Great Britain and Northern Ireland, United Kingdom of

สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ




     สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ เป็นชื่อเรียกอย่างเป็นทางการของประเทศที่เกิดจากการรวมตัวทางการเมืองระหว่างอังกฤษ เวลส์(Wales) และสกอตแลนด์ (Scotland) กับดินแดนทางภาคเหนือของเกาะไอร์แลนด์ มีชื่อย่อเรียกว่าสหราชอาณาจักรหรือยูเค (United Kingdom - UK) โดยอังกฤษและเวลส์ได้รวมตัวกับสกอตแลนด์อย่างเป็นทางการใน ค.ศ. ๑๗๐๗ และเรียกว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ (United Kingdom of Great Britain) ต่อมา ใน ค.ศ.๑๘๐๑ ก็ได้ผนวกดินแดนทั้งหมดของเกาะไอร์แลนด์ และจัดตั้งเป็นสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ (United Kingdom of Great Britain and Ireland) การรวมตัวดังกล่าวก่อให้เกิดการต่อต้านอย่างมากจากชาวไอริชชาตินิยม ในที่สุดชาวไอริชก็สามารถสถาปนาเสรีรัฐไอร์แลนด์ (Irish Free State) ขึ้นใน ค.ศ. ๑๙๒๑ซึ่งครอบคลุมอาณาเขตเกือบทั้งหมดของเกาะไอร์แลนด์ ยกเว้น ๖ มณฑลทางตอนเหนือ การสถาปนาดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นของการแยกตัวเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ของไอร์แลนด์ ใต้ ซึ่งต่อมาใน ค.ศ ๑๙๓๗ ไอร์แลนด์ ใต้ได้จัดตั้งเป็นรัฐเอกราชมีชื่อเรียกว่าแอรา (Eire) และใน ค.ศ. ๑๙๔๙ ได้เปลี่ยนชื่อจากแอราเป็นไอร์แลนด์ และมีสถานภาพเป็นสาธารณรัฐอย่างเป็นทางการ อีกทั้งไม่สังกัดในเครือจักรภพ (Commonwealth of Nations)อีกต่อไปอย่างไรก็ดี๖ มณฑลทางตอนเหนือในเขตอัลสเตอร์ (Ulster) หรือไอร์แลนด์ เหนือ (Northern Ireland)ก็มิได้รวมตัวกับสาธารณรัฐ และยังคงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ต่อไป โดยมีชื่อเรียกรวมกันใหม่ว่าสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ
     ประวัติศาสตร์ของสหราชอาณาจักรคือเรื่องราวการสถาปนาอำนาจปกครองและการรวมตัวของดินแดนต่าง ๆ บนเกาะบริเตนใหญ่และเกาะไอร์แลนด์ อันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์ ชนเผ่าพื้นเมืองของเกาะบริเตนใหญ่ ได้แก่ กลุ่มชนที่พูดภาษาเคลต์ (Celtic-speakingpeoples) ซึ่งรวมทั้งชนเผ่าบริทอน (Brython) ในเวลส์ พิกต์ (Pict) ในสกอตแลนด์และบริตัน (Briton) ในอังกฤษ นอกจากนั้นพวกเคลต์ยังตั้งหลักแหล่งในเกาะไอร์แลนด์ อีกด้วย เกาะบริเตนใหญ่ได้ถูกจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) แม่ทัพแห่งกองทัพโรมยกทัพเข้ารุกรานใน ๕๕-๕๔ ปีก่อนคริสต์ศักราช แต่โรมก็มิได้จัดตั้งให้เกาะบริเตนใหญ่เป็นมณฑลบริแตนเนีย (Britannia) จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑ ในคริสต์ศตวรรษที่ ๕พวกอนารยชนเผ่านอร์ด (Nordic Tribes) ซึ่งประกอบด้วยพวกแองเกิล(Angle)พวกแซกซัน (Saxon) และพวกจูต (Jute) ได้เข้ารุกรานเกาะบริเตนใหญ่ และขับไล่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมคือพวกเคลต์จนต้องไปตั้งถิ่นฐานใหม่ในเขตคอร์นวอลล์(Cornwall) และเวลส์ อย่างไรก็ดี การรุกรานดังกล่าวนี้ไม่มีผลกระทบต่อพวกเคลต์ที่ตั้งที่อยู่อาศัยแล้วในเวลส์และสกอตแลนด์ ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ ๖-๗ คริสต์ศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในดินแดนต่าง ๆ ของสหราชอาณาจักร และเป็นศาสนาที่ชนเผ่าต่าง ๆ นับถือ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ ๘ และ ๙พวกเดน (Dane) ซึ่งเป็นชนเผ่าไวกิ้ง (Viking) เผ่าหนึ่งได้เข้ารุกรานเกาะบริเตนใหญ่
     ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๙พระเจ้าอัลเฟรดมหาราช (Alfred the Greatค.ศ. ๘๗๑-๘๙๙) แห่งเวสเซกซ์ (Wessex) ได้ขับพวกเดนออกจากเกาะบริเตนใหญ่ซึ่งต่อมามีผลให้พระเจ้าแอเทลสแตน (Athelstan ค.ศ. ๙๒๔-๙๓๙) สามารถรวมอังกฤษให้เป็นปึ กแผ่นได้ ขณะเดียวกันพระเจ้ามัลคอล์มที่ ๒ (Malcolm IIค.ศ. ๑๐๐๕-๑๐๓๔) ก็สามารถรวมสกอตแลนด์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันด้วย ในค.ศ. ๑๐๖๖ วิลเลียมดุ็กแห่งนอร์มองดี(William, Duke of Normandy) หรือต่อมาได้สมัญญานามว่า “พระเจ้าวิลเลียมผู้พิชิต”(William the Conqueror) ได้ยกกองทัพจากดินแดนในฝรั่งเศส เข้ายึดอังกฤษและประดิษฐานราชวงศ์นอร์มัน (Norman) ขึ้นปกครองอังกฤษ เฉลิมพระนามพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ (William I ค.ศ. ๑๐๖๖-๑๐๘๗)หลังจากนั้นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นภาษาพูดของพวกนอร์มันก็เริ่มผสมกลมกลืนกับภาษาแองโกล-แซกซัน (Anglo-Saxon) ที่นิยมพูดกันโดยทั่วไปและพัฒนาเป็นภาษาอังกฤษในที่สุด
     นอกจากนี้ พระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ ทรงจัดตั้งระบบการปกครองแบบฟิวดัล(Feudalism) ขึ้น โดยมีพระองค์เป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดของประเทศและยังขยายอิทธิพลเข้าไปในสกอตแลนด์ด้วย สำหรับภายในอังกฤษมีการสำรวจจำนวนที่ดินทรัพย์สินรวมทั้งสัตว์เลี้ยง เช่น หมู วัว ม้า และอื่น ๆ ภายในราชอาณาจักรอย่างละเอียดเพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษีรวมทั้งข้อมูลเป็นเอกสารที่ต่อมาเรียกว่า “DomesdayBook” ต่อมา อังกฤษได้ประสบกับวิกฤตการณ์เมื่อพระเจ้าเฮนรีที่ ๑ (Henry Iค.ศ. ๑๑๐๐-๑๑๓๕) สวรรคตลงโดยปราศจากรัชทายาท ขุนนางอังกฤษได้แบ่งออกเป็น ๒ ฝ่ายคือ ฝ่ายสนับสนุนสตีเฟนแห่งบลัว (Stephen of Blois)พระราชนัดดา(หลานตา) ในพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ กับผู้ที่สนับสนุนมาทิลดา (Matilda)พระราชธิดาในพระเจ้าเฮนรีที่ ๑ ซึ่งทรงเสกสมรสกับเจฟฟรีย์แห่งอองชู (Geoffrey of Anjou)มาทิลดาทรงสละสิทธิ์ ในบัลลังก์อังกฤษให้แก่เฮนรี (Henry) พระโอรส สงครามระหว่างฝ่ายมาทิลดาและเฮนรีกับพระเจ้าสตีเฟนดำเนินเป็นเวลาหลายปี ใน ค.ศ.๑๑๕๗ เมื่อกองทัพของเฮนรีบุกเกาะอังกฤษ พระเจ้าสตีเฟนซึ่งทรงเหนื่อยหน่ายกับสงคราม กอปรกับพระราชโอรสพระองค์เดียวและเป็นรัชทายาทสิ้นพระชนม์ลงจึงทรงยอมสงบศึก และใน ค.ศ. ๑๑๕๓ ได้ทรงลงพระนามในสนธิสัญญาแห่งวอลลิงฟอร์ด (Treaty of Wallingford)ยอมรับเฮนรีเป็นรัชทายาทแห่งราชบัลลังก์อังกฤษอีก ๑ ปีต่อมา เมื่อพระองค์สวรรคตใน ค.ศ. ๑๑๕๔ เฮนรีเสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนามพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ (Henry II ค.ศ. ๑๑๕๗-๑๑๘๙) เป็นกษัตริย์พระองค์แรกในบรรดา ๘พระองค์ของราชวงศ์พลาตาจีเนต (Platagenet) ทรงปกครองดินแดนที่กว้างขวางซึ่งนอกจากในเกาะอังกฤษแล้ว ยังมีแคว้นอองชู โอแวร์ญ(Auverge) นอร์มองดี ตู แรน (Touraine) ไมน์ (Main) และอื่นๆ ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกจากพระบิดาและพระมารดา รวมทั้งแคว้นอากีแตน (Aquitaine) ของเอลินอร์แห่งอากีแตน (Eleanor of Aquitaine) อดีตพระมเหสีในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๗(Louis VII ค.ศ. ๑๑๓๗-๑๑๘๐ ) แห่งฝรั่งเศส ที่ทรงอภิเษกสมรสด้วยใน ค.ศ. ๑๑๕๒การครองดินแดนต่าง ๆ ของอังกฤษในภาคพื้นทวีปซึ่งเรียกรวมกันดินแดนในเกาะอังกฤษว่าจักรวรรดิแอนจิิวน (Angevin Empire) การปกครองดินแดนที่กว้างใหญ่ไพศาลของกษัตริย์อังกฤษซึ่งโดยนิตินัยมีฐานะเป็นวัสซัล (vassal) ของกษัตริย์ฝรั่งเศส นับเป็นจุดเริ่มต้นของการขัดแย้งและการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ที่จะดำเนินต่อไปจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ใน ค.ศ. ๑๑๗๒พระเจ้าเฮนรีที่ ๒ ยังทรงเข้ายึดไอร์แลนด์ และบังคับให้ขุนนางไอริชถวายความจงรักภักดีต่อพระองค์ตามธรรมเนียมการปกครองแบบฟิวดัลด้วย ขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงแต่งตั้งขุนนางอังกฤษเป็นอุปราช (lord-lieutenant) ทำหน้าที่เป็นผู้แทนพระองค์ในการปกครองไอร์แลนด์ ซึ่งตำแหน่งนี้ก็มีผู้ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งติดต่อกันเป็นเวลาอีก ๔๐๐ ปี
