สาธารณรัฐลัตเวีย เป็น ๑ ใน ๓ ประเทศในกลุ่มรัฐบอลติก (Baltic States)ซึ่งประกอบด้วยสาธารณรัฐเอสโตเนีย (Republic of Estonia) สาธารณรัฐลิทัวเนีย (Republic of Lithuania) และลัตเวีย เป็นดินแดนที่เคยอยู่ใต้การปกครองของหลายชาติ คือ เยอรมนี สวีเดน โปแลนด์ และรัสเซีย ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อรัสเซีย เกิดการปฏิวัติเดือนตุลาคม (October Revolution) ค.ศ. ๑๙๑๗ลัตเวีย จึงเห็นเป็นโอกาสเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชได้สำเร็จเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายนค.ศ. ๑๙๑๘อย่างไรก็ตาม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ สหภาพโซเวียตใช้กำลังผนวกลัตเวีย เข้าเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของประเทศใน ค.ศ. ๑๙๔๐ และเรียกชื่อใหม่ว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลัตเวีย (Latvian Soviet Socialist Republic)แต่เมื่อเยอรมนี ประกาศสงครามกับสหภาพโซเวียต เยอรมนี ได้เข้ายึดครองลัตเวีย ใน ค.ศ. ๑๙๔๑ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง สหภาพโซเวียตเข้าปกครองลัตเวีย อีกครั้งหนึ่งจนถึง ค.ศ. ๑๙๙๐ เมื่อประธานาธิบดีมีฮาอิล เซียร์เกเยวิชกอร์บาชอฟ (Mikhail Sergeyevich Gorbachev ค.ศ. ๑๙๘๕-๑๙๙๑) แห่งสหภาพโซเวียตเปิดโอกาสให้ประเทศยุโรปตะวันออกซึ่งเป็นรัฐบริวารของโซเวียต (SovietBloc) ปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตย ลัตเวีย จึงเคลื่อนไหวแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตและได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๑
ลัตเวีย แต่เดิมเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองซึ่งไม่ทราบประวัติความเป็นมา แต่ประมาณ ๓,๐๐๐ ปีก่อนคริสต์ศักราช บรรพบุรุษของพวกฟินน์ (Finns)เข้ามาตั้งรกราก และอีก ๑,๐๐๐ ปีต่อมาชนเผ่าบอลติกเชื้อสายอินโดยูโรเปียนก็เข้ามาตั้งถิ่นฐานซึ่งแบ่งเป็น ๔ เผ่าใหญ่อาศัยกระจัดกระจายกันใน ๔ ภูมิภาคคือเผ่าคูร์ซี(Kursi) ในภูมิภาคคูร์เซเม (Kurzeme) หรือคูร์ลันด์ (Courland) เผ่าลิฟ(Livs) ในภูมิภาคลัตเกเล (Latgale) เผ่าเซลี(Seli) ในภูมิภาควิดเซเม (Vidzeme)และเผ่าเซมกาลี (Zemgali) ในภูมิภาคเซมกาเล (Zemgale) พวกลิฟได้ติดต่อค้าขายกับพวกตะวันตกและถูกเรียกชื่อว่าลิโวเนีย (Livonians) ซึ่งในเวลาต่อมาดินแดนในภูมิภาคที่พวกลิฟอาศัยและบริเวณใกล้เคียงมีชื่อเรียกว่าลัตเวีย ในค.ศ. ๑๐๕๔ ชนเผ่าเยอรมันที่รอดชีวิตจากเรืออับปางในแม่น้ำเดากาวา (Daugava)ได้มาอาศัยอยู่ในดินแดนของพวกลิฟ และในเวลาอันสั้นก็มีอิทธิพลเหนือชนพื้นเมืองใน ค.ศ. ๑๒๐๑ บิชอปอัลเบรชท์ ฟอน บุกซ์เฮอร์เดิน (Albrecht von Buxhoerden)เป็นผู้นำกลุ่มขุนนางเยอรมัน (Knight of the Sword) จัดตั้งเมืองท่าริกา (Riga) ขึ้นเพื่อเป็นศูนย์เผยแพร่ศาสนา การค้า และการขยายอำนาจทางทหาร ริกาได้พัฒนาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเข้าเป็นสมาชิกสันนิบาตฮันซา (Hanseatic League)ของกลุ่มพ่อค้าเยอรมันตอนเหนือใน ค.ศ. ๑๒๘๕ ก็กลายเป็นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางบอลติกเหนือที่ติดต่อกับยุโรป ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๓พวกเยอรมันก็ขยายอำนาจเข้ายึดครองดินแดนลิโวเนีย (Livonia) หรือลัตเวีย ได้ทั้งหมด และใช้กำลังบังคับให้ชาวลัตเวีย หันมานับถือคริสต์ศาสนาตลอดจนจัดตั้งระบบทาสติดที่ดินขึ้นใน ค.ศ. ๑๔๕๘ ชาวลัตเวีย ส่วนใหญ่ยกเว้นพวกที่อาศัยอยู่ในเมืองจึงกลายเป็นทาสติดที่ดิน
ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔-๑๘ ลัตเวีย ถูกประเทศเพื่อนบ้านคือโปแลนด์ สวีเดน และรัสเซีย ผลัดเปลี่ยนกันเข้ายึดครองและแบ่งแยกดินแดน ในสงครามลิโวเนีย (Livonian Wars ค.ศ. ๑๕๕๘-๑๕๘๓) ซึ่งเป็นสงครามยืดเยื้อระหว่างพวกเยอรมันทิวทอนิกกับรัสเซีย ในรัชสมัยซาร์อีวานที่ ๔ หรืออีวานผู้โหดร้าย (Ivan IVthe Terrible ค.ศ. ๑๕๔๗-๑๕๘๔) ลัตเวีย หันไปพึ่งโปแลนด์ และดินแดนส่วนใหญ่ของประเทศตกอยู่ใต้อำนาจของโปแลนด์ แต่เมื่อพระเจ้ากุสตาวุสที่ ๒ อดอลฟุส(Gustavus II Adolphus ค.ศ. ๑๖๑๑-๑๖๓๒) แห่งสวีเดน ก่อสงครามกับโปแลนด์ ในค.ศ. ๑๖๒๑ ลัตเวีย ก็ถูกสวีเดน ยึดครองยกเว้นดินแดนทางตอนใต้ซึ่งยังคงอยู่ใต้การปกครองของโปแลนด์ อย่างไรก็ตาม เมื่อซาร์ปีเตอร์มหาราช (Peter the Greatค.ศ. ๑๖๘๒-๑๗๒๕) แห่งรัสเซีย พยายามหาเส้นทางออกทะเลทางด้านทะเลบอลติกพระองค์ทรงทำสงครามกับพระเจ้าชาลส์ที่ ๑๒ (Charles XII ค.ศ. ๑๖๙๗-๑๗๑๘)แห่งสวีเดน ในสงครามทะเลเหนืออันยิ่งใหญ่ (Great Northern War ค.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๒๑) สงครามสิ้นสุดด้วยความปราชัยของสวีเดน ซึ่งต้องยอมลงนามในสนธิสัญญานูสตัด (Treaty of Nystad) ใน ค.ศ. ๑๗๒๑ โดยสวีเดน ต้องยกลัตเวีย เอสโตเนีย และอินเกรีย (Ingria) ให้แก่รัสเซีย ซาร์ปีเตอร์มหาราชจึงทรงได้“หน้าต่าง”ออกทะเลสมพระทัยและทรงโปรดให้สร้างเมืองหลวงใหม่บนฝั่งแม่น้ำนีวา(Neva) ในเขตอินเกรียคือกรุงเซนต์ปีเตอร์สเปิร์ก (St. Petersburg)
ในครึ่งหลังคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ซารินาแคเทอรีนที่ ๒ หรือแคเทอรีนมหาราช (Catherine the Great ค.ศ. ๑๗๖๒-๑๗๙๖) แห่งรัสเซีย ทรงสานนโยบายด้านต่างประเทศตามแนวทางของซาร์ปีเตอร์ด้วยการขยายพรมแดนไปทางทิศตะวันตกและทิศใต้เข้าไปในดินแดนของโปแลนด์ และจักรวรรดิออตโตมัน(Ottoman Empire) หรือตุรกี พระนางทรงร่วมมือกับปรัสเซีย และออสเตรีย ในการแบ่งแยกดินแดนของโปแลนด์ โปแลนด์ จึงถูกแบ่งดินแดนถึง ๓ ครั้ง คือ ในค.ศ. ๑๗๗๒, ค.ศ. ๑๗๙๓ และ ค.ศ. ๑๗๙๕ จนอาณาจักรโปแลนด์ ถูกลบหายไปจากแผนที่ของยุโรปไปช่วงเวลาหนึ่ง ในการแบ่งโปแลนด์ ครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๓ รัสเซีย ได้ดินแดนทางตะวันออกของลัตเวีย ที่เรียกว่าลัตกาเล และต่อมาได้ดินแดนลัตเวีย ทางตะวันตกที่เป็นของโปแลนด์ หรือดัชชีแห่งคูร์ลันด์ (Duchy of Courland)ตามลำดับ ลัตเวีย ในท้ายที่สุดจึงกลายเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย
ภายหลังการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Vienna ค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕) ซึ่งเป็นการจัดระเบียบและแบ่งเขตแดนของนานาประเทศในยุโรปหลังการแพ้ของฝรั่งเศส ในสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕)ซาร์อะเล็กซานเดอร์ที่ ๑ (Alexander I ค.ศ. ๑๘๐๑-๑๘๒๕) แห่งรัสเซีย โปรดให้ยกเลิกระบบทาสติดที่ดินในลัตเวีย แต่ชาวนาไม่มีสิทธิครอบครองหรือซื้อที่ดินและห้ามโยกย้ายออกจากที่ดิน ชาวนาลัตเวีย จำนวนไม่น้อยจึงหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายรัสเซีย ออร์ทอดอกซ์โดยหวังจะได้รับสิทธิทางสังคมที่ดีขึ้น ซาร์ยังพยายามใช้นโยบายเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบรัสเซีย (Russification)อย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยเฉพาะด้านการปกครอง การศาล และการศึกษา ต่อมาในรัชสมัยซาร์อะเล็ก-ซานเดอร์ที่ ๒ (Alexander II ค.ศ. ๑๘๕๕-๑๘๘๑) ซึ่งเป็นสมัยของการปฏิรูปประเทศให้เป็นอุตสาหกรรมและทันสมัยเท่าเทียมประเทศตะวันตก ชาวนาลัตเวีย ได้รับสิทธิให้ซื้อและครอบครองที่ดินรวมทั้งเคลื่อนย้ายออกจากที่ดินได้ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจึงเริ่มเกิดขึ้นโดยมีการอพยพเข้าไปอาศัยในเมืองมากขึ้นและลูกหลานชาวนาที่มีฐานะมีโอกาสได้รับการศึกษาและทำงานในราชการตลอดจนเลื่อนฐานะทางสังคมให้สูงขึ้นด้วยการแต่งงานกับชาวบอลติกเชื้อสายเยอรมันในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ปัญญาชนลัตเวีย จำนวนหนึ่งที่ศึกษา ณ มหาวิทยาลัยแห่งดอร์พัต (University of Dorpat) ซึ่งอยู่ในเอสโตเนีย และเป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงในรัฐบอลติกได้รวมตัวกันเป็นขบวนการโดยเรียกชื่อว่า “ลัตเวีย หนุ่ม”(Young Latvians) ขบวนการดังกล่าวได้อิทธิพลทางความคิดจากขบวนการอิตาลี หนุ่ม(Young Italy) ของจูเซปเป มัซซีนี (Giussppe Mazzini) ชาวอิตาลี ผู้รักชาติที่มีบทบาทสำคัญในการรวมชาติอิตาลี ขบวนการลัตเวีย หนุ่มเคลื่อนไหวทางวัฒนธรรมเพื่อปลุกจิตสำนึกความรักชาติและความภาคภูมิใจในภาษาและวัฒนธรรมพื้นบ้านในกลุ่มชาวลัตเวีย ที่มีการศึกษาและมีฐานะ
การเคลื่อนไหวของขบวนการลัตเวีย หนุ่มได้นำไปสู่การจัดตั้งสมาคมลัตเวีย แห่งริกา (Latvian Association of Riga) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๖๘ โดยมีวัตถุประสงค์จะส่งเสริมการศึกษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นขึ้นทั่วรัฐบอลติก ใน ค.ศ. ๑๘๗๓ สมาคมลัตเวีย แห่งริกาได้จัดงานเทศกาลดนตรีลัตเวีย (Latvian Song Festival) ขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อแสดงพลังทางวัฒนธรรมซึ่งประสบความสำเร็จไม่น้อยเพราะทำให้เกิดความตื่นตัวและสนใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นและประเพณีของชาติมากขึ้น ขบวนการลัตเวีย หนุ่มยอมรับอำนาจการปกครองของซาร์แห่งรัสเซีย และไม่ต้องการก่อการปฏิวัติทางสังคมและการเมือง พวกเขาสนใจเพียงการเคลื่อนไหวปลุกจิตสำนึกประชาชนและใช้หนังสือพิมพ์ Petersburg Newspaper เป็นสื่อถ่ายทอดความคิดเห็นและแนวนโยบาย
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยซาร์นิโคลัสที่ ๒ (Nicholas II ค.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๑๗)พระองค์ทรงดำเนินนโยบายเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบรัสเซีย อย่างเข้มงวดและลงโทษผู้ที่ต่อต้านอย่างรุนแรงทั้งในรัฐบอลติกทั้ง ๓ แห่งรวมทั้งในฟินแลนด์ ด้วยปัญญาชนลัตเวีย หัวรุนแรงที่เป็นสมาชิกขบวนการลัตเวีย หนุ่มจึงเริ่มเคลื่อนไหวในหมู่กรรมกรโรงงานและชาวนาที่ไม่มีที่ดินเพื่อเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมือง และรณรงค์ให้สมาคมลัตเวีย แห่งริกาหันมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในนามประชาชาติลัตเวีย ใน ค.ศ. ๑๘๙๗ มีการชุมนุมและการก่อจลาจลของกรรมกรอย่างต่อเนื่องรัฐบาลรัสเซีย จึงปราบปรามอย่างรุนแรง และจับกุมสมาชิกลัตเวีย หนุ่มหัวรุนแรงกว่า๘๗ คนทั้งสั่งปิดหนังสือพิมพ์รายวัน The New Current ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของกลุ่มลง ปัญญาชนที่หนีรอดจากการกวาดล้างจึงรวมตัวกันเคลื่อนไหวใต้ดินโดยก่อตั้งเป็นองค์กรที่มีชื่อว่ากลุ่มสังคมประชาธิปไตยขึ้นใน ค.ศ. ๑๘๙๙ ต่อมาก็ยอมรับแนวความคิดลัทธิมารกซ์ (Marxism) และแนวทางเคลื่อนไหวปฏิวัติตามแบบพรรคบอลเชวิค (Bolsheviks) ของรัสเซีย ที่มีวลาดีมีร์ เลนิน (Vladimir Leninค.ศ. ๑๘๗๐-๑๙๒๔) เป็นผู้นำ ใน ค.ศ. ๑๙๐๔ กลุ่มสังคมประชาธิปไตยได้ร่วมกับปัญญาชนลัทธิมาร์กซ์จัดตั้งพรรคการเมืองพรรคแรกขึ้นโดยใช้ชื่อว่าพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยลัตเวีย (Latvian Social Democratic Labour Party - LSDLP) ขึ้นซึ่งต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๐๓ กลุ่มสายกลางที่มีแนวความคิดชาตินิยมและต้องการสิทธิในการปกครองตนเองได้แยกตัวออกมาจัดตั้งพรรคที่เรียกว่าสหภาพสังคมประชาธิปไตยลัตเวีย (Latvian Social Democratic Union - LSDU) ขึ้น เมื่อมีการจัดประชุมใหญ่ครั้งที่ ๔ ของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย (RussianSocial Democratic Labour Party - RSDLP) ขึ้นที่กรุงสตอกโฮล์ม (Stockholm)สวีเดน ใน ค.ศ. ๑๙๐๖ ผู้แทนของพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยลัตเวีย ได้ขอเข้ารวมกับพรรคแรงงานสังคมประชาธิปไตยรัสเซีย โดยมีสถานภาพเป็นองค์การพรรคสาขาอิสระที่ปกครองตนเองในส่วนภูมิภาคมีชื่อว่าพรรคสังคมประชาธิปไตยแห่งภูมิภาคลัตเวีย (Social Democracy of the Latvia Region - SDLK)พรรคดังกล่าวมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่แนวความคิดสังคมนิยมและสนับสนุนการเคลื่อนไหวปฏิวัติของบอลเชวิคในแถบบอลติกและฟินแลนด์
ความพ่ายแพ้ของรัสเซีย ในสงครามรัสเซีย -ญี่ปุ่น (Russo-Japanese Warค.ศ. ๑๙๐๔-๑๙๐๕) และเหตุการณ์วันอาทิตย์นองเลือด (Bloody Sunday) ในต้นเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๐๕ ที่นำไปสู่การปฏิวัติ ค.ศ. ๑๙๐๕ (Revolution of 1905)ใน เดือนตุลาคมเปิ ดโอกาสให้ลัตเวีย เคลี่อนไหวเรียกร้องสิทธิการปกครองตนเองรัสเซีย ส่งกองทัพมาปราบปรามและการปะทะกันอย่างนองเลือดได้ทำให้การต่อต้านรัสเซีย ขยายตัว มีการจัดตั้งสภาคนงานขึ้นตามเมืองต่าง ๆ ซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทรงพยายาม แก้ไขสถานการณ์ทางการเมืองทั้งในจักรวรรดิรัสเซีย และดินแดนใต้การปกครองด้วยการประกาศ “คำแถลงนโยบายเดือนตุลาคม”(October Manifesto) เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๐๕ ให้สิทธิเสรีภาพแก่ประชาชนในการแสดงออกทางความคิดเห็นและการชุมนุม ตลอดจนการจัดตั้งสภาดูมา (Duma) ขึ้นเพื่อปฏิรูปการปกครองให้เป็นประชาธิปไตย แต่เมื่อทรงควบคุมสถานการณ์ทางการเมืองไว้ได้ก็ดำเนินการปราบปรามการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วจักรวรรดิอย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม ในช่วงสมัยการปกครองของสภาดูมาระหว่าง ค.ศ. ๑๙๐๖-๑๙๑๗ ลัตเวีย ได้ส่งผู้แทนเข้าร่วมในสภาดูมา และรัสเซีย ผ่อนคลายนโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบรัสเซีย ทั้งยอมให้มีการใช้ภาษาลัตเวีย ในงานเขียนและการติดต่อสื่อสารทั่วไป
