สาธารณรัฐมอนเตเนโกรเป็นประเทศใหม่ล่าสุดที่เข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ ๑๙๒ขององค์การสหประชาชาติ(United Nations) เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของทวีปยุโรป ในอดีตเคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของยูโกสลาเวีย (Yugoslavia) และใน ค.ศ. ๒๐๐๓ รวมตัวกับเซอร์เบีย เป็นสหภาพเซอร์เบีย และมอนเตเนโกร (State Union of Serbia and Montenegro) แต่ในค.ศ. ๒๐๐๖ ชาวมอนเตเนโกรได้ลงประชามติแยกตัวออกจากสหภาพเซอร์เบีย และมอนเตเนโกร และประกาศเป็นประเทศเอกราชเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖
ประวัติศาสตร์ระยะแรกของชนเผ่ามอนเตเนโกรซึ่งมีเชื้อชาติผสมระหว่างพวกสลาฟ (Slav) กับอิลลิเรีย (Illyria) อัลวาร์ (Avar) และโรมัน (Roman)เริ่มปรากฏชัดเจนในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ในฐานะเป็นรัฐกึ่งอิสระที่เรียกว่าดูเคลีย(Dukedom of Duklja) ต่อมาได้มีการสถาปนาระบอบกษัตริย์ขึ้น ปรากฏหลักฐานว่า ใน ค.ศ. ๑๐๗๗ สันตะปาปาเกรกอรีที่ ๗ (Greory VII ค.ศ. ๑๐๗๓-๑๐๘๕) ได้ทรงมีประกาศรับรองความเป็นอิสระของรัฐดู เคลียและยอมรับพระเจ้ามีไฮโลแห่งดูเคลีย (Mihailo of Duklja)อย่างเป็นทางการพระเจ้ามีไฮโลทรงสืบเชื้อสายมาจากสเตฟาน วอยิสลาฟ (Stefan Vojislav) ซึ่งในเวลาต่อมาผู้สืบเชื้อสายได้แยกไปก่อตั้งรัฐเซอร์เบีย (Serbia) มอนเตเนโกรจึงมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซอร์เบีย เป็นพิเศษ ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๕ มอนเตเนโกรตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman Empire) เช่นเดียวกับเซอร์เบีย และรัฐอื่น ๆ ในคาบสมุทรบอลข่าน แต่เนื่องจากมอนเตเนโกรเป็นรัฐชายขอบทางฝั่งตะวันตกของคาบสมุทร อำนาจและอิทธิพลของจักรวรรดิออตโตมันจึงแผ่ขยายไปไม่ได้เต็มที่นักกษัตริย์ของมอนเตเนโกรตั้งแต่ปลายสมัยกลางเป็นต้นมาจึงปกครองประเทศด้วยความเป็นอิสระพอควรจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙
ในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙พระเจ้านิโคลัสที่ ๑ (Nicholas Iค.ศ. ๑๘๖๐-๑๙๑๘) แห่งราชวงศ์นีเยกอช (Njegosˇ) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่เข้มแข็งทรงพยายามปลดปล่อยประเทศจากแอกการปกครองของจักรวรรดิออตโตมันหลายครั้ง ใน ค.ศ. ๑๘๖๑-๑๘๖๒ มอนเตเนโกรก่อสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันแต่ไม่สำเร็จ ต่อมา ใน ค.ศ. ๑๘๗๗ เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเซอร์เบีย และระหว่างค.ศ. ๑๘๗๗-๑๘๗๘ ก็สนับสนุนรัสเซีย ในการทำสงครามกับจักรวรรดิออตโตมัน ซึ่งรัสเซีย เป็นฝ่ายชนะ สนธิสัญญาซานสตีฟาโน (Treaty of San Stefano) ที่รัสเซีย ทำกับตุรกีใน ค.ศ. ๑๘๗๘ เปิดโอกาสให้รัสเซีย เข้าไปมีอิทธิพลมากขึ้นในดินแดนส่วนใหญ่ของคาบสมุทรบอลข่านอังกฤษและออสเตรีย -ฮังการี (Austria-Hungary) จึงคัดค้านและนำไปสู่การประชุมใหญ่แห่งเบอร์ลิน (Congress of Berlin) ใน ค.ศ. ๑๘๗๘เพื่อทบทวนสนธิสัญญาซานสตีฟาโน ผลการประชุมที่สำคัญคือ มีการยกเลิกสนธิสัญญาซานสตีฟาโนและจัดทำสนธิสัญญาเบอร์ลิน (Treaty of Berlin) ขึ้นแทนสนธิสัญญาเบอร์ลิน ค.ศ. ๑๘๗๘ ได้ทำให้มอนเตเนโกรเป็นเอกราชจากออตโตมันรวมทั้งได้ดินแดนเพิ่มเติม ประเทศมหาอำนาจค้ำประกันที่จะทำให้เขตน่านน้ำตามชายฝั่งทะเลเอเดรียติก (Adriatic) ของมอนเตเนโกรเป็นเขตน่านน้ำปิดอย่างไรก็ดีมอนเตเนโกรต้องยินยอมให้ออสเตรีย -ฮังการี เข้ามาบริหารจัดการระบบการรักษาความปลอดภัยของน่านน้ำซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ออสเตรีย -ฮังการี มีส่วนได้เสียในฐานที่มั่นริมฝั่งทะเลเอเดรียติก