     ส่วนภายในประเทศ พระเจ้าเฮนรีที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูประบบการปกครอง โดยลิดรอนอำนาจของขุนนาง ืร้อฟื้นกฎหมายในรัชสมัยพระเจ้าวิลเลียมที่ ๑ ที่ห้ามขุนนางสะสมกองกำลังและสร้างปราสาทโดยไม่ได้รับพระราชานุญาตปรับปรุงกองทัพให้แข็งแกร่ง ให้สภาที่ปรึกษาเรียกว่า curia regis ทำหน้าที่ตุลาการและทรงจัดทำกฎหมายจารีตประเพณีของอังกฤษหรือกฎหมายคอมมอนลอว์(Common Law) ให้เป็นระบบ ปฏิรูประบบการเก็บภาษีมีการขยายการเก็บภาษีสกูเทจ(scutage) ตามระบอบการปกครองฟิวดัลแก่พวกขุนนางทุกคนที่มิได้เข้ารับใช้ในกองทัพของกษัตริย์ และเก็บภาษีรายได้และภาษีทรัพย์สินเรียกว่าภาษีซาลาดิน(Saladin Tithe) จากประชาชนโดยทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามครูเสด (Crusades)ครั้งที่ ๒ เพื่อช่วงชิงดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ คืนจากพวกมุสลิม ตลอดจนพยายามลดอำนาจและบทบาทของศาสนจักรในอังกฤษ จนทำให้พระองค์ต้องมีเรื่องพิพาทกับสันตะปาปาและทอมัส เบ็กเก็ต (Thomas Becket)อาร์ชบิชอปแห่งแคนเทอร์เบอรี(Archbishop of Canterbury) และจบลงด้วยการฆาตกรรมเบ็กเก็ตจากฝีมือของขุนนางเพื่อเอาใจพระองค์ ก่อให้เกิดวิกฤตการณ์ขึ้นในอังกฤษจนพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ต้องทรงลดแรงกดดันจากพสกนิกรโดยยอมให้บาทหลวงที่มหาวิหารแคนเทอร์เบอรีเขตสังฆมณฑลในปกครองของเบ็กเก็ตโบยพระองค์ต่อหน้าหลุมศพของเบ็กเก็ต แม้พระเจ้าเฮนรีที่ ๒ จะทรงพ่ายแพ้ในการขยายอำนาจของกษัตริย์เข้าควบคุมศาสนจักรในอังกฤษ แต่ผลงานในด้านอื่น ๆ ของพระองค์ได้สร้างรากฐานและความมั่นคงแก่อังกฤษเป็นอย่างมาก
     ในรัชสมัยของพระเจ้าริชาร์ดใจสิงห์ (Richard the Lionhearted ค.ศ.๑๑๘๙-๑๑๙๙) พระราชโอรส กองทัพอังกฤษภายใต้การนำของพระองค์ได้ร่วมกับนานาประเทศและผู้นำของยุโรปทำสงครามครู เสดครั้งที่ ๓ และต่อมาได้ทำสงครามกับฝรั่งเศส ที่มีพระเจ้าฟิลิปออกัสตัส (Philip Augustus ค.ศ. ๑๑๘๐-๑๒๒๓) เป็นประมุข โดยตลอดรัชกาลพระเจ้าริชาร์ดทรงประทับในอังกฤษเป็นเวลาเพียง ๑๐เดือน และปล่อยให้เจ้าชายจอห์น (John)พระอนุชาปกครองประเทศ มีการเก็บภาษีจำนวนมากเพื่อนำไปใช้จ่ายในสงคราม รวมทั้งสงครามที่เกิดขึ้นในรัชสมัยต่อมาเมื่อเจ้าชายจอห์นเสด็จขึ้นครองราชบัลลังก์ อังกฤษต้องสูญเสียดินแดนในภาคพื้นทวีปส่วนใหญ่ที่เคยรวมตัวกันในจักรวรรดิแอนจิิวนให้แก่ฝรั่งเศส ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับสถาบันต่าง ๆ รวมทั้งพสกนิกรก็ยังเสื่อมโทรมลงด้วย ในที่สุดใน ค.ศ. ๑๒๑๕ขุนนางได้บีบบังคับให้พระเจ้าจอห์น (ค.ศ. ๑๑๙๙-๑๒๑๖) ทรงยอมรับมหากฎบัตร(Great Charter) หรือแมกนาคาร์ตา (Magna Carta) ที่จำกัดพระราชอำนาจในการเก็บภาษีและสิทธิบางประการของกษัตริย์ รวมทั้งค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน กฎหมายดังกล่าวนี้คือจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบบรัฐสภาและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษในเวลาต่อมา
     พระเจ้าเฮนรีที่ ๓ (Henry III ค.ศ. ๑๒๑๖-๑๒๗๒) พระราชโอรสในพระเจ้าจอห์นซึ่งเสด็จขึ้นครองราชสมบัติขณะมีพระชนมายุเพียง ๘ พรรษาเท่านั้นและทรงเป็นกษัตริย์อังกฤษที่ครองสิิรราชสมบัติยาวนานที่สุดในสมัยกลาง ในระยะแรก พระองค์ก็ทรงทำตามข้อเรียกร้องของขุนนางทุกประการแต่ต่อมาก็ทรงขัดแย้งกับพวกขุนนางในเรื่องการดำเนินนโยบายต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น รวมทั้งการที่พระองค์ให้ชาวต่างชาติมาประจำที่ราชสำนักและก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของขุนนางอังกฤษจนเกิดเป็นการก่อกบฏขึ้นใน ค.ศ. ๑๒๖๔ โดยมีซีมง เดอ มงฟอร์ (Simonde Montfort) พระสวามีในพระขนิษฐาเป็นหัวหน้าและสามารถยึดอำนาจการปกครองได้เป็นเวลา ๑๔ เดือนอันเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบรัฐสภา(parliament) ของอังกฤษ โดยมงฟอร์ได้เรียกประชุมสภาหรือที่เรียกว่า “สภาใหญ่”หรือ “Great Council” (ต่อมาเรียกว่า parliamentum) เพื่อร่วมบริหารราชการแผ่นดินนี้ สมาชิกของสภานี้มาจากผู้แทน ๓ ระดับชั้นซึ่งต่อมามีบทบาทในการบริหารประเทศอังกฤษในปลายสมัยกลาง ผู้แทน ๓ ระดับชั้นนี้ได้แก่ (๑)พวกบารอน(baron) เป็นตัวแทนของกลุ่มนักรบหรืออัศวิน (knight) (๒) ตัวแทนจากเมืองใหญ่ซึ่งเรียกว่า “shire”และ (๓) ตัวแทนของชาวเมือง (burgher) จากเมืองเล็กคือ townการเรียกประชุมตัวแทนจากคนระดับชั้นต่างๆ ในสมัยของซีมง เดอ มงฟอร์นี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญก็คือเพื่อป้องกันการจลาจลหรือการปฏิวัติซ้อน เพราะซีมงเดอ มงฟอร์เป็นเผด็จการที่ยึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าเฮนรีที่ ๓ ดังนั้นด้วยความกลัวว่าคนอื่นจะคิดปฏิวัติล้มอำนาจการปกครองของตน ก็เลยต้องตั้งสภาและให้ผู้แทนจากระดับชั้นต่างๆ เป็นสมาชิกและเข้าร่วมบริหารประเทศด้วยแมกนาคาร์ตาก็ถูกนำมาใช้เป็นกลไกพื้นฐานของรัฐสภา ต่อมาสภาก็เริ่มทำหน้าที่ที่สำคัญคือเป็นเสมือนศาลสูงสุดของประเทศ ถวายคำปรึกษาแก่กษัตริย์ในเรื่องสำคัญเกี่ยวกับนโยบายบริหารประเทศ ถวายคำแนะนำและช่วยเหลือกษัตริย์ยามที่บ้านเมืองอยู่ในระหว่างภาวะวิกฤติและประการสุดท้ายให้การสนับสนุนหรือทัดทานกษัตริย์ในกรณีที่พระองค์ต้องการจะเรียกเก็บภาษีอากรจากราษฎร
     รัฐสภาของอังกฤษนี้สร้างขึ้นบนรากฐานของการปกครองระบอบท้องถิ่นคือบรรดาผู้แทนของรัฐสภาล้วนแต่เป็นผู้ที่มีภูมิหลังในการปกครองท้องถิ่น (local gov-ernment) พวกบารอน พวกชาวเมือง และโดยเฉพาะพวกอัศวินเป็นผู้ที่ชำชองใน่การปกครองระบอบท้องถิ่น เมื่อเข้ามาอยู่ในรัฐสภาก็นำเอาความรู้ความชำนาญของการปกครองท้องถิ่นเข้ามาช่วยวางรากฐานพัฒนารัฐสภาด้วย ผู้แทนของพวกชาวเมือง (burgher) เป็นพวกที่มีหน้าที่โดยตรงในการบริหารอยู่ใน town governmentพวกอัศวิน (shire knight) ก็เป็นพวกที่มีหน้าที่ปกครองท้องถิ่นภูมิภาค (county)และก็มีอำนาจในศาลด้วย พวกอัศวินนี้บางทีก็เรียกว่าคหบดีชนบทหรือ countrygentry เป็นชนชั้นที่อยู่ระหว่างพวกบารอนกับพวกชาวบ้าน
     ใน ค.ศ. ๑๒๗๒พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๑ (Edward I ค.ศ. ๑๒๗๒-๑๓๐๗) ได้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าเฮนรีที่ ๓พระราชบิดา ทรงปราดเปรื่องที่จะร่วมมือกับบรรดาพวกบารอนเพื่อประโยชน์ของพระองค์เอง ในตอนแรกๆ นั้นพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๑ ทรงคิดว่ารัฐสภามีขึ้นก็เพื่อประโยชน์ในการเก็บภาษีอากรเท่านั้นเพราะว่าบรรดาพวกขุนนางในสมัยนั้นมีอำนาจมาก ถ้าหากว่าไม่ร่วมมือกับบรรดาพวกขุนนางแล้วกษัตริย์ก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้ แต่ต่อมาพระองค์ทรงเล็งเห็นถึงประโยชน์ของรัฐสภาเพื่อการอื่น ดังนั้นพระองค์จึงลองใช้รัฐสภาเพื่อการสงคราม การออกกฎหมายและอื่นๆ ในปลายรัชสมัย พวกอัศวินและพวกผู้แทนชาวเมืองก็เริ่มรวมกันเป็นพวกเดียวกันในสภา และในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๔ พวกอัศวินและชาวเมืองนี้ก็เริ่มประชุมแยกตัวออกจากพวกบารอน เกิดเป็นสภาสามัญ (House of Commons)และสภาขุนนาง (House of Lords) และสมาชิกผู้แทนสภาสามัญและสภาขุนนางอันเป็นที่มาของระบอบรัฐสภาและระบอบการปกครองของอังกฤษปัจจุบัน
     ในรัชสมัยพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๑อังกฤษได้ทำสงครามปราบปรามราชรัฐเวลส์(Principality of Wales) ซึ่งตกอยู่ในอำนาจปกครองของอังกฤษตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้าเฮนรีที่ ๒ ที่แข็งข้อและก่อกบฏขึ้น เจ้าชายเดวิดที่ ๓ (David III) ประมุขของราชรัฐได้ถูกสำเร็จโทษใน ค.ศ. ๑๒๘๓ ในปี ต่อมา พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๑ ทรงประกาศบทกฎหมายแห่งริดด์ลัน (Statute of Rhuddlan) จัดตั้งเวลส์เป็นราชรัฐแห่งหนึ่งของราชอาณาจักรอังกฤษ การรวมตัวระหว่างอังกฤษกับเวลส์สมบูรณ์มากขึ้นเมื่อพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๑ ทรงสถาปนาพระอิสริยยศเจ้าชายเอดเวิร์ด[ต่อมาทรงครองสิิรราชสมบัติเป็นพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๒ (Edward II ค.ศ. ๑๓๐๗-๑๓๒๗)]พระราชโอรสองค์ที่ ๔ และรัชทายาท (พระเชษฐาต่างสิ้นพระชนม์หมด) ซึ่งประสูติณ เมืองไคร์นาร์วอน (Caernarvon) ในเวลส์เป็นเจ้าชายแห่งเวลส์ (Princeof Wales) นับเป็นมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของอังกฤษที่ได้ดำรงพระอิสริยยศนี้และเป็นพระอิสริยยศของมกุฎราชกุมารอังกฤษที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้