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ เกิดขึ้น ผู้แทนลัตเวีย ในสภาดูมาประกาศสนับสนุนนโยบายสงครามของรัสเซีย แต่ความพ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องของรัสเซีย ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๑๕ ทำให้กองทัพเยอรมันรุกคืบหน้า และเข้ายึดครองคูร์เซเม และเซมกาเลทางภาคตะวันตกของลัตเวีย ได้ ชาวลัตเวีย ต้องอพยพหนีเข้าไปในรัสเซีย และรัฐบาลรัสเซีย สนับสนุนให้ผู้ีล้ภัยเหล่านี้ไปตั้งรกรากในแถบตะวันออกไกลและคอเคซัส (Caucasus) ขณะเดียวกันรัฐบาลรัสเซีย ก็โยกย้ายโรงงานอุตสาหกรรมและเครื่องจักรกลต่าง ๆ ในกรุงริกาและเมืองต่าง ๆ ของลัตเวีย มาไว้ที่รัสเซีย ตอนกลาง รัสเซีย ยังจัดตั้งสมาคมผู้อพยพลัตเวีย (Latvian RefugeeAssociations) และกรมทหารปืนไรเฟิลลัตเวีย (Latvian Rifles Regiment) ขึ้นเพื่อต่อต้านเยอรมนี องค์การทั้ง ๒ แห่งในเวลาอันสั้นกลายเป็นความหวังของชาวลัตเวีย ชาตินิยม เพราะการบริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพของสมาคมผู้อพยพลัตเวีย ทำให้สมาคมมีบทบาทเป็นที่ยอมรับของผู้อพยพและกลายเป็นศูนย์กลางการบริหารปกครองในการจะจัดตั้งรัฐลัตเวีย ขึ้นในอนาคต ส่วนกรมทหารปืนไรเฟิ ลลัตเวีย คือศูนย์กลางของกองทัพลัตเวีย ปัญญาชนชาตินิยมจึงเริ่มเคลื่อนไหวเพื่ออำนาจการปกครองตนเองภายหลังสงครามสิ้นสุดลง ความพ่ายแพ้ของกองทัพรัสเซีย ยังทำให้ทหารลัตเวีย ในกรมทหารปืนไรเฟิ ลลัตเวีย ที่มีนายทหารรัสเซีย เป็นผู้บังคับบัญชาไม่ต้องการสละชีวิตเพื่อรัสเซีย อีกต่อไป ทหารลัตเวีย จึงหันมาร่วมมือกับพรรคสังคมประชาธิปไตยลัตเวีย ที่สนับสนุนพรรคบอลเชวิคให้ยึดอำนาจทางการเมือง
หลังการปฏิวัติเดือนกุมภาพันธ์ (February Revolution) ค.ศ. ๑๙๑๗รัสเซีย มีการปกครองแบบทวิอำนาจ (dual power) ระหว่างรัฐบาลเฉพาะกาลกับสภาโซเวียต รัฐบาลเฉพาะกาลได้แต่งตั้งผู้แทนลัตเวีย ไปกรุงริกาเพื่อควบคุมดู แลการบริหารปกครองลัตเวีย แต่ประสบความล้มเหลวเพราะพรรคสังคมประชาธิปไตยลัตเวีย ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทหารลัตเวีย ยึดอำนาจทางการเมืองได้ก่อนและจัดตั้งสภาโซเวียตริกา (Riga Soviets) ขึ้นเป็นรัฐบาลเฉพาะกาลปกครอง ขณะเดียวกันตามเมืองต่าง ๆ ก็มีการจัดตั้งสภาโซเวียตขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม อำนาจการปกครองของสภาโซเวียตริกาก็ดำรงอยู่เพียงระยะเวลาอันสั้นเพราะในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ กองทัพเยอรมนี ได้บุกยึดครองกรุงริกาและพื้นที่ส่วนอื่น ๆได้ทั้งหมด
ในต้น ค.ศ. ๑๙๑๘ รัฐบาลบอลเชวิคซึ่งยึดอำนาจทางการเมืองในรัสเซีย ได้สำเร็จในการปฏิวัติเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ เปิดการเจรจากับเยอรมนี เพื่อทำสนธิสัญญาสันติภาพ รัสเซีย ถอนตัวออกจากสงครามได้สำเร็จด้วยการยอมลงนามในสนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์ (Brest-Litovsk) กับประเทศมหาอำนาจกลาง (CentralPowers) ประกอบด้วยเยอรมนี ออสเตรีย -ฮังการี บัลแกเรีย และตุรกีเมื่อวันที่ ๓มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ ตามข้อตกลงในสนธิสัญญาฉบับนี้ รัสเซีย ต้องสละสิทธิการปกครองในโปแลนด์ ฟินแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย และต้องยกดินแดนบางส่วนในทรานส์คอเคเซีย (Transcaucasia) ให้แก่ตุรกีเยอรมนี มีแผนจะจัดตั้งแกรนด์ดัชชีบอลติก (Baltic Grand Duchy) ขึ้นโดยไกเซอร์ิวลเลียมที่ ๒(William II ค.ศ. ๑๘๘๘-๑๙๑๘) เป็นประมุข แต่แผนดังกล่าวล้มเหลวเพราะเยอรมนี ปราชัยในสงครามและถูกฝ่ายสัมพันธมิตรบังคับให้ลงนามในสัญญาการสงบศึก (Armistice) ที่เมืองกงเปียญ (Compiègne) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงปารีสไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ ๘๐ กิโลเมตร เมื่อวันที่ ๑๑พฤศจิกายนค.ศ. ๑๙๑๘ อีก ๔ วันต่อมารัฐบาลโซเวียตก็ประกาศให้สนธิสัญญาเบรสต์-ลิตอฟสค์เป็นโมฆะ กลุ่มลัตเวีย ชาตินิยมและพรรคการเมืองต่าง ๆ จึงเห็นเป็นโอกาสจัดตั้งสภาแห่งชาติลัตเวีย (Latvian National Council) ขึ้น ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนขององค์การและพรรคการเมืองต่าง ๆ สภาแห่งชาติลัตเวีย จึงประกาศความเป็นเอกราชของลัตเวีย เมื่อวันที่ ๑๘พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๑๘ โดยมีคาร์ลิสอุลมานิส(Karlis Ulmanis) ผู้นำพรรคสหภาพชาวนา (Farmersû Union) เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ
ในช่วงเวลาที่เยอรมนี เริ่มถอนกำลังออกจากการยึดครองลัตเวีย นั้น รัฐบาลโซเวียตได้ส่งกองทัพแดง (Red Army) เข้าสู่กรุงริกาเพื่อยึดครองและนำไปสู่การเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองทัพแดงที่กลุ่มลัตเวีย บอลเชวิคให้การสนับสนุนกับกองทัพเยอรมันและกองทัพแห่งชาติลัตเวีย (Latvian National Army) ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๑๙ กองทัพแดงยึดครองลัตเวีย ได้และประกาศจัดตั้งสาธารณรัฐโซเวียต ลัตเวีย (Soviet Republic of Latvia) ขึ้นอุลมานิสและคณะรัฐบาลหนีภัยโดยอาศัยเรือรบอังกฤษไปจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาลที่เมืองท่าเลียปายา(Liepaja) และรวบรวมกำลัง เพื่อโค่นอำนาจกลุ่มโซเวียตลัตเวีย ในกลาง ค.ศ. ๑๙๑๙รัฐบาลเฉพาะกาลซึ่งได้รับการสนับสนุนกำลังอาวุธจากอังกฤษและฝรั่งเศส ก็สามารถขับไล่ทั้งฝ่ายเยอรมันและฝ่ายโซเวียตออกจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของลัตเวีย และเคลื่อนกำลังมุ่งสู่กรุงริกาจนมีชัยชนะ รัฐบาลโซเวียตลัตเวีย สิ้นสุดอำนาจลงเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ค.ศ. ๑๙๒๐ รัฐบาลเฉพาะกาลได้ดำเนินการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปกครองประเทศ ต่อมามีการลงนามสนธิสัญญาสันติภาพระหว่างลัตเวีย กับเยอรมนี เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๒๐ และสหภาพโซเวียตกับลัตเวีย เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๒๐ โดยสหภาพโซเวียตยอมล้มเลิกสิทธิต่าง ๆ ในลัตเวีย ในปีต่อมาสภาสัมพันธมิตรสูงสุด (Supreme Allied Council) ที่กรุงปารีสก็ประกาศรับรองสถานภาพของสาธารณรัฐลัตเวีย โดยนิตินัยเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคมค.ศ. ๑๙๒๑ และประเทศอื่น ๆ ก็ทยอยรับรองตามลำดับ ในปลายปี เดียวกันนั้นลัตเวีย ก็ได้รับการรับรองให้เป็นสมาชิกองค์การสันนิบาตชาติ(League of Nations)เมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ค.ศ. ๑๙๒๑