ความผันผวนทางการเมืองในคาบสมุทรบอลข่านที่สืบเนื่องจากปัญหาตะวันออก (Eastern Question) และกระแสลัทธิชาตินิยมจากการเคลื่อนไหวของขบวนการอุดมการณ์รวมกลุ่มสลาฟ (Pan-Slavism) ได้นำไปสู่การเกิดสงครามบอลข่าน (Balkan Wars) สองครั้งระหว่าง ค.ศ. ๑๙๑๒-๑๙๑๓ ในสงครามบอลข่านครั้งแรกมอนเตเนโกรซึ่งเป็นสมาชิกของสันนิบาตบอลข่าน (Balkan League)ซึ่งประกอบด้วย กรีซ บัลแกเรีย และเซอร์เบีย ได้ร่วมกันทำสงครามกับจักรวรรดิออตโตมันและมีชัยชนะ ออตโตมันต้องสูญเสียดินแดนในยุโรปเกือบทั้งหมดและยอมให้มีการจัดตั้งประเทศแอลเบเนีย (Albania) ขึ้น แต่ทั้งเซอร์เบีย และมอนเตเนโกรไม่พอใจเพราะต้องการผนวกดินแดนทางชายฝั่งของแอลเบเนียเพื่อเป็นทางออกทะเลขณะเดียวกันบัลแกเรีย ก็ไม่พอใจในส่วนแบ่งดินแดนที่ได้รับทั้งขุ่นเคืองที่เซอร์เบีย ได้รับผลประโยชน์มากกว่า บัลแกเรีย จึงเปิดฉากก่อสงครามบอลข่านครั้งที่ ๒ ขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๑๓ แต่พ่ายแพ้ ผลสำคัญของสงครามบอลข่านคือทั้งเซอร์เบีย และมอนเตเนโกรได้รับดินแดนเพิ่มเติมประมาณ ๑ เท่าของพื้นที่เดิมของประเทศ หลังวิกฤตการณ์สงครามบอลข่านไม่นานนัก มีการลอบปลงพระชนม์อาร์ชดุ็กฟรานซิส เฟอร์ดินานด์ (Francis Ferdinand ค.ศ. ๑๘๖๓ - ๑๙๑๔)มกุฎราชกุมารออสเตรีย -ฮังการี และพระชายาขณะเสด็จเยือนกรุงซาราเยโว(Sarajevo) เมืองหลวงของบอสเนีย การปลงพระชนม์ครั้งนี้ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑
มอนเตเนโกรสนับสนุนฝ่ายสัมพันธมิตรในการทำสงครามกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง (Central Powers) แต่ด้วยขนาดกำลังพลประมาณ ๕,๐๐๐ คนกองกำลังของมอนเตเนโกรจึงพ่ายแพ้ต่อกองทัพออสเตรีย -ฮังการี และในต้น ค.ศ.๑๙๑๖ ก็ถูกออสเตรีย -ฮังการี เข้ายึดครองอย่างไรก็ตาม ในปลายสงครามใน ค.ศ.๑๙๑๘ มอนเตเนโกรได้เคลื่อนไหวที่จะปลดปล่อยประเทศจากการยึดครอง และรัฐสภาของมอนเตเนโกรมีมติที่จะให้รวมเข้ากับราชอาณาจักรเซอร์เบีย (Kingdom ofSerbia) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนชนชาติต่าง ๆ ในคาบสมุทรบอลข่านให้เป็นเอกราช เซอร์เบีย จึงกลายเป็นแกนนำสำคัญของการรวมชนชาติสลาฟใต้เข้าด้วยกันได้สำเร็จหลังสงครามสิ้นสุดลงโดยสถาปนาราชอาณาจักรเซิร์บ โครแอต และสโลวีน (Kingdom of Serbs Croats and Slovenes) ซึ่งรวมมอนเตเนโกรด้วยขึ้นเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ โดยมีพระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ (Alexander I)แห่งราชวงศ์คาราจอร์เจวิช (Karageorgevic) ทรงเป็นประมุขอย่างไรก็ตามพลเมืองมอนเตเนโกรจำนวนไม่มากก็ต่อต้านการรวมตัวครั้งนี้และพยายามเคลื่อนไหวต่อต้านเซอร์เบีย ตั้งแต่ปลาย ค.ศ. ๑๙๑๙ แต่ก็ถูกปราบปรามอย่างเด็ดขาดใน ค.ศ. ๑๙๒๔การต่อต้านดังกล่าวมีส่วนทำให้พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ ในเวลาต่อมาทรงอ้างปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองภายในระหว่างชนชาติต่าง ๆยุบสภาและปกครองด้วยระบบเผด็จการ