     ระหว่าง ค.ศ. ๑๓๓๗-๑๔๕๓อังกฤษได้ทำสงครามร้อยปี (One HundredYearsû War) กับฝรั่งเศส เพื่ออ้างสิทธิในพระราชบัลลังก์ฝรั่งเศส และปกป้องดินแดนในภาคพื้นทวีป แต่ได้สูญเสียดินแดนทั้งหมดที่เหลือมาจากรัชสมัยพระเจ้าจอห์นยกเว้นเมืองกาเล (Calais ต่อมาก็ได้สูญเสียเมืองนี้ให้แก่ฝรั่งเศส ใน ค.ศ. ๑๕๕๘)กอปรกับการเกิดสงครามดอกกุหลาบ (War of the Roses ค.ศ. ๑๔๕๓-๑๔๘๕) ซึ่งเป็นการช่วงชิงราชบัลลังก์ระหว่างราชวงศ์แลงคาสเตอร์ (Lancaster) กับราชวงศ์ยอร์ก (York) จึงทำให้อังกฤษประสบกับหายนะทางเศรษฐกิจและสังคม หลังสงครามดอกกุหลาบสิ้นสุดลงพร้อมกับการเสียชีวิตจำนวนมากของพวกขุนนาง เฮนรีทิวดอร์ (Henry Tudor) เชื้อสายราชวงศ์แลงคาสเตอร์ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าเฮนรีที่ ๗ (Henry VII ค.ศ. ๑๔๘๕-๑๕๐๙) และเป็นต้นราชวงศ์ทิวดอร์ทรงสร้างความปรองดองและสันติระหว่างราชวงศ์แลงคาสเตอร์กับราชวงศ์ยอร์กด้วยการอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงเอลิซาเบทแห่งยอร์ก (Elizabeth of York)พระราชธิดาในพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๔ (Edward IV ค.ศ.๑๔๖๑-๑๔๗๐)พระเจ้าเฮนรีที่ ๗ ทรงนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อังกฤษ รัชสมัยของพระองค์ถือได้ว่าเป็นยุคแห่งการฟื้นตัว มีการปฏิรูประบบสังคม การปกครอง การคลัง การศาล และการค้า ตลอดจนการเสริมสร้างอำนาจทางทะเลและการแต่งตั้งขุนนางใหม่จำนวนมากที่ต่อมากลายเป็นฐานอำนาจให้แก่สถาบันกษัตริย์อังกฤษอีกด้วย ทั้งยังนำอังกฤษก้าวออกจากสมัยกลาง (Middle Ages)อีกด้วย
     หลังจากการปฏิรูปศาสนาหรือเรียกว่า “การปฏิรูปศาสนาของเฮนรี”(Henrician Reformation) และการจัดตั้งนิกายอังกฤษ (Church of England)หรือนิกายแองกลิกัน (Anglicanism) ที่เกิดจากพระประสงค์ของพระเจ้าเฮนรีที่ ๘(Henry VIII ค.ศ. ๑๕๐๙-๑๕๔๗) ที่ต้องการจะหย่าขาดจากสมเด็จพระราชินีแคเทอรีนแห่งอาระกอน (Catherine of Aragon) พระมเหสีที่ปราศจากพระราชโอรสเพื่ออภิเษกสมรสใหม่กับแอนน์ โบลีน (Anne Bolyne) แต่ถูกสันตะปาปายับยั้งพระเจ้าเฮนรีที่ ๘ ทรงตัดขาดจากสำนักสันตะปาปาแห่งกรุงโรมและรัฐสภาได้ออกพระราชบัญญัติอำนาจสูงสุดทางศาสนา (Act of Supremacy) ใน ค.ศ. ๑๕๓๔ สถาปนาพระองค์เป็น “องค์ศาสนูปถัมภก” (Supreme Head) ของนิกายใหม่ที่กษัตริย์ทรงอำนาจทางศาสนาสูงสุดในอังกฤษแทนสันตะปาปา อังกฤษจึงมีบทบาทสำคัญในด้านศาสนาและการเมืองยุโรป ใน ค.ศ. ๑๕๔๓ ได้มีการออกพระราชบัญญัติรวมเวลส์เข้ากับอังกฤษ และยังมีการขยายสิทธิในการเลือกตั้งไปยังเวลส์ โดยชาวเวลส์ได้รับสิทธิเลือกตั้งทัดเทียมกับชาวอังกฤษ ก่อนหน้านี้ใน ค.ศ. ๑๕๔๑ รัฐสภาไอร์แลนด์ ก็ได้ถวายพระอิสริยยศ “กษัตริย์แห่งไอร์แลนด์ ”แก่พระเจ้าเฮนรีที่ ๘อย่างเป็นทางการ โดยขุนนางในไอร์แลนด์ ยอมรับบรรดาศักดิ์ ของอังกฤษ ยกเลิกกองทัพส่วนตัวและอยู่ใต้กฎหมายอังกฤษ
     ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ ๑ (Mary I ค.ศ. ๑๕๕๓-๑๕๕๘)พระราชธิดาในพระเจ้าเฮนรีที่ ๘ กับสมเด็จพระราชินีแคเทอรีนแห่งอาระกอนซึ่งได้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๖ (Edward VI ค.ศ. ๑๕๔๗-๑๕๕๓)พระอนุชาต่างพระราชมารดาที่ประสู ติจากสมเด็จพระราชินีเจน ซีย์มัวร์ (JaneSeymour) พระมเหสีองค์ที่ ๓ อังกฤษได้ฟื้นฟูคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้งสมเด็จพระราชินีนาถแมรียังทรงอภิเษกสมรสกับพระเจ้าฟิลิปที่ ๒ (Philip II ค.ศ. ๑๕๕๖-๑๕๙๘) แห่งสเปน ซึ่งเป็นผู้มีศรัทธาแรงกล้าในนิกายโรมันคาทอลิกและเป็นผู้นำรัฐคาทอลิกในการต่อต้านรัฐโปรเตสแตนต์ บุคคลสำคัญ ๆ ที่มีส่วนสนับสนุนให้พระเจ้าเฮนรีที่ ๘ หย่าขาดจากสมเด็จพระราชินีแคเทอรีนแห่งอาระกอน และการจัดตั้งนิกายอังกฤษ รวมทั้งผู้ฝักใฝ่ในนิกายอังกฤษและนิกายโปรเตสแตนต์อื่น ๆ จำนวนมากถูกนำไปประหารชีวิตอย่างทารุณ ทั้งอังกฤษยังเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับสเปน ในการทำสงครามกับฝรั่งเศส ที่ประเทศไม่มีผลประโยชน์ด้วย จนทำให้สูญเสียเมืองท่ากาเลซึ่งเป็นดินแดนในภาคพื้นทวีปแห่งสุดท้ายที่อังกฤษครอบครองให้แก่ฝรั่งเศส
     ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ (Elizabeth I ค.ศ. ๑๕๕๘-๑๖๐๓) พระราชธิดาในสมเด็จพระราชินีแอนน์ โบลีน อังกฤษได้หันไปนับถือนิกายอังกฤษอีกและเป็นประเทศคู่แข่งขันที่สำคัญของสเปน จนในที่สุดหลังจากสมเด็จพระราชินีนาถแมรีแห่งสกอต (Mary, Queen of Scots)พระราชปนัดดา (เหลน) ในพระเจ้าเฮนรีที่ ๗ ซึ่งนับถือนิกายโรมันคาทอลิกและมีสิทธิในการสืบบัลลังก์อังกฤษที่สเปน สนับสนุนอยู่เบื้องหลังให้ล้มบัลลังก์ถูกสำเร็จโทษด้วยการตัดพระเศียรสเปน กับอังกฤษได้ก่อสงครามกันใน ค.ศ. ๑๕๘๘ กองทัพเรืออาร์มาดา (Armada) ที่เกรียงไกรของสเปน พ่ายแพ้และต้องยุติการบุกอังกฤษ ทำให้อังกฤษก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางทะเล ขณะเดียวกัน ก็เผชิญกับการก่อกบฏอย่างเนือง ๆ ในไอร์แลนด์ นับตั้งแต่ปลายทศวรรษ ๑๕๖๐ ได้เกิดกบฏขึ้นหลายครั้งที่สำคัญ ได้แก่สงครามเก้าปี (The Nine Yearsû War ค.ศ. ๑๕๙๔-๑๖๐๓) ซึ่งกินระยะเวลาติดต่อกันยาวนาน แต่ในปลายรัชกาล อุปราชแห่งไอร์แลนด์ ก็สามารถปราบกบฏได้อย่างราบคาบและทำให้อังกฤษสามารถปกครองดินแดนต่างๆ ทั่วทั้งไอร์แลนด์ ได้สำเร็จนอกจากนี้ อังกฤษในสมัยเอลิซาเบท (Elizabethan England) ยังก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางของความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมโดยเฉพาะในด้านวรรณคดีและบทละคร นักเขียนที่มีชื่อเสียง เช่น ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon ค.ศ. ๑๕๖๑-๑๖๒๖) เอดมันด์ สเปน เซอร์ (Edmund Spenser ค.ศ. ๑๕๕๒-๑๕๙๙) และวิลเลียมเชกสเปี ยร์ (William Shakespeare ค.ศ. ๑๕๖๔-๑๖๑๖) ล้วนแต่มีชีวิตอยู่ใน“ยุคทอง”นี้ทั้งสิ้น
     การรวมตัวอย่างไม่เป็นทางการระหว่างอังกฤษและเวลส์กับสกอตแลนด์เริ่มขึ้นใน ค.ศ. ๑๖๐๓ เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ ๖ (James VI ค.ศ. ๑๕๖๗-๑๖๒๕) แห่งสกอตแลนด์ พระราชโอรสในสมเด็จพระราชินีนาถแมรีแห่งสกอตได้สืบราชสมบัติอังกฤษต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๑ และเฉลิมพระนามพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ (James I ค.ศ. ๑๖๐๓-๑๖๒๕) แห่งอังกฤษ ในปี ต่อมา ได้มีการนำคำศัพท์“บริเตนใหญ่” มาใช้ในความหมายที่ครอบคลุมดินแดนทั้งหมดของอังกฤษ เวลส์และสกอตแลนด์ อย่างไรก็ดี การรวมตัวของอังกฤษและสกอตแลนด์ในช่วงระยะเวลานี้ก็เป็นเพียงแต่มีพระประมุขร่วมกันเท่านั้น มีลักษณะเป็นรัฐ ๒ รัฐเพราะต่างมีระบบการบริหารประเทศและรัฐสภาที่แยกออกจากกันอย่างอิสระ ในช่วงระยะเวลานี้ สมาชิกสภาสามัญและประชาชนอังกฤษที่นับถือนิกายกัลแวง (Calvin-ism) หรือเรียกว่า “พวกพิวริตัน”(Puritan) ต้องการทำให้นิกายอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายโปรเตสแตนต์บริสุทธิ์ จากนิกายโรมันคาทอลิกต่างเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปนิกายอังกฤษ แต่ไม่ประสบความสำเร็จพวกพิวริตันจำนวนหนึ่งจึงเดินทางไปตั้งหลักแหล่งในโลกใหม่ (New World) หรือทวีปอเมริกาเหนือเพื่อแสวงเสรีภาพทางศาสนานับเป็นบรรพบุรุษเชื้อสายแองโกล-แซกซันรุ่นแรกของชาวอเมริกันที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกและตั้งถิ่นฐานขึ้นในอเมริกา และเป็นผู้วางรากฐานแนวคิดเสรีภาพนิยมขึ้นด้วย
     ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗ กษัตริย์แห่งราชวงศ์สจวตเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับรัฐสภาในด้านนโยบายการปกครองและศาสนา และการทำสงครามกับสกอตแลนด์เมื่อพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ (Charles I ค.ศ. ๑๖๒๕-๑๖๔๙)พระราชโอรสในพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ ทรงพยายามบังคับให้ชาวสกอตซึ่งนับถือนิกายกัลแวงหรือเรียกว่านิกายเพรสไบทีเรียน (Presbyterian) ในสกอตแลนด์ใช้หนังสือสวดมนต์ฉบับที่ยึดแนวทางปฏิบัติของนิกายแองกลิกันของอังกฤษ ซึ่งมีผลให้ประเทศเข้าสู่สงครามกลางเมืองระหว่าง ค.ศ. ๑๖๔๒-๑๖๔๙ และการสำเร็จโทษพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ ใน ค.ศ. ๑๖๔๙ ตลอดจนการจัดตั้งระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ(Republic) และระบอบผู้พิทักษ์ (Protectorate) ขึ้น โดยมีทอมัส ครอมเวลล์(Thomas Cromwell ค.ศ. ๑๖๔๙-๑๖๕๘) เป็นผู้นำและดำรงตำแหน่งผู้พิทักษ์(Lord Protector) ในช่วงที่เขามีอำนาจปกครอง กองทัพอังกฤษได้ทำสงครามปราบปรามกบฏทั้งในสกอตแลนด์และโดยเฉพาะไอร์แลนด์ อย่างทารุณ เนื่องจากประชาชนต่างลุกฮือขึ้นเพื่อแยกตัวเป็นอิสระ แต่ใน ค.ศ. ๑๖๖๐ หลังอสัญกรรมของครอมเวลล์ อังกฤษก็ได้ฟื้นฟูราชวงศ์สจวต (Restoration) ขึ้นปกครองอังกฤษอีกครั้ง โดยอัญเชิญพระเจ้าชาลส์ที่ ๒ (Charles II ค.ศ. ๑๖๖๐-๑๖๘๕)พระราชโอรสในพระเจ้าชาลส์ที่ ๑ ให้มาปกครองอังกฤษ
     เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญในรัชสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ซึ่งทรงไร้พระราชโอรสและพระราชธิดาในการสืบสันตติวงศ์คือการค้นพบการลอบวางแผนโพพิช (popish plot) ของฝ่ายคาทอลิกเพื่อปลงพระชนม์พระเจ้าชาลส์ที่ ๒ ในค.ศ. ๑๖๗๘ และยกเจ้าชายเจมส์ดุ็กแห่งยอร์ก ((James, Duke of York) ต่อมาคือพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ (James II ค.ศ. ๑๖๘๕-๑๖๘๘))พระราชอนุชาขึ้นเป็นกษัตริย์การค้นพบแผนดังกล่าวก่อให้เกิดการแตกแยกในกลุ่มสมาชิกรัฐสภาขึ้น ฝ่ายหนึ่งคือ“พวกชาวบ้าน” (Country Party) ที่ต้องการจะยกเลิกสิทธิในการสืบราชบัลลังก์ของเจ้าชายเจมส์ที่เลื่อมใสในนิกายโรมันคาทอลิก จัดตั้งระบอบการปกครองกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ รวมทั้งบางกลุ่มที่ต้องการให้ประเทศปกครองในระบอบสาธารณรัฐกับพวก “ราชสำนัก”(Court Party) ที่เคร่งครัดในประเพณีและสนับสนุนสิทธิการสืบราชบัลลังก์ของเจ้าชายเจมส์ การแตกแยกของสมาชิกรัฐสภาออกเป็น ๒ ฝ่ายจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดพรรควิก (Whig) และพรรคทอรี (Tory) ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ก็ได้พัฒนาเป็นพรรคอนุรักษนิยม (Conservative) และพรรคเสรีนิยม (Liberal) ตามลำดับ
     ใน ค.ศ. ๑๖๘๘ ซึ่งเป็นปีที่ ๓ ในรัชกาลของพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ หลังจากสมเด็จพระราชินีแมรีแห่งโมเดนา (Mary of Modena)พระมเหสีองค์ที่ ๒ ประสูติพระราชโอรสซึ่งมีสิทธิในราชบัลลังก์มากกว่าพระราชธิดาอีก ๒ พระองค์ของพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ ที่ประสูติจากพระมเหสีองค์แรกที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว และพระราชโอรสพระองค์ใหม่ได้เข้าพิธีรับศีลตามพิธีกรรมของนิกายโรมันคาทอลิกชาวอังกฤษจึงร่วมมือกันก่อการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (Glorious Revolution ค.ศ. ๑๖๘๘)ขึ้นเพื่อล้มล้างพระราชอำนาจของพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ โดยทูลเชิญวิลเลียมแห่งออร์เรนจ์(William of Orange) และเจ้าหญิงแมรี (Mary) พระชายาซึ่งเป็นพระราชธิดาองค์โตในพระเจ้าเจมส์ที่ ๒ ให้เสด็จมาครองราชบัลลังก์อังกฤษพระเจ้าเจมส์ที่ ๒เสด็จหนีออกนอกประเทศพร้อมพระมเหสีและพระราชโอรส รัฐสภาประกาศว่าพระองค์ทรงสละราชบัลลังก์ ดังนั้น วิลเลียมแห่งออร์เรนจ์และเจ้าหญิงแมรีจึงได้รับสถาปนาเป็นกษัตริย์คู่กัน โดยเฉลิมพระนามพระเจ้าวิลเลียมที่ ๓ (William IIIค.ศ. ๑๖๘๙-๑๗๐๒) และสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ ๒ (Mary II ค.ศ. ๑๖๘๙-๑๖๙๔)
     ต่อมาใน ค.ศ. ๑๖๘๙ รัฐสภาได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง (Bill of Rights) เพื่อจำกัดพระราชอำนาจของกษัตริย์และให้กษัตริย์ยอมรับอำนาจสูงสุดของรัฐสภาและกำหนดไม่ให้ผู้นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกหรือมีคู่อภิเษกสมรสที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกมีสิทธิ์ ในการสืบสันตติวงศ์ ขณะเดียวกัน ในช่วงระยะเวลานี้ จอห์น ล็อก (John Locke)นักปรัชญาการเมืองคนสำคัญของอังกฤษก็ได้จัดพิมพ์หนังสือชื่อ Treatises: OfCivil Government (ค.ศ. ๑๖๙๐) แสดงความคิดเห็นสนับสนุนการปฏิวัติและสิทธิเสรีภาพของประชาชน อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดนักคิดทางการเมืองหรือนักปรัชญาเมธี (philosphos) ที่มีบทบาทในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ หรือยุคภูมิธรรม(Enlightenment) ระหว่าง ค.ศ. ๑๗๐๒-๑๗๑๓ อังกฤษได้เข้าร่วมในสงครามการสืบราชบัลลังก์สเปน (War of the Spanish Succession) เพื่อกีดกันไม่ให้ฟิลิป เคานต์แห่งอองชู (Philip, Count of Anjou) หรือในขณะนั้นทรงพระอิสริยยศพระเจ้าฟิลิปที่ ๕ (Philip V ค.ศ. ๑๗๐๐-๑๗๔๖) แห่งสเปน พระราชนัดดาในพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔(Louis XIV ค.ศ. ๑๖๔๓-๑๗๑๕) แห่งฝรั่งเศส ครองราชบัลลังก์สเปน ต่อไป และเพื่อไม่ให้เกิดการรวมฝรั่งเศส กับสเปน และอาณานิคมอื่นๆ ให้อยู่ภายใต้ระบบการปกครองของกษัตริย์พระองค์เดียว (universal monarchy) แห่งราชวงศ์บูร์บง(Bourbon) ขณะที่สงครามกำลังดำเนินอยู่ ใน ค.ศ. ๑๗๐๗ ก็ได้มีการตกลงระหว่างอังกฤษกับสกอตแลนด์ในการออกพระราชบัญญัติรวมสกอตแลนด์เข้ากับอังกฤษ(Act of Union) เพื่อผนวกสกอตแลนด์กับอังกฤษและเวลส์เข้าด้วยกันเป็นสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ รัฐสภาสกอตแลนด์ถูกยุบแต่สกอตแลนด์มีสิทธิในการส่งผู้แทนจำนวน ๔๕ คนไปเป็นสมาชิกรัฐสภาอังกฤษได้ ทั้ง ๒ ดินแดนมีพระประมุของค์เดียวกัน มีการยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรที่ซ้ำซ้อนและหันมาใช้ระบบเดียวกันทั้งเกาะบริเตนใหญ่ ส่วนในด้านศาสนา สกอตแลนด์ได้รับสิทธิในการนับถือคริสต์ศาสนานิกายเพรสไบทีเรียนต่อไปได้
     ใน ค.ศ. ๑๗๑๔ เมื่อประมุของค์สุดท้ายในราชวงศ์สจวตคือสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์ (Anne ค.ศ. ๑๗๐๒-๑๗๑๔) เสด็จสวรรคตโดยปราศจากรัชทายาท การสืบราชสมบัติจึงตกเป็นของจอร์จ หลุยส์ อิเล็กเตอร์แห่งแฮโนเวอร์(George Louis, Elector of Hanover)พระราชปนัดดา (เหลน) ในพระเจ้าเจมส์ที่ ๑ตามพระราชบัญญัติการสืบราชสันตติวงศ์ (The Act of Settlement) ค.ศ. ๑๗๐๑เฉลิมพระนามพระเจ้าจอร์จที่ ๑ (George I ค.ศ. ๑๗๑๔-๑๗๒๗) นับเป็นการเริ่มต้นราชวงศ์ใหม่ที่ต่อมาได้รวมอังกฤษ เวลส์ สกอตแลนด์และไอร์แลนด์ เข้าเป็นสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ แต่ราชรัฐแฮโนเวอร์ในดินแดนเยอรมันมิได้เป็นหน่วยปกครองเดียวกับอังกฤษ เพียงแต่มีประมุขร่วมกันเท่านั้น และกษัตริย์อังกฤษก็ได้ปกครองราชรัฐแฮโนเวอร์ติดต่อกันจนถึง ค.ศ. ๑๘๓๗ เมื่อสิ้นพระประมุขที่เป็นชายครองราชย์
     อังกฤษในสมัย (ราชวงศ์) แฮโนเวอร์ (The Hanoverian England) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากโดยเฉพาะด้านการเมือง กษัตริย์ ๒ พระองค์แรกคือพระเจ้าจอร์จที่ ๑ และพระเจ้าจอร์จที่ ๒ (George II ค.ศ. ๑๗๒๗-๑๗๖๐) ทรงมีพระทัยผูกพันกับราชรัฐแฮโนเวอร์มากกว่าอังกฤษ อีกทั้งไม่ทรงสันทัดในภาษาอังกฤษและไม่เข้าใจในระบบและกิจกรรมทางการเมืองของอังกฤษมากนัก การบริหารราชการแผ่นดินและการดำเนินงานกับรัฐสภาจึงต้องเป็นหน้าที่ของคณะเสนาบดี ก่อให้เกิดระบบคณะรัฐมนตรี (Cabinet System) และผู้นำของคณะเสนาบดีซึ่งต่อมาเรียกว่านายกรัฐมนตรี ทั้งนี้โดยมีเซอร์รอเบิร์ต วอลโพล (Robert Walpole) ได้รับยกย่องว่าเป็นรัฐมนตรีคนที่ ๑ หรือนายกรัฐมนตรี (prime minister) นอกจากนี้ระบบพรรคการเมือง ๒ พรรคคือพรรคทอรีหรือพรรคอนุรักษนิยมและพรรควิกหรือพรรคเสรีนิยมก็พัฒนาขึ้นเป็นลำดับจนเป็นกลไกที่สำคัญทางการเมืองของอังกฤษส่วนในด้านเศรษฐกิจ อังกฤษเป็นผู้บุกเบิกในการปฏิวัติอุตสาหกรรม (IndustrialRevolution) และเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมากทางด้านเศรษฐกิจ แต่การแข่งขันในด้านการค้าอุตสาหกรรม และการแสวงหาอาณานิคมกับมหาอำนาจอื่น ๆในยุโรปก็นำประเทศเข้าสู่สงครามเจ็ดปี (Seven Yearsû War ค.ศ. ๑๗๕๖-๑๗๖๓) ซึ่งทำให้ราชรัฐแฮโนเวอร์ที่เปรียบเสมือนเมืองหน้าด่านของอังกฤษในภาคพื้นทวีปเป็นสมรภูมิด้วย และในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ ๓ (George III ค.ศ. ๑๗๖๐-๑๘๒๐)อังกฤษก็ได้สูญเสียอาณานิคมอเมริกาที่ประกาศอิสรภาพแยกตัวออกจากการปกครองของอังกฤษใน ค.ศ. ๑๗๗๖ แต่ขณะเดียวกัน อังกฤษก็เข้าครอบครองออสเตรเลียใน ค.ศ. ๑๗๘๘ เพื่อชดเชยกับการสูญเสียอเมริกาและใช้ออสเตรเลียเป็นแหล่งระบายนักโทษ
     ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ ระหว่างสงครามการปฏิวัติฝรั่งเศส (FrenchRevolutionary Wars) ชาวไอริชชาตินิยมได้พยายามจะแยกตัวเป็นอิสระจากอังกฤษและแสวงหาความช่วยเหลือจากฝรั่งเศส ให้ปลดแอกจากการปกครองของอังกฤษ วิลเลียม พิตต์ (บุตร) (William Pitt, the Younger) นายกรัฐมนตรีอังกฤษพยายามแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวโดยใช้เงินและอิทธิพลให้สมาชิกรัฐสภาไอร์แลนด์ ให้ความเห็นชอบกับพระราชบัญญัติรวมไอร์แลนด์ เข้ากับบริเตนใหญ่(Act of Union) ใน ค.ศ. ๑๘๐๐ ซึ่งมีสาระเดียวกันกับพระราชบัญญัติรวมสกอตแลนด์เข้ากับอังกฤษ ค.ศ. ๑๗๐๗พระราชบัญญัติรวมไอร์แลนด์ กับบริเตนใหญ่ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๑๘๐๑ อันเป็นปี เริ่มต้นของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ และทำให้เกิดการจัดตั้งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ ขึ้นอย่างเป็นทางการ แต่ชาวไอริชส่วนใหญ่ซึ่งนับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่มีสิทธิเลือกตั้ง และไม่มีเสรีภาพในทางศาสนาจนเกิดการต่อต้านรัฐบาลอังกฤษอย่างรุนแรง
     ระหว่างสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars) จักรพรรดินโปเลียนที่ ๑(Napoleon I ค.ศ. ๑๘๐๔-๑๘๑๕) ใช้ระบบภาคพื้นทวีป (Continental System)ปิดล้อมเกาะอังกฤษเพื่อทำลายระบบการค้าและเศรษฐกิจแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในทางตรงกันข้าม กองทัพนาวีอังกฤษซึ่งมีพลเรือเอก ไวส์เคานต์ฮอเรชีโอ เนลสัน(Horatio Nelson) เป็นผู้บัญชาการสามารถทำลายกองทัพเรือฝรั่งเศส ในยุทธการที่ทราฟัลการ์ (Battle of Trafalgar ค.ศ. ๑๘๐๕) และได้เป็นมหาอำนาจทางทะเลที่ไม่มีผู้ใดจะท้าทายได้อีกต่อไป ต่อมาอังกฤษยังพิชิตกองทัพฝรั่งเศส ได้ในสงครามคาบสมุทร (Peninsula War ค.ศ. ๑๘๐๘-๑๘๑๔) และโค่นอำนาจของจักรพรรดินโปเลียนที่ ๑ ลงได้
     หลังสงครามนโปเลียนและการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา (Congress of Viennaค.ศ. ๑๘๑๔-๑๘๑๕) อังกฤษได้ปลีกตัวออกจากการเมืองระหว่างประเทศ จะเข้ายุ่งเกี่ยวก็เมื่อผลประโยชน์ของอังกฤษได้รับความกระทบกระเทือนมาก ซึ่งนโยบายนี้ต่อมาเรียกว่านโยบายอยู่อย่างโดดเดี่ยว (Splendid Isolation) และทำการปฏิรูปสังคมเศรษฐกิจ และการเมืองภายในประเทศ มีการออกกฎหมายและพระราชบัญญัติคุ้มครองคนยากจน คนชรา หญิงม่าย และเด็ก ส่วนความสัมพันธ์กับไอร์แลนด์ รัฐสภาอังกฤษยอมออกพระราชบัญญัติเลิกกีดกันคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิก(Catholic Emancipation Act) ใน ค.ศ. ๑๘๒๙ เพื่อให้ผู้ที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกมีสิทธิทางการเมืองทัดเทียมกับกลุ่มคริสต์ศาสนิกชนอื่น ๆ อย่างไรก็ดีพระราชบัญญัติเลิกกีดกันคริสต์ศาสนิกชนนิกายโรมันคาทอลิกดังกล่าวไม่สามารถยุติปัญหาศาสนาในไอร์แลนด์ ได้ เพราะผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิกยังคงถูกบังคับให้จ่ายเงินค่าบำรุงโบสถ์นิกายอังกฤษในไอร์แลนด์ โดยการเรียกเก็บภาษีสิบชักหนึ่ง(tithe) จากพืชผลที่ทำได้ต่อไป จนในที่สุด ความไม่พอใจก็ได้ลุกลามเป็นการจลาจลที่เรียกว่าสงครามภาษี (Tithe War) นอกจากนี้ชาวไอริชยังได้รวมตัวกันเพื่อให้มีการยกเลิกพระราชบัญญัติการรวมไอร์แลนด์ เข้ากับบริเตนใหญ่ ค.ศ. ๑๘๐๐ อีกด้วยมีการจัดตั้งสมาคมชาตินิยมต่าง ๆ รวมทั้งสมาคมริบบอน (Ribbon Society) ที่นิยมวิีธการรุนแรงเพื่อแยกไอร์แลนด์ ให้เป็นอิสระและมีอำนาจอธิปไตยอีกด้วย
     ใน ค.ศ. ๑๘๓๒ การต่อต้านรัฐบาลอังกฤษได้บรรเทาเบาบางลงหลังจากที่รัฐสภาอังกฤษยินยอมผ่านร่างพระราชบัญญัติปฏิรูประบบการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาครั้งใหญ่ (Great Reform Bill) ซึ่งรัฐบาลพรรควิกเป็นผู้เสนอ ที่มีการปรับปรุงเขตเลือกตั้งใหม่และให้สิทธิชนชั้นกลางในอังกฤษในการออกเสียงเลือกตั้ง (ต่อมาได้ขยายสิทธิดังกล่าวนี้ให้แก่ชนชั้นแรงงานในการออกพระราชบัญญัติการปฏิรูป ค.ศ. ๑๘๖๗ และ ค.ศ. ๑๘๘๔) ซึ่งทำให้ระบบการปกครองของประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น และยังครอบคลุมถึงพลเมืองไอริชในไอร์แลนด์ ด้วย โดยชนชั้นกลางมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้มากขึ้น ไอร์แลนด์ มีผู้แทนสภาสามัญเพิ่มขึ้นจาก ๑๐๐ คนเป็น ๑๐๕ คน ขณะเดียวกันก็ทำให้บทบาทของขุนนางที่สนับสนุนอังกฤษลดน้อยลงด้วย การเข้ามามีบทบาททางการเมืองของชนชั้นกลางไอริชที่ส่วนใหญ่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกดังกล่าวนี้เป็นแรงผลักดันให้รัฐสภาต้องออกกฎหมายเปลี่ยนแปลงระบบการจัดเก็บภาษีสิบชักหนึ่งเป็นการจ่ายค่าเช่าที่ดินทำการเกษตรแทนใน ค.ศ. ๑๘๓๘ ซึ่งมีผลให้ปัญหาระหว่างชาวไอริชคาทอลิกกับผู้ที่นับถือนิกายแองกลิกันบรรเทาลงไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ระหว่าง ค.ศ. ๑๘๔๕-๑๘๔๘ ได้เกิดทุพภิกขภัยครั้งใหญ่ (Great Famine) ขึ้นในไอร์แลนด์ การเพาะปลูกมันฝรั่งที่เป็นอาหารหลักของชาวไอริชถูกโรคพืชทำลายจนสิ้น ประมาณว่าชาวไอริชเสียชีวิตจากทุพภิกขภัยครั้งนี้ถึง ๑ ล้านคนและอีก ๑ ล้านคนอพยพออกนอกประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ไปตั้งรกรากใหม่ในสหรัฐอเมริกา การดำเนินการที่ล่าช้าของรัฐบาลอังกฤษทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างไอร์แลนด์ กับอังกฤษตึงเครียดยิ่งขึ้น เกิดกลุ่มชาวไอริชนอกประเทศสนับสนุนให้ไอร์แลนด์ แยกตัวจากสหราชอาณาจักร โดยการส่งเงินมาช่วยเหลือขบวนการชาตินิยมในไอร์แลนด์ และกดดันรัฐบาลอังกฤษจากนอกประเทศ
     ในรัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Victoria ค.ศ. ๑๘๓๗-๑๙๐๑)เศรษฐกิจและการค้าของประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ในต้นรัชกาล ได้มีการจัดนิทรรศการสินค้าครั้งใหญ่ (Great Exhibition) ที่กรุงลอนดอนใน ค.ศ. ๑๘๕๑เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความสำเร็จของการปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศที่เหนือกว่านานาประเทศ ยิ่งไปกว่านั้น อังกฤษสามารถสกัดกั้นการขยายอำนาจของจักรวรรดิรัสเซีย ในดินแดนยุโรปตะวันออกในสงครามไครเมีย (CrimeanWar ค.ศ. ๑๘๕๓-๑๘๕๖) และยังประสบความสำเร็จในด้านนโยบายการต่างประเทศที่มุ่งขยายอาณานิคม อำนาจและอิทธิพลในดินแดนต่าง ๆ ในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาอีกด้วย เช่น การครอบครองเกาะฮ่องกงจากการทำสงครามฝิ่น (Opium Warค.ศ. ๑๘๓๙-๑๘๔๒) กับจีน การเข้าไปปกครองอินเดียโดยตรงแทนการร่วมมือกับบริษัทอินเดียตะวันออก (East India Company) ใน ค.ศ. ๑๘๕๒ นโยบายสร้างจักรวรรดิอังกฤษเด่นชัดยิ่งขึ้นในรัฐบาลซึ่งมีเบนจามิน ดิสเรลีบ [BenjaminDisraeli ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เอิร์ลที่ ๑ แห่งบีคอนส์ฟีลด์ (1st Earl ofBeaconsfield)] เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเขาสามารถปลุกจิตสำนึกของชาวอังกฤษให้เห็นว่าการมีอาณานิคมในดินแดนต่าง ๆ ทั่วโลกเป็นความจำเป็นที่จะนำเกียรติภูมิมาสู่ประเทศ ทั้งจะทำให้อังกฤษมีฐานะมั่นคงทางเศรษฐกิจและเป็นมหาอำนาจในโลกได้ ดิสเรลีสามารถชักจูงให้รัฐสภาออกกฎหมายสถาปนาสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเป็นจักรพรรดินีแห่งอินเดียใน ค.ศ. ๑๘๗๖ และดำเนินนโยบายสร้างอิทธิพลในอียิปต์และตะวันออกกลางจากการซื้อหุ้นในบริษัทคลองสุเอซ (Suez CanalCompany) ใน ค.ศ. ๑๘๗๕ การขยายอิทธิพลของอังกฤษไปยังแอฟริกาใต้ทำให้อังกฤษต้องทำสงครามบัวร์ (Boer War ค.ศ. ๑๘๙๙-๑๙๐๒) กับชาวดัตช์ในแอฟริกาใต้ซึ่งมีชื่อเรียกว่าพวกบัวร์ เพื่อครอบครองรัฐทรานสวาล (Transvaal) และเสรีรัฐออเรนจ์ (Orange Free State)