ลัตเวีย ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกเมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๙๒๒โดยปกครองในระบอบสาธารณรัฐระบบสภาเดียว (unicameral system) สมาชิกรัฐสภามีจำนวน ๑๐๐ คน ซึ่งเลือกตั้งทุก ๔ ปี ภาษาลัตเวีย เป็นภาษาราชการ และรัฐธรรมนูญให้สิทธิชนชาติส่วนน้อยในประเทศคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมของตนเอง ยานิสชาคสเต (Janis Cakste) เป็นประธานาธิบดีคนแรกของประเทศ (ค.ศ. ๑๙๒๒-๑๙๒๗)หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ รัฐบาลดำเนินการปฏิรูปที่ดินและเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่บอบช้ำของประเทศทั้งเริ่มพัฒนาอุตสาหกรรมขึ้นใหม่ เนื่องจากสหภาพโซเวียตไม่ยอมส่งเครื่องจักรกลอุตสาหกรรมที่ได้โยกย้ายไปไว้ในรัสเซีย กลับคืน ระหว่าง ค.ศ.๑๙๒๒-๑๙๒๔ ลัตเวีย มีรัฐบาลผสมบริหารประเทศ ๑๔ ชุด และการมีพรรคการเมืองจำนวนมากก็ทำให้รัฐบาลขาดเสถียรภาพ เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกตำคร่ ั้งใหญ่(Great Depression) ระหว่าง ค.ศ ๑๙๒๙-๑๙๓๒ กลุ่มการเมืองฝ่ายขวาก็โจมตีรัฐบาลและชาวเยอรมันเชื้อสายบอลติกก็สนับสนุนลัทธินาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์(Adolf Hitler ค.ศ. ๑๘๘๙-๑๙๔๕) ในต้น ค.ศ. ๑๙๓๔อุลมานิสซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๑๘ เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายเลือกตั้งแต่พรรคการเมืองอื่น ๆ ต่อต้านเพราะเกรงว่าพรรคสหภาพชาวนาของอุลมานิสจะกุมเสียงข้างมากในสภา เมื่ออุลมานิสสั่งยุบสาขาของพรรคภราดรภาพบอลติก(Baltic Brotherhood) ซึ่งเคลื่อนไหวให้รวมรัฐบอลติกเข้ากับจักรวรรดิไรค์ (Reich)ของเยอรมนี พรรคการเมืองฝ่ายขวาอื่น ๆ โดยเฉพาะพรรคฟาสซิสต์ลัตเวีย ที่มีชื่อเรียกว่า ทันเดอร์ครอสส์ (Thundercross) ก็เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลและโฆษณาปลุกระดมประชาชนให้สนับสนุนแนวความคิดลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)จนรัฐบาลควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๓๔ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศภาวะฉุกเฉิน และยุบสภารวมทั้งพรรคการเมืองทั้งหมดโดยปกครองประเทศแบบอำนาจนิยม (authoritarianism) นักการเมืองกว่า ๓๐๐ คนถูกจับคุมขังเป็นเวลา ๒ ปี ๖ เดือน และส่วนที่รอดพ้นจากการถูกจับก็อยู่ใต้การสอดส่องของตำรวจ ระบอบประชาธิปไตยในลัตเวีย จึงสิ้นสุดลง
ใน ค.ศ. ๑๙๓๙ เมื่อเยอรมนี เตรียมก่อสงครามและหาทางหลีกเลี่ยงการเปิดแนวรบสองด้านด้วยการลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างนาซี-โซเวียต(Nazi-Soviet Non-agression Pact) หรือที่เรียกกันว่ากติการิบเบนทรอพ-โมโลตอฟ(Ribbentrop-Molotov Pact) เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ เคานต์โยอาคิมฟอน ริบเบนทรอพ (Joachim von Ribbentrop) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเยอรมันได้จัดทำพิธีสารลับเพิ่มเติม (Secret SupplementaryProtocol) กับโจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin ค.ศ. ๑๘๗๙-๑๙๕๓) โดยให้สหภาพโซเวียตครอบครองดินแดนส่วนใหญ่ของโปแลนด์ ตะวันออก ฟินแลนด์ ลัตเวีย เอสโตเนีย และลิทัวเนีย และเยอรมนี จะยึดครองดินแดนโปแลนด์ ที่เหลือทั้งหมดการคุกคามทางทหารของสหภาพโซเวียตตามความตกลงลับดังกล่าวทำให้ลัตเวีย ถูกบีบให้ลงนามในสนธิสัญญาความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (Treaty of MutualAssistance) กับสหภาพโซเวียตเมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๓๙ โดยยอมให้สหภาพโซเวียตสร้างฐานทัพทางทหารในประเทศ สหภาพโซเวียตได้ส่งทหารกว่า ๓๐,๐๐๐คนเข้ามาประจำการในลัตเวีย อำนาจทางทหารของโซเวียตยังเปิดโอกาสให้พรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย มีบทบาทและอิทธิพลทางการเมืองมากขึ้น ในเดือนมิถุนายนค.ศ. ๑๙๔๐ สหภาพโซเวียตสร้างสถานการณ์เพื่อเข้ายึดครองลัตเวีย ด้วยการใช้เหตุการณ์ปะทะกันที่ด่านตรวจข้ามพรมแดนใกล้เมืองมาสเลนกี (Maslenki) ส่งกำลังทหารเข้ามารักษาความสงบ ชาวลัตเวีย ถูกสังหาร ๕ คนและอีก ๓๗ คนถูกจับรัฐบาลโซเวียตยื่นคำขาดให้มีการจัดตั้งรัฐบาลลัตเวีย ชุดใหม่ และให้กองทัพโซเวียตเข้ามารักษาความสงบในลัตเวีย รัฐบาลลัตเวีย ซึ่งต้องการหลีกเลี่ยงการนองเลือดยอมรับคำขาดของสหภาพโซเวียตและสั่งให้กองทหารลัตเวีย ยอมจำนน สหภาพโซเวียตจึงเข้ายึดครองลัตเวีย ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ และต่อมาก็ประกาศผนวกลัตเวีย เป็นส่วนหนึ่งของประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคมค.ศ. ๑๙๔๐ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กองทัพโซเวียตก็เข้ายึดครองเอสโตเนีย ลิทัวเนีย และฟินแลนด์ ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม สหรัฐอเมริกาไม่ยอมรับการผนวก ๓ รัฐบอลติกของสหภาพโซเวียต ซัมเนอร์เวลส์ (Sumner Welles) ปลัดกระทรวงการต่างประเทศได้ออกประกาศที่เรียกว่า คำประกาศซัมเนอร์ (Sumnerûs Declaration) เมื่อวันที่ ๒๓กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ ว่าการผนวกรัฐบอลติกเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรมตามกฎหมายและสหรัฐอเมริกายังคงยอมรับโดยนิตินัย (de jure recognition) สถานภาพการดำรงอยู่ของสาธารณรัฐลัตเวีย ประเทศตะวันตกอื่น ๆ ก็ออกประกาศเช่นเดียวกันดังนั้น สาธารณรัฐลัตเวีย ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๙๑ จึงยังคงความเป็นรัฐอธิปไตยตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมีผู้แทนทางการทูตและกงสุลปฏิบัติงานบางด้านที่เกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐลัตเวีย อยู่ในสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศตะวันตกอื่น ๆ ตลอดระยะเวลา ๔๑ ปีดังกล่าว