ใน ค.ศ. ๑๙๒๙พระเจ้าอะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ ทรงเปลี่ยนชื่อประเทศเป็นยูโกสลาเวีย (Yugoslavia) ซึ่งหมายถึง ประเทศของชาวสลาฟใต้ และดำเนินนโยบายสลายความเป็นชาติของชนชาติต่าง ๆ ในประเทศ นโยบายดังกล่าวได้สร้างความไม่พอใจแก่ชนชาติต่าง ๆ ภายในประเทศและมีส่วนทำให้ชาวโครแอตชาตินิยมที่ต้องการแยกตัวออกลอบปลงพระชนม์พระองค์ได้สำเร็จขณะเสด็จเยือนฝรั่งเศส ในค.ศ. ๑๙๓๔ เจ้าชายปี เตอร์ที่ ๒ (Peter II)พระราชโอรสองค์โตพระชันษา ๑๑ ปี ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์โดยมีเจ้าชายปอล (Paul)พระญาติผู้ใหญ่เป็นผู้สำเร็จราชการ
เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๙๓๙ยูโกสลาเวียถูกเยอรมนี โจมตีและยึดครองดินแดนต่าง ๆ ของประเทศถูกแบ่งแยกและยึดครองระหว่างเยอรมนี บัลแกเรีย ฮังการี และอิตาลี ในช่วงระหว่างสงครามยอซีบ บรอซหรือตีโต (JosipBrozi; Tito) ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ยูโกสลาเวียได้ก่อตั้งกองทัพปลดปล่อยแห่งชาติ(National Liberation Army) ขึ้นเพื่อต่อต้านเยอรมนี และพันธมิตรที่ยึดครองประเทศตีโตได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากชาวเซิร์บและชนชาติต่าง ๆ และประสบความสำเร็จในการปลดปล่อยประเทศได้สำเร็จ
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตีโตได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ได้อำนาจทางการเมืองและเป็นผู้นำประเทศ เขาเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบสังคมนิยม และประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ตามแบบรัฐธรรมนูญของสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ค.ศ. ๑๙๔๖ โดยเรียกชื่อประเทศว่าสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย (Socialist Federal Republic of Yugoslavia)ประกอบด้วย ๖ สาธารณรัฐและ ๒ มณฑลอิสระ (autonomous province) กล่าวคือสาธารณรัฐเซอร์เบีย โครเอเชีย สโลวีเนีย บอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนา มอนเตเนโกรมาซิโดเนีย และมณฑลวอยวอดีนา (Vojvodina) และคอซอวอ (Kosova) ระหว่างค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๙๒ มอนเตเนโกรจึงเป็นสาธารณรัฐสังคมนิยมที่รวมอยู่กับสหพันธ์สาธารณรัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวีย โดยมีอำนาจอธิปไตยภายในอย่างอิสระ และมีกรุงพอดกอรีตซา (Podgorica) เป็นเมืองหลวง แต่หลังอสัญกรรมของตีโตในค.ศ. ๑๙๘๐ มีการเปลี่ยนชื่อกรุงพอดกอรีตชา เป็นตีโตกราด (Titograd) เพื่อเป็นเกียรติและอนุสรณ์แก่ตีโต
เมื่อเกิดการปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๘๙ ในประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งทำให้ระบบคอมมิวนิสต์ล่มสลายทั้งนำไปสู่การแตกสลายของสหภาพโซเวียต ใน ค.ศ. ๑๙๙๑สาธารณรัฐที่รวมอยู่ในสหพันธ์รัฐสังคมนิยมยูโกสลาเวียจึงเห็นเป็นโอกาสเคลื่อนไหวแยกตัวเป็นเอกราช ในกลาง ค.ศ. ๑๙๙๑ โครเอเชีย และสโลวีเนีย ประกาศแยกตัวจากสหพันธรัฐสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ตามมาด้วยมาซิโดเนีย ในเดือนธันวาคมค.