     ขณะเดียวกัน ในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ การเรียกร้องเพื่อแยกตนเองเป็นอิสระของชาวไอริชจากบริเตนใหญ่ก็คงดำเนินต่อไป โดยเฉพาะในครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ได้มีการจัดตั้งสมาคมลับชาตินิยมมากขึ้นอีกหลายสมาคมและมีการลอบสังหารบุคคลสำคัญและนักการเมืองอังกฤษ ใน ค.ศ. ๑๘๘๖วิลเลียมอีวาร์ต แกลดสโตน (William Ewart Gladstone) นายกรัฐมนตรีสังกัดพรรคเสรีนิยมพยายามแก้ไขปัญหาไอร์แลนด์ (Irish Question) นี้ด้วยสันติิวีธมีการเสนอร่างพระราชบัญญัติปกครองตนเอง (Home Rule Bill) ฉบับแรกเพื่อให้รัฐสภาพิจารณา โดยจะให้อำนาจแก่รัฐสภาไอร์แลนด์ ในการเลือกและแต่งตั้งผู้มีอำนาจบริหารเอง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ใน ค.ศ. ๑๘๙๓ แกลดสโตนได้เสนอร่างพระราชบัญญัติปกครองตนเองอีก สภาสามัญให้ความเห็นชอบ แต่ก็ถูกสภาขุนนางยับยั้ง
     ในต้นคริสต์ศตวรรษที่ ๒๐อังกฤษได้ยกเลิกนโยบายอยู่อย่างโดดเดี่ยว และหันมาปรับความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีกับฝรั่งเศส และรัสเซีย ซึ่งเคยขัดแย้งกันมาในการแสวงหาอาณานิคม ในรัชสมัยพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ ๗ (Edward VIIค.ศ. ๑๙๐๑-๑๙๑๐)อังกฤษประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการกระชับไมตรีกับฝรั่งเศส ในการทำความตกลงอังกฤษ-ฝรั่งเศส หรือความตกลงฉันมิตร (Anglo-French Entente; Entente Cordiale) ใน ค.ศ. ๑๙๐๔ และกับรัสเซีย ในความตกลงอังกฤษ-รัสเซีย (Anglo-Russian Entente) ใน ค.ศ. ๑๙๐๗ ซึ่งก่อให้เกิดการตั้งค่ายความตกลงไตรภาคี (Triple Entente) เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับค่ายสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี(Triple Alliance) ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของเยอรมนี ออสเตรีย -ฮังการี และอิตาลี
     ในที่สุด ความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่สืบเนื่องมาเป็นเวลานานนับแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ ทำให้มหาอำนาจทั้ง ๒ ค่ายที่ดำเนินนโยบายตามลัทธิจักรวรรดินิยมใหม่ (New Imperialism) ต้องเข้าสู้รบกันในสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ค.ศ. ๑๙๑๔-๑๙๑๘) โดยอังกฤษได้ประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ค.ศ. ๑๙๑๔ หลังจากที่ฝ่ายเยอรมนี เคลื่อนกองทัพเข้าบุกเบลเยียม ซึ่งเป็นประเทศเป็นกลางและเป็นเมืองหน้าด่านไปสู่ทะเลเหนือที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงปลอดภัยของอังกฤษโดยตรง ผลของสงครามแม้ฝ่ายอังกฤษมีชัยชนะแต่ก็ต้องสูญเสียชีวิตทหารและพลเมืองจำนวนนับล้านคน อีกทั้งประสบความหายนะทางเศรษฐกิจและการเสียขวัญของประชาชน
     ก่อนเกิดสงคราม เฮอร์เบิร์ต เฮนรีแอสควิท ((Herbert Henry Asquith)ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เอิร์ลที่ ๑ แห่งออกซฟอร์ดและแอสควิท (1stEarl of Oxford And Asquith) ค.ศ. ๑๘๕๒-๑๙๒๘) นายกรัฐมนตรีแห่งพรรคเสรีนิยมประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบรัฐสภาของอังกฤษ โดยสามารถผลักดันพระราชบัญญัติรัฐสภา (Parliament Act) เป็นกฎหมายได้ใน ค.ศ. ๑๙๑๑ ทำให้สภาขุนนางหมดอำนาจในการระงับกฎหมายต่าง ๆ ที่สภาสามัญพิจารณาเห็นชอบแล้วเหลือเพียงอำนาจถ่วงเวลาการออกประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวออกไปได้ไม่เกิน๒ ปีเท่านั้น ระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษจึงสมบูรณ์มากขึ้นโดยสภาสามัญเป็นตัวแทนที่แท้จริงของประชาชน นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๑๒ สภาสามัญยังผ่านร่างพระราชบัญญัติการปกครองตนเองของไอร์แลนด์ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยถูกสภาสามัญไม่ให้ความเห็นชอบในสมัยแกลดสโตนเป็นนายกรัฐมนตรี(ค.ศ. ๑๘๐๙-๑๘๙๘)อย่างไรก็ดีร่างพระราชบัญญัติการปกครองของไอร์แลนด์ ฉบับ ค.ศ. ๑๙๑๒ ก็ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาขุนนาง ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติสภา ค.ศ. ๑๙๑๑ร่างพระราชบัญญัติปกครองตนเองของไอร์แลนด์ ค.ศ. ๑๙๑๒ สามารถประกาศเป็นกฎหมายได้หลังจากเวลาผ่านไป ๒ ปีคือ ในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๑๔ แต่เนื่องจากใน ค.ศ. ๑๙๑๔ อังกฤษเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงทำให้ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกเลื่อนประกาศต่อไปอีก ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวไอริชชาตินิยมเป็นอันมาก
     ระหว่างสงครามโลก ไอร์แลนด์ ถือโอกาสเคลื่อนไหวก่อการจลาจลเพื่อแยกตัวเป็นอิสระ และได้ประกาศอิสรภาพใน ค.ศ. ๑๙๑๙อังกฤษได้ใช้กองกำลังที่เรียกว่า “Black and Tans”เข้าปราบปราม แต่ท้ายที่สุด ในเดือนธันวาคม ค.ศ. ๑๙๒๑รัฐบาลอังกฤษซึ่งมีเดวิด ลอยด์ จอร์จ (David Lloyd George) เป็นผู้นำก็ต้องยินยอมลงนามทำสนธิสัญญาอังกฤษ-ไอร์แลนด์ (Anglo-Irish Treaty) กับอาร์เทอร์ กริฟฟิท(Arthur Griffith) และไมเคิล คอลลินท์ (Michael Collins) ผู้แทนของพรรคชินน์เฟน(Sinn Fein) ให้ไอร์แลนด์ ใต้ ๒๖ มณฑลซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกจัดตั้งเสรีรัฐไอร์แลนด์ ขึ้นพร้อมโดยมีสิทธิปกครองตนเอง แต่มีฐานะเป็นอาณาจักร (dominion) ของอังกฤษ ส่วนไอร์แลนด์ เหนือ ๖ มณฑลซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นโปรเตสแตนต์ยังคงอยู่ในการปกครองของอังกฤษต่อไปและกลายเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. ๑๙๔๙ รัฐสภาอังกฤษได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติไอร์แลนด์ (Ireland Bill) กำหนดให้ไอร์แลนด์ เหนือยังคงเป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งต่อมามีชื่อเรียกใหม่ว่า “สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ” ส่วนเสรีรัฐไอร์แลนด์ ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นแอราใน ค.ศ. ๑๙๓๗และเป็นรัฐเอกราชที่มีอำนาจอธิปไตยสมบูรณ์และแยกตัวออกจากเครือจักรภพในค.ศ. ๑๙๔๙ เรียกว่า “ไอร์แลนด์ ”
     ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ค.ศ. ๑๙๓๙-๑๙๔๕) แม้ว่าอังกฤษจะเป็นประเทศผู้นำในการต่อต้านลัทธินาซี (Nazism) ของเยอรมนี แต่ก็พยายามประนีประนอมกับเยอรมนี มาโดยตลอด ในสมัยรัฐบาลอนุรักษนิยมซึ่งมีอาเทอร์ เนวิลล์เชมเบอร์เลน (Arthur Neville Chamberlain) เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษดำเนินนโยบายเอาใจอักษะประเทศ (Appeasement Policy) เพื่อรักษาสันติภาพกับเยอรมนี และอิตาลี แต่ล้มเหลวจนต้องประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมนี เมื่อกองทัพเยอรมนี บุกโปแลนด์ ในต้นเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๓๙ ในสงครามโลกครั้งที่ ๒อังกฤษได้ถูกฝ่ายเยอรมนี โจมตีอย่างรุนแรง กรุงลอนดอนและเมืองอุตสาหกรรมอื่นๆถูกระเบิดได้รับความเสียหายอย่างหนักในยุทธการที่เกาะอังกฤษ (Battle ofBritain ค.ศ. ๑๙๔๐) แต่อังกฤษซึ่งมีเซอร์ิวนสตัน เลนเนิร์ด สเปน เซอร์ เชอร์ชิลล์(Sir Winston Leonard Spencer Churchill) เป็นนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการรบก็สามารถนำประเทศฟันฝ่าวิกฤตการณ์ได้ ทั้งพระเจ้าจอร์จที่ ๖ (George VIค.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒) และพระราชวงศ์ก็มิได้ทรงละทิ้งประเทศ ทรงแสดงพระทัยห่วงใยประชาชนและเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนอย่างใกล้ชิดในเขตหายนะต่าง ๆทั้งในกรุงลอนดอนและเขตปริมณฑล ก่อให้เกิดขวัญและกำลังใจแก่ประชาชนเป็นอันมาก เมื่อสงครามสิ้นสุดลงแม้อังกฤษจะเป็นฝ่ายชนะ แต่ก็ต้องสูญเสียสถานภาพของประเทศมหาอำนาจอันดับหนึ่ง อีกทั้งไม่สามารถจะรักษาความเป็นจักรวรรดิได้อีกต่อไป นอกจากนี้ ยังได้สูญเสียประเทศอาณานิคมทั้งในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกาเกือบทั้งหมด ทำให้อังกฤษขาดทรัพยากรธรรมชาติและตลาดสินค้าที่สำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมของชาติให้เจริญรุดหน้า อย่างไรก็ดี อังกฤษก็ยังคงรักษาบทบาทผู้นำของกลุ่มประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมหรือเป็นดินแดนที่อยู่ในปกครองของอังกฤษได้ โดยประเทศหรือดินแดนเหล่านี้ได้รวมกันเป็นกลุ่มเครือจักรภพ มีกษัตริย์อังกฤษ [ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๒(Elizabeth II ค.ศ. ๑๙๕๒)] ทรงเป็นสัญลักษณ์ในฐานะองค์ประมุข
     นอกจากนี้ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒พรรคแรงงาน (Labour Party) โดยการนำของเคลเมนต์ ริชาร์ด แอตต์ลี (Clement Richard Attlee) ซึ่งชนะการเลือกตั้งทั่วไปใน ค.ศ. ๑๙๔๕ ได้ดำเนินนโยบายประกันสังคมและสร้างอังกฤษให้เป็นรัฐสวัสดิการ (welfare state) แม้ชาวอังกฤษเป็นจำนวนมากจะเกรงว่าพรรคแรงงานจะนำการปกครองแบบสังคมนิยมมาใช้ในอังกฤษอันเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบการปกครองแบบรัฐสภาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่พระเจ้าจอร์จที่ ๖ ก็ทรงให้การสนับสนุนด้วยดีและทำให้การสร้างอังกฤษเป็นรัฐสวัสดิการมาประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
     นับแต่ทศวรรษ ๑๙๕๐ เป็นต้นมาพรรคอนุรักษนิยมและพรรคแรงงานได้ผลัดเปลี่ยนกันจัดตั้งรัฐบาลมาโดยตลอด ภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในปลายทศวรรษ๑๙๖๐ ทำให้พรรคอนุรักษนิยมได้กลับเข้าบริหารประเทศอีกใน ค.ศ. ๑๙๗๐ และนายกรัฐมนตรีเอดเวิร์ด ฮีท (Edward Heath) ก็สามารถผลักดันให้อังกฤษเข้าเป็นสมาชิกของประชาคมยุโรป (European Community-EC) สำเร็จ หลังจากถูกฝรั่งเศส กีดกันมาเป็นเวลานานซึ่งมีผลให้เศรษฐกิจของประเทศกระเตื้องขึ้น ต่อมาในค.ศ. ๑๙๗๙ พรรคอนุรักษนิยมได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไปอีก ทำให้หัวหน้าพรรคคือมาร์กาเรต แทตเชอร์ (Margaret Thatcher) เป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของอังกฤษ และยังเป็นสตรีคนแรกที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในทวีปยุโรปอีกด้วยระหว่าง ค.ศ. ๑๙๗๙-๑๙๙๗ พรรคอนุรักษนิยมได้สร้างประวัติศาสตร์ทางการเมืองให้แก่อังกฤษนับตั้งแต่สมัยสงครามนโปเลียน โดยสามารถชนะการเลือกตั้งทั่วไปติดต่อกัน ๔ สมัยและครองอำนาจทางการเมืองเป็นเวลา ๑๘ ปี มีแทตเชอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีระหว่าง ค.ศ. ๑๙๗๙-๑๙๙๐ และจอห์น เมเจอร์ (JohnMajor) ระหว่าง ค.ศ. ๑๙๙๐-๑๙๙๗
     หลังเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทตเชอร์ได้พยายามแก้ไขภาวะเงินเฟ้อซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่อังกฤษเผชิญอยู่ในขณะนั้น โดยระงับโครงการต่าง ๆรวมทั้งลดการกู้เงินจากต่างประเทศ นโยบายดังกล่าวทำให้ภาวะเงินเฟ้อร้อยละ ๑๘ใน ค.ศ. ๑๙๘๐ ลดลงเหลือเพียงร้อยละ ๓ ใน ค.ศ. ๑๙๘๙ อย่างไรก็ดี ภาวะคนว่างงานก็ยังคงอยู่ในระดับสูงคือ ร้อยละ ๑๔ ตลอดทศวรรษ ๑๙๘๐
     ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๘๒ อังกฤษได้ทำสงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ (Falkland Islands War) กับอาร์เจนตินาเพื่อชิงอำนาจอธิปไตยเหนือหมู่เกาะนี้หรือมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าหมู่เกาะมาลบีนาส (Malvinas) ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากอาร์เจนตินาไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๔๘๐ กิโลเมตร ผลของการปฏิบัติการทำให้อังกฤษสามารถยึดหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ได้ใน ๓ สัปดาห์ สงครามหมู่เกาะฟอล์กแลนด์สร้างชื่อเสียงอย่างมากให้แก่รัฐบาลแทตเชอร์จนพรรคอนุรักษนิยมได้รับการเลือกตั้งอีกเป็นครั้งที่ ๒ ใน ค.ศ. ๑๙๘๓ หลังจากนั้น รัฐบาลอนุรักษนิยมซึ่งมีแทตเชอร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นวาระที่ ๒ ก็เริ่มใช้นโยบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชนถือครอง โดยขายทรัพย์สินต่าง ๆ ที่รัฐเป็นเจ้าของตั้งแต่บริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่คือบริษัทบริตออยล์ (Britoil) และบริติชก๊าซ (BritishGas) จนถึงอาคารชุดขนาดเล็ก ทำรายได้ให้แก่รัฐบาลเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น ๓๐,๐๐๐ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาใน ค.ศ. ๑๙๘๖ รัฐสภาก็เริ่มนโยบายลดภาษีต่าง ๆ ซึ่งทำให้ภาษีรายได้บุคคลที่มีผู้เคยเสียสูงถึงร้อยละ ๙๘ ลดลงเหลือร้อยละ ๔๐เท่านั้น ส่วนในด้านการต่างประเทศอังกฤษได้ตกลงกับจีนที่จะคืนเกาะฮ่องกงและอำนาจอธิปไตยเหนือเกาะฮ่องกงให้แก่ีจนใน ค.ศ. ๑๙๙๗ หลังจากที่อังกฤษได้เช่าและปกครองเป็นเวลา ๙๙ ปี
     ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นวาระที่ ๓ แม้แทตเชอร์จะประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจของอังกฤษจนมีผู้เรียกขานว่า“การปฏิวัติแทตเชอร์” (Thatcher Revolution) แต่บางภูมิภาคของประเทศ โดยเฉพาะในเขตเมืองอุตสาหกรรมเก่าทางตอนเหนือกลับไม่ได้รับผลพวงของเศรษฐกิจเฟืòองฟูนี้ นอกจากนั้น ภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบจากสงครามอ่าวเปอร์เซียก็ทำให้ความนิยมในตัวแทตเชอร์ลดน้อยลง กอปรกับการดำเนินนโยบายแข็งกร้าวของรัฐบาลกับประชาคมยุโรป แทตเชอร์จึงถูกบีบให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๙๐ และเปิดโอกาสให้จอห์น เมเจอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยมและนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของอังกฤษ ในการเลือกตั้งทั่วไปในค.ศ. ๑๙๙๒ เมเจอร์สามารถนำพรรคอนุรักษนิยมชนะพรรคแรงงาน ๒๑ ที่นั่งทั้งที่เศรษฐกิจของประเทศยังอยู่ในภาวะถดถอย อย่างไรก็ดี อีก ๑๓ เดือนต่อมาผลของการสำรวจความนิยมในตัวเมเจอร์ก็ลดลงถึงร้อยละ ๒๑ นอกจากนี้สมาชิกพรรคอนุรักษนิยมยังเกิดความคิดไม่ลงรอยกันอีกในข้อกำหนดบางประการของสนธิสัญญามาสตริกต์ (Treaty of Maastricht) ใน ค.ศ. ๑๙๙๒ เพื่อก่อตั้งสหภาพยุโรป (European Union - EU) ยิ่งไปกว่านั้นใน ค.ศ. ๑๙๙๔ พรรคอนุรักษนิยมยังเผชิญปัญหาเกี่ยวกับการรับสินบนในการขายอาวุธแก่อิรักและมาเลเซียรวมทั้งการดำเนินนโยบายผิดพลาดของเมเจอร์เมื่อเกิดข่าวเรื่องโรควัวบ้าจากการบริโภคเนื้อวัวอังกฤษจนทำให้สหภาพยุโรประงับการนำเข้าเนื้อวัวอังกฤษ อันเป็นผลเสียอย่างมหันต์ต่ออุตสาหกรรมการเลี้ยงวัวของประเทศ
     ดังนั้น ในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๑๙๙๗ พรรคอนุรักษนิยมจึงพ่ายแพ้แก่พรรคแรงงานอย่างยับเยินในรอบ ๙๑ ปีด้วยคะแนนเสียง๑๖๕ : ๔๑๗ พรรคอนุรักษนิยมสูญเสียสมาชิกสภาสามัญไป ๑๗๑ ที่นั่งและไม่มีอดีตสมาชิกสภาสามัญที่สังกัดพรรคอนุรักษนิยมคนใดได้รับเลือกตั้งอีกทั้งในสกอตแลนด์และเวลส์ แอนโทนีชาลส์ ลินตัน แบลร์ (Anthony Charles LyntonBlair) หัวหน้าพรรคแรงงานวัย ๔๓ ปีได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นการสิ้นสุดบทบาทของพรรคอนุรักษนิยมที่ได้อำนาจปกครองติดต่อกันเป็นเวลา ๑๘ปี และเป็นการเปิดยุคใหม่ทางการเมืองของอังกฤษที่พรรคแรงงานสามารถหวนกลับมา บริหารประเทศได้อีกครั้งหนึ่ง