รัฐบาลลัตเวีย ชุดใหม่ที่สหภาพโซเวียตสนับสนุนได้นำระบอบการปกครองแบบโซเวียตมาประยุกต์ใช้และเริ่มเข้าควบคุมทางสังคมอย่างเข้มงวด ในกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ รัฐสภาลัตเวีย หรือซาเอย์มา (Saeima) ก็ดำเนินการเลือกตั้งทั่วไปโดยผู้แทนสภาที่ได้รับการเลือกตั้งล้วนเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์หรือที่สนับสนุนแนวนโยบายคอมมิวนิสต์ ส่วนฝ่ายตรงข้ามจะถูกจับกุมและกลั่นแกล้งไม่ให้มีโอกาสได้รับเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม รัฐสภาที่เรียกกันต่อมาว่ารัฐสภาปลอมก็เปิดประชุมสมัยแรกและมีมติให้ลัตเวีย เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพโซเวียตซึ่งในทางปฏิบัติเป็นการดำเนินการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สหภาพโซเวียตก็รับลัตเวีย เข้าเป็นสมาชิกเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๔๐ สหภาพโซเวียตได้ใช้นโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบโซเวียต (Sovietization) ปกครองลัตเวีย และภายในเวลาเพียง ๑ เดือน ธุรกิจอุตสาหกรรมใหญ่ ๘๐๐ แห่งก็ถูกโอนเป็นของรัฐและกิจการธนาคารของประเทศถูกรวมเข้ากับธนาคารชาติโซเวียต (Soviet StateBank) ทั้งเงินออมของประชาชนที่มากกว่า ๑,๐๐๐ รูเบิลจะถูกยึดเป็นของรัฐ มีการปฏิรูปการศึกษาโดยปลดครูอาจารย์ชาวลัตเวีย ที่เก่งทางด้านวิชาการต่าง ๆ ออกและบรรจุบุคคลที่มีคุณสมบัติทางวิชาการตำเข่ ้าสอนแทน ภาษารัสเซีย เป็นภาษาบังคับที่ทุกโรงเรียนและสถาบันต้องเปิดสอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ ๔ ชั่วโมง ขณะเดียวกันมีการจำหน่ายหนังสือกว่า ๔,๐๐๐ชื่อเรื่องที่มีเนื้อหาต้องห้ามออกจากห้องสมุดทั่วประเทศ และนักเขียนที่ถือว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศจะถูกจับกุมกวาดล้าง ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๔๑ มีการจับกุมประชาชนด้วยข้อหาเป็นอาชญากรทางการเมืองทุกเดือนรวมกว่า ๗,๒๙๒ คน และ ๑,๕๐๐ คนถูกตัดสินประหาร ต่อมาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๑พลเมืองลัตเวีย กว่า ๑๔,๐๐๐ คนถูกเนรเทศไปไซบีเรีย หรือส่งไปค่ายกักกันแรงงาน (Collective Labour Camp)
เมื่อเยอรมนี บุกโจมตีสหภาพโซเวียตโดยใช้ยุทธวิธีสงครามสายฟ้าแลบ(Blitzkrieg) ในปลายเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๑ เยอรมนี ได้เข้ายึดครองลัตเวีย ด้วยซึ่งประชาชนจำนวนไม่น้อยให้การสนับสนุนเยอรมนี เพราะถือว่าเป็นผู้ช่วยปลดปล่อยจากอำนาจโซเวียต เยอรมนี ได้สร้างเขตกักบริเวณชาวยิว (ghetto) นอกกรุงริกาและค่ายกักกัน (Concentration Camp) ตามพรมแดน ประมาณว่าชาวลัตเวีย จำนวน ๒,๕๐๐ คนร่วมมือสนับสนุนเยอรมนี ในการกำจัดพลเมืองลัตเวีย เชื้อสายยิวและกลุ่มบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ก็มีพลเมืองลัตเวีย จำนวนไม่น้อยอาสาสมัครเข้าประจำการในกองทัพนาซี อย่างไรก็ตามชาวลัตเวีย ที่รักชาติีอกมากก็เคลื่อนไหวใต้ดินต่อต้านนาซีและประสานงานกับฝ่ายพันธมิตรเพื่อปลดปล่อยประเทศจากการยึดครอง ในช่วงที่เยอรมนี ปกครองลัตเวีย นั้นเยอรมนี ได้บีบเค้นทรัพยากรทั้งวัตถุดิบและกำลังคนเพื่อสนับสนุนนโยบายสงครามและกวาดต้อนพลเมืองลัตเวีย กว่า ๓๕,๐๐๐ คนไปเป็นแรงงานที่เยอรมนี เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ลัตเวีย จึงเป็นประเทศที่อยู่ในความหายนะ เพราะบ้านเมืองเสียหายอย่างยับเยินจากการทำสงครามระหว่างนาซีกับขบวนการใต้ดินและการปะทะกันระหว่างเยอรมนี กับสหภาพโซเวียตและฝ่ายพันธมิตร เขตชนบทเต็มไปด้วยลวดหนามและกับระเบิด ประมาณว่าจำนวนพลเมืองลดน้อยลงมากกว่าร้อยละ ๓๐ ของช่วงก่อนสงคราม และอัตราการสูญหายของพลเมืองลัตเวีย เชื้อสายยิวก็สูงที่สุดในยุโรปด้วย
สหภาพโซเวียตซึ่งกลับมาปกครองลัตเวีย อีกครั้งหนึ่งในช่วงหลังสงครามได้ใช้นโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบโซเวียตอย่างเข้มงวด และเรียกชื่อประเทศว่าสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลัตเวีย ขณะเดียวกันก็ดำเนินนโยบายปรับระบบเศรษฐกิจลัตเวีย เป็นอุตสาหกรรมเพื่อให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจของโซเวียต ชาวนาถูกบังคับให้เข้าร่วมโครงการนารวมแต่ได้รับการต่อต้าน รัฐบาลจึงเนรเทศชาวนาที่ถูกกล่าวหาเป็นพวกชาวนารวยกว่า ๔๓,๐๐๐ คนไปไซบีเรียการเนรเทศมีส่วนทำให้ร้อยละ ๙๘ ของชาวนาใน ค.ศ. ๑๙๕๒ เข้าร่วมนารวม ระหว่างค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๕๕ สหภาพโซเวียตสนับสนุนแรงงานชาวโซเวียตกว่า ๕๓๕,๐๐๐ คนเข้ามาตั้งถิ่นฐานในลัตเวีย และใน ค.ศ. ๑๙๔๖ มีชาวโซเวียต ๔๑,๐๐๐ คน มาจัดตั้งเขตชุมชนอุตสาหกรรมทั่วกรุงริกา รวมทั้งมีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จำนวน๙,๐๐๐ คน ถูกส่งมาบริหารปกครององค์กรพรรคระดับต่างๆ ในลัตเวีย การต่อต้านนโยบายของโซเวียตจะถูกลงโทษอย่างหนัก ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๔๕-๑๙๕๓ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการกวาดล้างครั้งสุดท้ายในสหภาพโซเวียตที่มีสตาลินเป็นผู้นำ ในลัตเวีย ช่วงเวลาเดียวกันก็มีการจับกุมและเนรเทศชาวลัตเวีย ที่ต่อต้านโซเวียตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รัฐบาลห้ามจัดงานประเพณีและวัฒนธรรมของลัตเวีย บังคับให้เรียนภาษาและวัฒนธรรมโซเวียต รวมทั้งมีการเปลี่ยนชื่อเมือง ถนน จตุรัสและสถานที่สำคัญ ๆ ให้เป็นชื่อนักปฏิวัติหรือวีรบุรุษของโซเวียต ตลอดจนให้เขียนประวัติศาสตร์ลัตเวีย ใหม่โดยชี้ให้เห็นว่ารัฐบอลติกตั้งแต่แรกเริ่มเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซีย และสหภาพโซเวียตมาก่อน
เมื่อนีกีตา เซียร์เกเยวิช ครุชชอฟ (Nikita Sergeyevich Khrushchevค.ศ. ๑๘๙๔-๑๙๗๑) เริ่มนโยบายการล้มล้างอิทธิพลสตาลิน (De-Stalinization)เพื่อทำลายแนวความคิดลัทธิการบูชาบุคคล (Cult of Personality) และกลุ่มนิยมสตาลินทั้งในสหภาพโซเวียตและประเทศรัฐบริวาร ครุชชอฟได้ผ่อนปรนความเข้มงวดทางสังคมและให้ประชาชนลัตเวีย มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกมากขึ้นปัญญาชนและประชาชน ๓๐,๐๐๐ คนที่ได้รับการปล่อยตัวจากค่ายกักกันแรงงานจึงกลับมามีบทบาททางสังคมในการเคลื่อนไหวสร้างจิตสำนึกทางวัฒนธรรม วิิลสครูมินส์ (Vilis Krumins) ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย ที่ขึ้นมามีอำนาจแทนคอมมิวนิสต์นิยมสตาลินที่ถูกปลดออกสนับสนุนการสร้างสรรค์วัฒนธรรมชาติและการใช้ภาษาลัตเวีย ในหน่วยงานพรรคทุกระดับ รวมทั้งให้เพิ่มการสอนภาษาและวรรณคดีลัตเวีย ในสถาบันอุดมศึกษา อย่างไรก็ตาม แนวทางคอมมิวนิสต์ชาตินิยมในลัตเวีย ก็ดำรงอยู่ในช่วงเวลาอันสั้นเพราะการสิ้นสุดอำนาจของครุชชอฟทำให้เลโอนิดอิลยิช เบรจเนฟ (Leonid Ilyich Brezhnev ค.ศ. ๑๙๐๖-๑๙๘๒) ผู้นำคนใหม่ของสหภาพโซเวียตยกเลิกนโยบายการผ่อนคลายทางสังคมและการเมืองเบรจเนฟปลดคอมมิวนิสต์ชาตินิยมกว่า ๒,๐๐๐ คนออกจากอำนาจและแต่งตั้งคอมมิวนิสต์หัวอนุรักษ์ที่สนับสนุนโซเวียตให้ดำรงตำแหน่งแทน และดำเนินนโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบโซเวียตอย่างเข้มงวดอีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันโซเวียตก็เร่งพัฒนาลัตเวีย ให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ทันสมัย ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๖๑-๑๙๘๙แรงงานชาวโซเวียต ๑,๔๖๖,๗๐๐ คน เข้ามาทำงานในลัตเวีย และกว่า ๓๓๐,๐๐๐ คนตั้งรกรากอย่างถาวร ชาวลัตเวีย ต่อต้านแรงงานต่างชาติเหล่านี้มากและกลายเป็นปัญหาขัดแย้งทางสังคม ขณะเดียวกันชาวลัตเวีย ก็ต่อต้านสถาบันปกครองโซเวียตอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่งด้วยการเคลื่อนไหวใต้ดินและทำสงครามจรยุทธ์ในเขตชนบทเหมือนช่วงทศวรรษ ๑๙๔๐ ถึงต้นทศวรรษ ๑๙๕๐