ศ. ๑๙๙๑ และบอสเนีย -เฮอร์เซโกวีนาในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม ค.ศ. ๑๙๙๒ คงเหลือเซอร์เบีย และมอนเตเนโกรซึ่งตกลงที่จะยังคงอยู่ร่วมกันต่อไป (ดู serbiaประกอบ) มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๒พร้อมกับการสถาปนาสหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวีย (Federal Republic ofYugoslavia) มีการปกครองแบบเสรีนิยมในระบบรัฐสภาขึ้น ประธานาธิบดีสลอบอดันมีโลเซวิช (Slobodan Milosevic) แห่งเซอร์เบีย ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีของสหพันธรัฐ แต่การดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าวต่อชนกลุ่มน้อยในคอซอวอทางตอนใต้ก็ทำให้มอนเตเนโกรพยายามหลีกเลี่ยงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
หลังวิกฤตการณ์คอซอวอสิ้นสุดลงใน ค.ศ. ๑๙๙๙ ได้มีการทบทวนโครงสร้างการบริหารสหพันธรัฐสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย โดยเพิ่มอำนาจและความเป็นตัวของตัวเองในระดับสาธารณรัฐแต่ละแห่งให้มากขึ้น ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ค.ศ. ๒๐๐๓ สหพันธ์สาธารณรัฐยูโกสลาเวียได้เปลี่ยนชื่อเป็นสหภาพเซอร์เบีย และมอนเตเนโกร (State Union of Serbia and Montenegro) โดยรวมกันแบบสหภาพหรือแบบรัฐในเครือจักรภพ (Commonwealth) ที่แต่ละรัฐคงความเป็นอิสระเกือบทุกด้าน มอนเตเนโกรก็มีการแบ่งเขตการปกครองในรัฐของตนเป็นจังหวัด มีกรุงพอดกอรีตซาเป็นเมืองหลวง มีประธานาธิบดี คณะผู้บริหาร รัฐสภา ศาลธนาคารชาติเงินตรา ธงชาติและตราสัญลักษณ์ของประเทศเป็นของตนเองอย่างไรก็ตาม ในฐานะเป็นชาติทั้งรัฐบาลของเซอร์เบีย และมอนเตเนโกรจะดำเนินกิจการร่วมกันในด้านการทหารและการต่างประเทศเป็นหลัก และมีข้อตกลงว่าหากรัฐใดรัฐหนึ่งต้องการแยกตนเป็นอิสระก็สามารถกระทำได้ด้วยการแสดงประชามติ แต่ต้องอยู่ร่วมกันมาแล้วอย่างน้อย ๓ ปี นั่นคือนับจาก ค.ศ. ๒๐๐๖ เป็นต้นไป และการแสดงประชามติต้องมีผู้ออกเสียงอย่างน้อยร้อยละ ๕๕ ของผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๐๖ ชาวมอนเตเนโกรได้แสดงประชามติเพื่อยุติการรวมเป็นสหภาพกับเซอร์เบีย และร้อยละ ๕๕.๔ ของผู้ออกเสียงจากจำนวน ๔๑๙,๒๔๐ คนสนับสนุนให้มอนเตเนโกรแยกจากสหภาพและจัดตั้งประเทศใหม่ รัฐสภามอนเตเนโกรจึงประกาศเอกราชบนพื้นฐานของการแสดงประชามติของประชาชนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ โดยมีฟิลิป วูยาโนวิช (Filip Vujanovic) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐมอนเตเนโกร สาธารณรัฐไอซ์แลนด์ เป็นประเทศแรกที่ประกาศยอมรับสถานภาพความเป็นเอกราชของมอนเตเนโกรเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ และตามด้วยสวิตเซอร์แลนด์ (๙ มิถุนายน) และเอสโตเนีย (๑๑ มิถุนายน) ตามลำดับหลังจากนั้น ไม่นานนักนานาประเทศในยุโรปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาก็ประกาศยอมรับความเป็นประเทศเอกราชของมอนเตเนโกรด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๒ มิถุนายนองค์การสหประชาชาติก็ยอมรับให้มอนเตเนโกรเข้าเป็นสมาชิกอันดับที่ ๑๙๒ และยึนยันสถานภาพการเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์เมื่อวันที่ ๒๘ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖.