) เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งยังเป็นประเทศแรกในโลกที่อนุญาตให้คนเพศเดียวกันสมรสกันได้ถูกต้องตามกฎหมายในต้น ค.ศ. ๒๐๐๑ รวมทั้งการรับรองสิทธิของคู่สมรสเพศเดียวกันให้มีความทัดเทียมเท่ากับคู่สมรสชาย-หญิงตามปกติีอกด้วย
เนเธอร์แลนด์เป็น ๑ ใน ๗ ประเทศยุโรปที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ (Beatrixค.ศ. ๑๙๘๐- ) แห่งราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา (Orange-Nassau) เป็นประมุข และมียาน ปีเตอร์ บัลเคเนนเด (Jan Peter Balkenende) แห่งพรรคคริสเตียนเดโมเครติกแอปพีล (Christian Democratic Appeal) เป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๒๐๐๓ ในวันที่ ๒๑ กรกฎาคมค.ศ. ๒๐๐๔ บัลเคเนนเดยังได้ดำรงตำแหน่งประธานสหภาพยุโรปอีกตำแหน่งด้วยซึ่งเป็นตำแหน่งหมุนเวียนระหว่างชาติสมาชิกของสหภาพยุโรปโดยมีวาระ ๖ เดือน
ปัญหาที่เนเธอร์แลนด์ต้องเผชิญอย่างมากในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ได้แก่ปัญหาผู้อพยพที่มีความแตกต่างทั้งเชื้อชาติและความเชื่อทางศาสนา ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๒ พิม ฟอร์ทาวน์ (Pim Fortuyn) นักการเมืองพอพิวลิสต์ปีกขวา (right-wing populist) ซึ่งมีนโยบายต่อต้านการอพยพเข้ามาอาศัยในเนเธอร์แลนด์ของพวกต่างชาติที่นับถือศาสนาอิสลามได้ถูกลอบสังหารในช่วงการหาเสียงในการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. ๒๐๐๒ ก่อนที่จะมีการลงคะแนนเสียงเพียง๒ วัน การเสียชีวิตของเขาได้สร้างกระแสการต่อต้านการรับผู้อพยพของเนเธอร์แลนด์เป็นอันมาก และทำให้พรรคเลสต์พิมฟอร์ทาวน์ (Lijst Pim Fortuyn)ของเขาชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับ ๒ และเข้าร่วมในรัฐบาลผสม นับว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของการเมืองของเนเธอร์แลนด์ ต่อมาในวันที่ ๒พฤศจิกายน ค.ศ.๒๐๐๔ เตโอ ฟาน โกก (Theo van Gogh) ผู้กำกับภาพยนตร์และนักประชาสัมพันธ์ที่มีแนวคิดสนับสนุนฟอร์ทาวน์ก็ถูกเด็กหนุ่มชาวดัตช์เชื้อสายโมร็อกโกที่นับถือศาสนาอิสลามลอบสังหารอีก นับเป็นการโหมกระแสต่อต้านและข้อถกเถียงเกี่ยวกับการอนุญาตให้ชาวมุสลิมอพยพหัวรุนแรงอาศัยอยู่ต่อไป รวมทั้งนโยบายการสร้างสังคมแบบบูรณาการเพื่อให้ชาวดัตช์มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.