ในทศวรรษ ๑๙๗๐ ลัตเวีย เป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้าและทันสมัยทั้งนับเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญของสหภาพโซเวียต ปัญหาทางสังคมที่ลัตเวีย ประสบคือการอพยพของชาวชนบทเข้าสู่เมืองเพื่อแสวงหาชีวิตที่ดีขึ้นรวมทั้งจำนวนแรงงานรัสเซีย ที่เพิ่มมากขึ้นจนชาวลัตเวีย เริ่มกลายเป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศของตนเอง ปัญหาอาชญากรรม การหย่าร้าง และการทำแท้ง รวมถึงการฆ่าตัวตายตลอดจนการติดสุรากลายเป็นปัญหาหลักทางสังคม ปัญญาชนจึงพยายามรวมตัวกันเป็นกลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านความทันสมัยที่กำลังคุกคามสังคมและนโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบโซเวียต มีการรณรงค์ฟื้นฟูงานศิลปะพื้นบ้าน ขนบประเพณีท้องถิ่นให้เป็นที่สนใจทั้งภายในและภายนอกประเทศ ในค.ศ. ๑๙๗๑ เอดูอาดส์ เบียร์คลัฟส์ (Eduards Berklavs) ผู้นำคนสำคัญของกลุ่มปัญญาชนได้ทำจดหมายเปิดผนึกที่ชื่อว่า “สารของคอมมิวนิสต์ ๑๗ คน”(Letter ofthe Seventeen Communists) ถึงพรรคคอมมิวนิสต์ยุโรปต่าง ๆ โจมตีนโยบายการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นแบบโซเวียต และการยึดครองลัตเวีย ของสหภาพโซเวียตที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มนอกรีต (dissidents)ในประเทศยุโรปตะวันออกที่ต่อต้านโซเวียต การเคลื่อนไหวของปัญญาชนกลุ่มนี้ก็ประสบความสำเร็จไม่มากนักเพราะประชาชนส่วนใหญ่แทบจะไม่รู้จักพวกเขาและการที่รัฐบาลควบคุมสื่อมวลชนอย่างเข้มงวดก็ทำให้การเคลื่อนไหวของกลุ่มไม่เป็นที่รับรู้กัน
ใน ค.ศ. ๑๙๘๕ เมื่อประธานาธิบดีมีฮาอิล เซียร์เกเยวิช กอร์บาชอฟ (MikhailSergeyevich Gorbachev ค.ศ. ๑๙๓๑- ) เข้าดำรงตำแหน่งผู้นำคนใหม่ของสหภาพโซเวียตต่อจากคอนสตันติน อุสตีโนวิช เชียร์เนนโค (Konstantin UstinovichChernenko ค.ศ. ๑๙๑๑-๑๙๘๕) กอร์บาชอฟได้เสนอนโยบายกลาสนอสต์-เปเรสตรอยกา (Glasnost-Perestroika) หรือนโยบายเปิด-ปรับ เพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยและเน้นความร่วมมือกับนานาประเทศ การปฏิรูปทางการเมืองและสังคมในสหภาพโซเวียตดังกล่าวเปิดโอกาสให้ปัญญาชนลัตเวีย ใช้เงื่อนไขของนโยบายกลาสนอสต์-เปเรสตรอยกาเคลื่อนไหวเรียกร้องอำนาจอธิปไตยภายในประเทศด้วย การเคลื่อนไหวของปัญญาชนเกิดขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๘๖ เพื่อต่อต้านโครงการสร้างเขื่อนและโรงงานไฟฟ้าพลังน้ำของโซเวียตบริเวณแม่น้ำเดากาวา ปัญญาชนได้รวมตัวกันจัดตั้งเป็นสโมสรพิทักษ์ิส่งแวดล้อม (Environment Protection Club) ขึ้นซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นพรรคกรีนลัตเวีย (Latvian Green Party) รณรงค์การอนุรักษ์ธรรมชาติและต่อต้านโครงการที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นตลอดจนต่อต้านแรงงานโซเวียตที่จะเข้ามาในประเทศมากขึ้น การเคลื่อนไหวประสบความสำเร็จโดยสหภาพโซเวียตยอมล้มเลิกโครงการและนับเป็นชัยชนะครั้งแรกของพลังมวลชนต่ออำนาจรัฐ ความสำเร็จของการเคลื่อนไหวครั้งนี้ผลักดันให้กรรมกรเมืองท่าเลียปายาทางภาคตะวันตกของประเทศจัดตั้งกลุ่ม “เฮลซิงกิ-๘๖”(Helsinki-86) ขึ้นในกลาง ค.ศ. ๑๙๘๖ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนจากการเอารัดเอาเปรียบของแรงงานโซเวียต และติดตามเฝ้ามองด้านการคุกคามทางวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม กลุ่มดังกล่าวยังประสานการเคลื่อนไหวดำเนินงานกับกลุ่มสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ ในเอสโตเนีย และลิทัวเนีย ตำรวจลับพยายามคุกคามและกวาดล้างกลุ่มดังกล่าวทั้งเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวอย่างเข้มงวด การข่มขู่คุกคามดังกล่าวทำให้กลุ่มเฮลซิงกิร่วมกับกลุ่มปัญญาชนอื่น ๆเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ในวันที่ ๑๔ มิถุนายน ค.ศ ๑๙๘๗ ซึ่งตรงกับวันที่สหภาพโซเวียตเนรเทศพลเมืองลัตเวีย ในวันดังกล่าวมีประชาชนกว่า ๕,๐๐๐ คนมาร่วมชุมนุมและนับเป็นการแสดงออกทางการเมืองครั้งแรกในลัตเวีย ในเดือนสิงหาคมต่อมาซึ่งเป็นวาระครบรอบ ๔๕ ปีของการลงนามในกติกาสัญญาไม่รุกรานต่อกันระหว่างนาซี-โซเวียต มีการเดินขบวนต่อต้านโซเวียตและเรียกร้องอำนาจอธิปไตยของลัตเวีย
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๘๘ ปัญญาชนกลุ่มต่าง ๆ จัดประชุมขึ้นที่กรุงริกาเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองรวมทั้งให้ชำระประวัติศาสตร์ของประเทศที่ถูกครอบงำจากสหภาพโซเวียตเพื่อสร้างความถูกต้องในประวัติศาสตร์ ระหว่างการประชุมมาฟริค วุลฟ์ซอน (MavrikVulfson) นักหนังสือพิมพ์และนักวิเคราะห์การเมืองที่เป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ได้เปิดประเด็นท้าทายอำนาจการปกครองของโซเวียตโดยกล่าวว่าลัตเวีย ถูกสหภาพโซเวียตใช้กำลังเข้ายึดครองใน ค.ศ. ๑๙๔๐ ความเห็นดังกล่าวได้นำไปสู่การอภิปรายโต้แย้งและการเคลื่อนไหวต่อต้านความไม่ชอบธรรมในการปกครองทางกฎหมายของโซเวียตและต่อต้านชาวโซเวียตลัตเวีย มีการจัดตั้งขบวนการเอกราชชาติลัตเวีย (Latvian National Independent Movement - LNNK) ขึ้นซึ่งนับเป็นขบวนการมวลชนระดับชาติครั้งแรกทึ่เคลื่อนไหวเพื่อเอกราช ต่อมาในเดือนตุลาคม มีการจัดตั้งกลุ่มแนวร่วมลัตเวีย (Latvian Popular Front - LTF) ขึ้นและในเวลาอันสั้นก็มีสมาชิกกว่า ๒๕๐,๐๐๐ คนซึ่งนับเป็นกลุ่มประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ขบวนการเอกราชชาติลัตเวีย และกลุ่มแนวร่วมลัตเวีย ต่างผนึกกำลังกันกดดันสหภาพโซเวียตเพื่อเอกราช และรณรงค์ให้ใช้ภาษาลัตเวีย เป็นภาษาราชการ รวมทั้งให้นำธงชาติก่อน ค.ศ. ๑๙๔๐ มาเป็นธงประจำชาติการเคลื่อนไหวทางการเมืองดังกล่าวทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย แตกแยกเป็น ๒ กลุ่มคือกลุ่มที่สนับสนุนโซเวียตซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่กับกลุ่มที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของประชาชนซึ่งต่อมาถูกขับออกจากพรรค สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่ถูกขับจึงเข้าร่วมสนับสนุนกลุ่มแนวร่วมลัตเวีย กลุ่มแนวร่วมลัตเวีย ซึ่งมีบทบาทและอิทธิพลมากขึ้นยังหันมารณรงค์ให้ชนชาติกลุ่มน้อยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกเบโลรัสเซีย ยูเครน โปลยิปซียิวและอื่น ๆ เข้าร่วมสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชด้วย