     ชัยชนะส่วนหนึ่งของแบลร์คือการประกาศนโยบายการเพิ่มพูนบทบาทผู้นำของอังกฤษในสหภาพยุโรป หลังจากเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว เขาได้ส่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปเยอรมนี และฝรั่งเศส เพื่อแสดงท่าทีของรัฐบาลอังกฤษอย่างชัดเจนที่จะร่วมมือกับสหภาพยุโรป และให้ความร่วมมืออย่างดีกับจีนในการส่งมอบเกาะฮ่องกงในปลาย ค.ศ. ๑๙๙๗
     ส่วนภายในสหราชอาณาจักรนั้น แบลร์ก็จัดให้มีการลงประชามติในสกอตแลนด์และเวลส์ในเดือนกันยายน ค.ศ. ๑๙๙๗ เพื่อให้ชาวสกอตและชาวเวลส์ตัดสินใจมีรัฐสภา (Parliament) และสภา (Assembly) ของตนเองตามลำดับ ในปีต่อมา รัฐบาลอังกฤษได้ทำข้อตกลงกู๊ดฟรายเดย์ (Good Friday Agreement) กับไอร์แลนด์ เหนือในความพยายามเพื่อแก้ไขปัญหาและความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์ เหนือซึ่งชาวไอริชชาตินิยมพยายามจะแยกไอร์แลนด์ เหนือออกจากสหราชอาณาจักร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
     ในพระราชพิธีเปิดรัฐสภาเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๙๙๙ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๒ ทรงอ่านข้อกราบบังคมทูลเสนอของรัฐบาลแบลร์ให้ยกเลิกสิทธิบรรดาขุนนางสืบยศในการออกเสียงในสภาขุนนาง และแต่งตั้งขุนนางใหม่ที่ไม่มีการสืบยศ (life peer) จากสมาชิกพรรคแรงงานจำนวน ๕๐ คนเพื่อเข้าไปนั่งในสภาขุนนาง นอกจากนี้ ยังให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นมา ๑ ชุด เพื่อหาลู่ทางและวิีธการจัดตั้งองค์กรทางการเมืองและกลไกรัฐสภาเพื่อทำหน้าที่แทนสภาขุนนางอีกด้วย นับเป็นแนวคิดปฏิวัติระบบรัฐสภาของอังกฤษ ต่อมา ในเดือนพฤษภาคมปีเดียวกันนั้น สกอตแลนด์และเวลส์ก็จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาสกอตแลนด์และสภาเวลส์ขึ้นเป็นครั้งแรก พรรคแรงงานประสบชัยชนะทั้งในสกอตแลนด์และเวลส์ โดยสามารถร่วมมือกับพรรคเสรีนิยมจัดตั้งคณะรัฐบาลผสมในสกอตแลนด์และสมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีของเวลส์
     นอกจากนี้ ใน ค.ศ. ๑๙๙๙ อังกฤษยังประสบกับปัญหาการพยายามแยกตัวของออสเตรเลียที่เป็นดินแดนในอารักขาของอังกฤษและเป็นสมาชิกของเครือจักรภพ โดยมีสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๒ ทรงดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระราชินีนาถแห่งออสเตรเลียด้วย แต่ผลของประชามติในการแยกตัวจากอังกฤษและการจัดตั้งระบอบปกครองแบบสาธารณรัฐเมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายนค.ศ. ๑๙๙๙ ล้มเหลว ส่วนในแคนาดาในเวลาไม่กี่ปีต่อมาก็มีการลงประชามติทำนองเดียวกันนี้ แม้ผลจะออกมาว่าชาวแคนาดามากกว่าครึ่งยังคงต้องการให้พระองค์เป็นพระประมุขหรือสมเด็จพระราชินีนาถแห่งแคนาดาต่อไป แต่ก็แสดงให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมถึงปัญหาของอังกฤษที่ต้องเผชิญต่อไปในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑ ในการรักษาสถานภาพและการรวมตัวของสมาชิกของเครือจักรภพ ตลอดจนสมาชิกของสหราชอาณาจักรที่อาจแยกตัวต่อไป โดยเฉพาะไอร์แลนด์ เหนือที่กองกำลังแห่งสาธารณรัฐไอร์แลนด์ (Irish Republic Army - IRA) ซึ่งเป็นหน่วยรบของพรรคชินน์เฟน พยายามที่จะใช้ความรุนแรงโดยการลอบสังหารบุคคลสำคัญและการวางระเบิดสถานที่ราชการและอื่น ๆ เพื่อผลักดันให้อังกฤษยินยอมให้ไอร์แลนด์ เหนือรวมตัวกับสาธารณรัฐไอร์แลนด์ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าในคริสต์ศตวรรษที่ ๒๑อังกฤษอาจต้องเสียบทบาทประเทศผู้นำอย่างที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในการแยกตัวของกลุ่มประเทศอาณานิคมและการสูญเสียจักรวรรดิภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒
     เมื่อเกิดเหตุการณ์วันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ โดยขบวนการอัลกออิดะห์(Al Qaida) ซึ่งเป็นองค์กรก่อการร้ายที่มีเครือข่ายทั่วโลกที่มีอุซามะห์ บิน ลาดิน(Usama bin Laden) เป็นผู้นำและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการจี้เครื่องบินโดยสารสายการบินอเมริกันแอร์ไลน์ (American Airline) สองลำพุ่งชนอาคารแฝดเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ (World Trade Center) บนเกาะแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาและทำให้ประธานาธิบดีจอร์จดับเบิลยู. บุช (George W. Bush) ประกาศนโยบายต่อต้านขบวนการก่อการร้ายและการทำสงครามในอัฟกานิสถานเพื่อติดตามจับอุซามะห์ บิน ลาดินอังกฤษได้ประกาศสนับสนุนนโยบายของสหรัฐอเมริกาและเข้าร่วมทำสงครามต่อต้านการก่อการร้ายด้วย ทั้งใน ค.ศ. ๒๐๐๓ นายกรัฐมนตรีแบลร์ยังนำอังกฤษเข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ในการทำสงคราม“ปฏิบัติการปลดปล่อยอิรักให้เป็นอิสระ”(Operation Iraqi Freedom) และการค้นหาจับกุมประธานาธิบดีซัดดาม ฮุสเซน (Suddum Hussein) ที่ปกครองอิรักด้วยระบบเผด็จการและสนับสนุนการก่อการร้ายที่เป็นภัยต่อชาติตะวันตก โดยอังกฤษอ้างว่าการครอบครองอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงของอิรักยังเป็นภัยต่อความมั่นคงและคุกคามสันติภาพของโลก ส่วนในด้านความสัมพันธ์กับสหภาพยุโรป แม้อังกฤษจะสนับสนุนแนวคิดการจัดตั้งตลาดเดียวแห่งยุโรป (Single European Market)แต่ก็คงใช้สกุลเงินเดิมโดยไม่ยอมใช้เงินยูโร (Euro) อย่างไรก็ดี อังกฤษก็ให้การสนับสนุนการขยายตัวรับสมาชิกใหม่ โดยเฉพาะการขยายตัวเพื่อรับสมาชิกใหม่จำนวน๑๐ ประเทศใน ค.ศ. ๒๐๐๔ เพิ่มจากจำนวน ๑๕ ประเทศที่มีก่อนหน้านี้เพราะเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออังกฤษและสหภาพยุโรปโดยรวม ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเงินรัฐบาลของแบลร์ให้ความสำคัญกับการผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับการลงประชามติเพื่อรับรองรัฐธรรมนูญแห่งยุโรป (Constitution for Europe) ทั้งยังประสบความสำเร็จในการสนับสนุนให้โรมาเนีย และบัลแกเรีย เข้าเป็นสมาชิกใหม่ของสหภาพยุโรปในค.ศ. ๒๐๐๗ด้วย
     ปัจจุบันรัฐสภาแห่งเวสต์มินสเตอร์ (Parliament at Westminster) ณกรุงลอนดอนทำหน้าที่เป็นองค์กรนิติบัญญัติสูงสุดที่จัดระเบียบการปกครองของสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ สภาสามัญมีสมาชิก ๖๕๑ คนประกอบด้วยผู้แทนจากอังกฤษ ๕๒๔ คน เวลส์ ๓๘ คน สกอตแลนด์ ๗๒ คนและไอร์แลนด์ เหนือ ๑๗ คน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีณ กรุงลอนดอนทำหน้าที่เป็นคณะผู้บริหารสูงสุด สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบทที่ ๒ ทรงเป็นพระประมุขและดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ ส่วนเจ้าชายฟิลิปพระราชสวามี(Philip, the Prince Consort) ทรงได้รับสถาปนาเป็นเจ้าชายแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ เหนือ(Prince of the United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland).
     




















     

ชื่อทางการ
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United of Great Britain and Northern Ireland)
เมืองหลวง
ลอนดอน (London)
เมืองสำคัญ
ลอนดอน เบอร์มิงแฮม (Birmingham) กลาสโกว์ (Glasgow) ลีดส์ (Leeds) ลิเวอร์พูล (Liverpool) เอดินบะระ (Edinburgh) แมนเชสเตอร์ (Manchester) และบริสตอล (Bristol)
ระบอบการปกครอง
ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
ประมุขของประเทศ
กษัตริย์
เนื้อที่
๒๔๔,๘๒๐ ตารางกิโลเมตร
อาณาเขตติดต่อ
ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปยุโรปในมหาสมุทรแอตแลนติก ทิศเหนือ : มหาสมุทรแอตแลนติก ทิศตะวันออก : ทะเลเหนือ ทิศใต้ : ทะเลเซลติก ทิศตะวันตก : ประเทศไอร์แลนด์ และมหาสมุทรแอตแลนติก
จำนวนประชากร
๖๐,๗๗๖,๒๓๘ คน (ค.ศ. ๒๐๐๗)
เชื้อชาติของประชากร
อังกฤษร้อยละ ๘๓.๖ สกอตร้อยละ ๘.๖ เวลส์ร้อยละ ๔.๙ ไอร์แลนด์ร้อยละ ๒.๙ ชนผิวดำร้อยละ ๒ อินเดียร้อยละ ๑.๘ ปากีสถานร้อยละ ๑.๓ ลูกผสมร้อยละ ๑.๒ และอื่น ๆ ร้อยละ ๑.๖
ภาษา
อังกฤษ
ศาสนา
คริสต์ร้อยละ ๗๑.๖ อิสลามร้อยละ ๒.๗ ฮินดูร้อยละ ๑ และ อื่น ๆ ร้อยละ ๑.๖
เงินตรา
ปอนด์
มัลติมีเดียประกอบ
-
ผู้เขียนคำอธิบาย
อนันต์ชัย เลาหะพันธุ
แหล่งอ้างอิง
สารานุกรมทวีปยุโรป