ในการเลือกตั้งผู้แทนสภาทั่วไปในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๘๙ ผู้แทนของกลุ่มแนวร่วมลัตเวีย ได้รับเลือกเข้าสู่สภาเป็นจำนวนมากและทำให้การผูกขาดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ในสภาถูกทำลายลง ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๘๙รัฐสภาลัตเวีย ประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยให้กฎหมายของสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตลัตเวีย อยู่เหนือกฎหมายของสหภาพสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียต ขณะเดียวกัน ก็เตรียมการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสภาโซเวียตลัตเวีย สูงสุดด้วยการจัดตั้งคณะกรรมาธิการประชาชน (Citizens Committee) ขึ้น คณะกรรมาธิการดังกล่าวเรียกร้องให้ชาวลัตเวีย ที่อาศัยในประเทศก่อนถูกสหภาพโซเวียตเข้ายึดครองในค.ศ. ๑๙๔๐ มาลงทะเบียนเพื่อแสดงประชามติว่าต้องการสนับสนุนการแยกตัวหรือไม่ ผู้ที่มาลงทะเบียนเกือบ ๙๐๐,๐๐๐ คนสนับสนุนการเรียกร้องเอกราชและทำให้การแยกตัวออกมีความชอบธรรมมากขึ้น นอกจากนี้ ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๘๙ซึ่งเป็นวาระครบรอบ ๕๐ ปีของกติกาสัญญาไม่รุกรานกันระหว่างนาซี-โซเวียตที่นำไปสู่การยึดครองรัฐบอลติกของสหภาพโซเวียต กลุ่มแนวร่วมประชาชนของทั้ง ๓ รัฐบอลติกได้รวมพลังประชาชนจาก ๓ สาธารณรัฐจับมือกันเป็นลูกโซ่ยาว ๗๐๐ กิโลเมตรตั้งแต่กรุงทาลลินน์ (Tallinn) เมืองหลวงของเอสโตเนีย ผ่านกรุงริกาจนถึงกรุงวิลนีอุส(Vilnius) เมืองหลวงของลิทัวเนีย การต่อต้านอย่างสันติที่เรียกว่า “สายโซ่บอลติก”(Baltic Chain) ซึ่งประชาชนของสามรัฐบอลติกเข้าร่วมกว่า ๑.๕ ล้านคนได้รับความสนใจจากนานาชาติและเป็นการเรียกร้องเอกราชอย่างสันติที่มีพลังทั้งสร้างสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างรัฐบอลติกทั้ง ๓ ประเทศ
ต่อมา ในการเลือกตั้งผู้แทนรัฐสภาโซเวียตลัตเวีย สูงสุดในเดือนมีนาคมค.ศ. ๑๙๙๐ ผู้แทนกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยลัตเวีย ได้รับเลือกถึง ๑๓๔ ที่นั่งจากจำนวน ๒๐๐ ที่นั่ง ชัยชนะทางการเมืองดังกล่าวได้นำไปสู่การเคลื่อนไหวแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียตโดยวิถีทางรัฐสภา รัฐสภาโซเวียตลัตเวีย สูงสุดได้ยึดแนวทางการแยกตัวเป็นเอกราชของเอสโตเนีย เป็นแบบอย่างโดยออก “คำประกาศว่าด้วยเอกราชใหม่ของสาธารณรัฐลัตเวีย ”(Declaration about the Renewal of theIndependence of the Republic of Latvia) ซึ่งกำหนดว่าจะมีช่วงเวลาดำเนินการระยะหนึ่งเพื่อปรับระบอบการปกครองไปสู่ความเป็นเอกราชที่เรียกว่า “สมัยการเปลี่ยนผ่าน”ในสมัยการเปลี่ยนผ่านดังกล่าวมีรัฐบาลคู่ คือ รัฐบาลลัตเวีย กับรัฐบาลโซเวียต รัฐบาลลัตเวีย จะพยายามปรับระบบการเงินและการค้า การป้องกันความมั่นคงภายใน การต่างประเทศและอื่น ๆ ให้มั่นคงก่อนจะประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย หัวอนุรักษ์รวมทั้งกองทัพต่อต้านการดำเนินการดังกล่าว และในต้น ค.ศ. ๑๙๙๑ได้ใช้กำลังเข้ายึดครองอาคารสำนักพิมพ์และประชาสัมพันธ์รวมทั้งสถานีโทรทัศน์ขณะเดียวกันพรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย เอสโตเนีย และลิทัวเนีย ก็เคลื่อนไหวจัดตั้งคณะกรรมาธิการปลดปล่อยแห่งชาติ (National Salvation Committees)ขึ้นและเรียกร้องให้ยุบรัฐสภา ผู้นำกลุ่มแนวร่วมประชาชนลัตเวีย จึงเรียกร้องให้ประชาชนรวมพลังกันป้องกันอาคารสถานที่ราชการอื่น ๆ ที่จะถูกโจมตีและถูกยึดครองและให้ชุมนุมต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ลัตเวีย และกองทัพโดยสันติิวีธ มีการปะทะกันขึ้นและนานาชาติก็เคลื่อนไหวโจมตีการใช้กำลังของสหภาพโซเวียต กระแสการกดดันทั้งภายในและภายนอกประเทศทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ยอมยุติการปราบปราม ในต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ รัฐบาลลัตเวีย ให้มีการลงประชามติแยกตัวผลปรากฏว่าร้อยละ ๗๓.๖๘ สนับสนุนการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต
ประธานาธิบดีกอร์บาชอฟพยายามแก้ไขปั ญหาเรื่องการแยกตัวของสาธารณรัฐใต้การปกครองด้วยการเสนอร่างสนธิสัญญาใหม่แห่งสหภาพ (NewTreaty of Union) ด้วยการยอมให้รัฐบาลสาธารณรัฐโซเวียตต่าง ๆ มีอำนาจอธิปไตยในการดำเนินนโยบายภายในอย่างอิสระและให้มีสถานทู ตของตนเองในต่างประเทศ แต่นโยบายสำคัญ ๆ เช่น การป้องกันประเทศ การจัดทำงบประมาณและการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะรับผิดชอบร่วมกัน สนธิสัญญาใหม่แห่งสหภาพกำหนดให้ทุกสาธารณรัฐโซเวียตลงนามรับรองในวันที่ ๒๐ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๑แต่ในเดือนมีนาคมปี เดียวกัน ลัตเวีย และอีก ๒ รัฐบอลติกรวมทั้งสาธารณรัฐอาร์เมเนียจอร์เจีย และมอลเดเวีย (Moldavia) ก็ประกาศปฏิเสธที่จะลงนามรับรอง
ต่อมา ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ กองทัพและกลุ่มคอมมิวนิสต์หัวอนุรักษ์ในโซเวียตซึ่งไม่พอใจนโยบายการปฏิรูปของกอร์บาชอฟ และต่อต้านร่างสนธิสัญญาใหม่แห่งสหภาพได้รวมตัวกันก่อรัฐประหารเพื่อยึดอำนาจจากกอร์บาชอฟในขณะที่อยู่ระหว่างการพักผ่อนที่ไครเมีย แต่รัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่๑๙ สิงหาคมและดำเนินต่อไปเป็นเวลาเกือบ ๑ สัปดาห์ประสบความล้มเหลว เพราะประชาชนซึ่งมีบอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin) เป็นผู้นำรวมพลังกันต่อต้านจนได้รับชัยชนะ ในช่วงที่เกิดรัฐประหารในกรุงมอสโก ลัตเวีย เห็นเป็นโอกาสประกาศการสิ้นสุดของช่วงสมัยการเปลี่ยนผ่านเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ และถือว่าได้เอกราชอย่างสมบูรณ์โดยพฤตินัย สภาลัตเวีย สูงสุดประกาศให้นำรัฐธรรมนูญฉบับค.ศ. ๑๙๒๒ กลับมาใช้และกำหนดการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งที่ ๕ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังได้เอกราชขึ้นในเดือนมิถุนายน ค.ศ. ๑๙๙๓ โดยกำหนดเขตเลือกตั้งเป็น ๕ ภูมิภาค คือริกา วิดเซเม เซมกาเล คูร์เซเม และลัตเกเล ขณะเดียวกันสภาลัตเวีย สูงสุดได้เรียกร้องให้สหภาพโซเวียตถอนหน่วยทหารเกือบ ๖๐๐ หน่วย รวมทั้งทหารกว่า ๕๑,๐๐๐ คนออกจากประเทศ แต่รัฐบาลโซเวียตพยายามหน่วงเหนี่ยวเวลาโดยประกาศจะเริ่มถอนกำลังในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ. ๑๙๙๒ และดำเนินการให้แล้วเสร็จใน ค.ศ. ๑๙๙๔ กองทหารโซเวียตชุดสุดท้ายได้ถอนกำลังออกจากลัตเวีย ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. ๑๙๙๔ แต่ลัตเวีย ก็ยอมให้สหพันธรัฐรัสเซีย ยังคงเช่าครองสถานีเรดาร์ที่เมืองสครุนดา (Skrunda) ไว้จนถึงเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๙๙สหรัฐอเมริกาประกาศรับรองความเป็นเอกราชของลัตเวีย เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ค.ศ.๑๙๙๑ และอีก ๓ วันต่อมาก็สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเต็มรูปแบบกับสาธารณรัฐลัตเวีย ในปี เดียวกันสหภาพโซเวียตและประเทศตะวันตกอื่น ๆ ก็เริ่มทยอยรับรองเอกราชของลัตเวีย ด้วย ในวันที่ ๑๗ กันยายน ลัตเวีย ก็เข้าเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ(United Nations)
หลังการประกาศเอกราช ในเดือนตุลาคม ค.ศ. ๑๙๙๑ สภาสูงสุดแห่งสาธารณรัฐลัตเวีย (Supreme Council of the Republic of Latvia) ก็คืนสิทธิความเป็นพลเมืองให้แก่ประชากรเชื้อสายลัตเวีย ซึ่งเคยเป็นพลเมืองของสาธารณรัฐลัตเวีย ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๔๐ รวมทั้งให้สิทธิพลเมืองแก่พวกลูกหลานด้วย การคืนสิทธิดังกล่าวทำให้จำนวนประชากรลัตเวีย เพิ่มมากขึ้น และมีเพียงร้อยละ ๒๕ ของประชากรเท่านั้นที่ถือว่าไม่ใช่พลเมืองลัตเวีย ใน ค.ศ. ๑๙๙๔ มีการออกกฎหมายกำหนดหลักการของประชากรสัญชาติือ่น ๆ ที่ต้องการเป็นพลเมืองลัตเวีย โดยต้องมีคุณสมบัติพื้นฐานคือ สามารถอ่านออกเขียนได้เป็นภาษาลัตเวีย มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญ และต้องพำนักอาศัยในประเทศไม่น้อยกว่า ๕ ปีทั้งต้องให้คำปฏิญาณจะจงรักภักดีต่อประเทศ ส่วนชาวลัตเวีย ที่เกิดนอกประเทศก็จะได้สิทธิความเป็นพลเมืองใน ค.ศ. ๒๐๐๕ ปรากฏว่าประชากรที่ไม่มีเชื้อสายลัตเวีย ซึ่งขึ้นทะเบียนขอสิทธิจำนวน ๖๙๐,๔๖๑ คนใน ค.ศ. ๑๙๙๔ ขอเป็นพลเมืองรวม ๖๗๐,๒๐๑ คนและระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๕-๑๙๙๘ ชาวรัสเซีย อพยพกว่า ๒๐๐,๐๐๐คน ก็ขอสิทธิเข้าเป็นพลเมืองของประเทศ ทำให้ปัญหาการมีพลเมืองเชื้อสายลัตเวีย จำนวนน้อยซึ่งมีมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๙๔๐ สิ้นสุดลงนับว่าลัตเวีย สามารถแก้ปัญหาเรื่องประชากรของประเทศได้สำเร็จ
หลัง ค.ศ. ๑๙๙๑ เป็นต้นมา ลัตเวีย กำหนดแนวนโยบายต่างประเทศด้วยการมุ่งธำรงรักษาความเป็นอธิปไตยไว้เพื่อป้องกันไม่ให้สูญเสียเอกราชอีกต่อไป และเน้นการเสริมสร้างความร่วมมือและความมั่นคงร่วมกันกับประเทศลิทัวเนีย เอสโตเนีย กลุ่มประเทศนอร์ดิก โปแลนด์ และเยอรมนี ใน ค.ศ. ๑๙๙๒ ทั้ง ๓ ประเทศบอลติกประกาศยกเลิกข้อจำกัดทางการค้าระหว่างกันและให้พลเมืองใช้หนังสือประทับตราเดินทางร่วมกัน ในปี เดียวกันเดนมาร์ก เยอรมนี และ ๓ รัฐบอลติกก็ร่วมมือกันจัดตั้งสภาแห่งรัฐทะเลบอลติก (Council of the Baltic Sea States - CBSS) ขึ้นที่กรุงโคเปนเฮเกน (Copenhagen) สมาชิกประกอบด้วยเดนมาร์ก สวีเดน ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ ลัตเวีย ลิทัวเนีย เอสโตเนีย โปแลนด์ เยอรมนี และสหพันธรัฐรัสเซีย วัตถุประสงค์สำคัญคือการร่วมมือกันปกป้องสิ่งแวดล้อมและแลกเปลี่ยนข้อมู ลข่าวสารระหว่างภูมิภาคเพื่อความมั่นคงร่วมกัน สภาแห่งรัฐทะเลบอลติกเป็นองค์การระหว่างประเทศองค์การแรกที่ลัตเวีย มีความเสมอภาคเท่าเทียมประเทศต่าง ๆและใน ค.ศ. ๑๙๙๗ ผู้แทนลัตเวีย ได้รับเลือกเป็นประธานสภาฯ ใน ค.ศ. ๑๙๙๓ทั้ง ๓ รัฐบอลติกร่วมกันจัดตั้งหน่วยรักษาสันติภาพ (Peace-keeping Units) ขึ้นเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงระหว่างประเทศ และความสำเร็จของการดำเนินงานได้นำไปสู่การจัดตั้งกองทัพบอลติก (Baltic Battalion) หรือที่เรียกว่า บอลต์แบต(BALTBAT) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๙๔ โดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษให้การสนับสนุนกองทัพบอลติกเป็นองค์การร่วมมือทางทหารเพื่อเสริมสร้างการป้องกันร่วมกันและเพื่อพัฒนากองทัพให้เข้มแข็งเพื่อเตรียมเข้าเป็นสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต (North Atlantic Treaty Organization - NATO) ซึ่งลัตเวีย ได้เข้าเป็นสมาชิกใน ค.ศ. ๒๐๐๓ ในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๘ สหรัฐอเมริกาลงนามร่วมกับ ๓ รัฐบอลติกสนับสนุนให้ทั้ง ๓ ประเทศเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศอื่น ๆ
ตั้งแต่กลางทศวรรษ ๑๙๙๐ เป็นต้นมา ลัตเวีย ซึ่งปกครองด้วยรัฐบาลผสมมาโดยตลอดเริ่มมีเสถียรภาพทางการเมืองที่มั่นคงขึ้นพรรคการเมืองที่เคยมีมากกว่า๓๔พรรคเหลือไม่ถึง ๑๐พรรค ใน ค.ศ. ๑๙๙๙ ไวรา วิค-เฟรย์เบียร์กา (VairaVike-Freiberga) แห่งพรรคแนวทางลัตเวีย (Latvian Way Party) ได้รับเลือกจากรัฐสภาให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเธอเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอดีตประเทศรัฐบริวารโซเวียตที่ได้ปกครองประเทศ และเป็น ๑ ในจำนวน ๔ คนของผู้หญิงยุโรปที่ได้เป็นผู้นำประเทศ วิค-เฟรย์เบียร์กาสานต่อนโยบายของรัฐบาลที่ผ่านมาด้วยการพยายามผลักดันลัตเวีย ให้เข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป(European Union) ซึ่งก็ประสบความสำเร็จเพราะลัตเวีย ได้รับการยอมรับให้เข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปใน ค.ศ. ๒๐๐๕ นอกจากนี้ ลัตเวีย ซึ่งแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จตามคำชี้แนะของกองทุนการเงินระหว่างประเทศหรือไอเอ็มเอฟ (InternationalMonetary Fund - IMF)ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้สินของประเทศและดำเนินการแปรรูปรัฐวิสาหกิจอย่างค่อยเป็นค่อยไปรวมทั้งสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวก็เป็นประเทศแรกใน ๓ รัฐบอลติกที่ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WorldTrade Organization - WTO) ใน ค.ศ. ๑๙๙๙ ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๙-๒๐๐๑ ลัตเวีย ยังพยายามแก้ปัญหาความขัดแย้งบริเวณพรมแดนกับเอสโตเนีย และลิทัวเนีย และสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of IndependentStates) ให้มากขึ้น แต่ประเทศที่ลัตเวีย มีความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าที่ใกล้ชิดมากกว่าประเทศอื่น ๆ คือ สวีเดน และเดนมาร์ก .