เพลงเริ่มต้นของการบรรเลงหรือการแสดง มีความมุ่งหมายเพื่อบอกให้ทราบว่า พิธีหรืองานนั้น ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว และเป็นการประกาศให้คนที่อยู่ห่างไกลได้รู้ด้วย เพลง โหมโรงโดยมากจึงใช้กลองทัดเพราะกลองทัดเสียงดังไปไกล นอกจากนี้บางเพลงยังเป็นการอัญเชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้มาประชุมสโมสรในงานเพื่อจะได้ เป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่เจ้าภาพและผู้ร่วมงาน
เพลงโหมโรงแบ่งได้หลายชนิดตามลักษณะของงาน ลักษณะของมหรสพที่แสดง และลักษณะของการบรรเลง คือ
ก. โหมโรงเย็นและโหมโรงเช้า
โหมโรงเย็นใช้สำหรับงานที่มีการนิมนต์พระมาสวดมนต์เย็น เพลงที่ใช้โหมโรงเย็นเป็นเพลงชุดซึ่งประกอบด้วยเพลงต่าง ๆ เรียงลำดับดังนี้
๑. สาธุการ | ๙. เสมอ |
๒. ตระ | ๑๐. รัวลาเดียว |
๓. รัว ๓ ลา | ๑๑. เชิด ๒ ชั้น, ชั้นเดียว |
๔. ต้นเข้าม่านหรือต้นชุบ | ๑๒. กลม |
๕. เข้าม่าน | ๑๓. ชำนาญ (ชำนัญ) |
๖. ปฐม | ๑๔. กราวใน |
๗. ท้ายปฐม | ๑๕. ต้นเข้าม่านหรือต้นชุบ |
๘. ลา | ๑๖. ลา |
เพลงสาธุการและเพลงตระ | หมายถึง | การบูชาและอัญเชิญเทวดามาสู่พิธี |
รัว ๓ ลา | หมายถึง | การกราบ ๓ ครั้ง |
เข้าม่าน | หมายถึง | เทวดาที่รับเชิญเข้าวิสูตรแต่งองค์ |
ปฐม | หมายถึง | เพลงที่ใช้สำหรับจัดขบวน |
ลา | หมายถึง | การจัดขบวนได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว |
เสมอ | หมายถึง | เพลงที่บรรเลงแสดงกิริยาไปมาในระยะใกล้ |
เชิด | หมายถึง | เพลงที่บรรเลงแสดงกิริยาไปมาในระยะไกล รีบเร่ง |
กลม | หมายถึง | เพลงที่บรรเลงแสดงกิริยาไปมาของเทวดาผู้สูงศักดิ์ |
ชำนาญ (ชำนัญ) | หมายถึง | เพลงสำหรับอำนวยพร |
กราวใน | หมายถึง | เพลงที่ใช้แสดงกิริยาของเทวดาฝ่ายอสูร |
โหมโรงเช้าใช้สำหรับงานที่มีการทำบุญเลี้ยงพระ ซึ่งโดยปรกติแล้วมีลักษณะเป็นการสวดมนต์เย็น-ฉันเช้า เพลงที่ใช้โหมโรงเช้านี้เป็นเพลงชุดซึ่งบรรเลงด้วยวัตถุประสงค์เช่นเดียวกับโหมโรงเย็น เพียงแต่ต้องการให้คนทราบว่าที่นี่จะมีการทำบุญเลี้ยงพระเท่านั้น เพลงต่าง ๆ ที่รวมอยู่ในชุดโหมโรงเช้ามีดังนี้
๑. สาธุการ | ๔. กลม |
๒. เหาะ | ๕. ชำนาญ (ชำนัญ) |
๓. รัวลาเดียว |
ข. โหมโรงเทศน์ ใช้บรรเลงเป็นการประกาศให้ชาวบ้านทราบว่า ที่บ้านนี้หรือวัดนี้จะมีพระธรรมเทศนา กับเป็นการอัญเชิญเทวดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาชุมนุมกันในงานอีกด้วย เพลงชุดโหมโรงเทศน์ประกอบด้วยเพลงสาธุการ กราวใน เสมอ รัว เชิด ชุบ ลา จะบรรเลงกี่เที่ยวก็ได้
ค. โหมโรงการแสดงมหรสพและโหมโรงกลางวัน
โหมโรงการแสดงมหรสพใช้บรรเลงเป็นการประกาศให้ชาวบ้านทราบว่าที่นี่จะมีการแสดงมหรสพ และเป็นการอัญเชิญศักดิ์สิทธิ์มาชุมนุมกันให้เป็นสิริมงคลด้วย การโหมโรงนี้มีทั้งตอนเช้า กลางวัน เย็น (หรือค่ำ) แล้วแต่เวลาที่มหรสพจะแสดงเพลงโหมโรงการแสดงมหรสพเช้าและเย็นนั้น มีการเรียงลำดับเพลงเหมือนกับโหมโรงเย็นของงานสวดมนต์เย็น เพียงแต่ตัดเพลงสาธุการออก เริ่มบรรเลงตั้งแต่เพลงตระเป็นต้นไป และเมื่อมหรสพจะลงโรงจึงบรรเลงเพลงวา เพื่อเป็นเครื่องหมายว่ากำลังจะเริ่มแสดงแล้ว
ส่วนโหมโรงกลางวันใช้โหมโรงหลังจากการแสดงหยุดพักเที่ยงและจะเริ่มแสดงต่อไปใหม่ในตอนบ่าย
การโหมโรงโขนนั้นพิเศษกว่าโหมโรงละคร ในตำราของเก่าจัดระเบียบการโหมโรงโขนไว้ดังนี้
๑. โหมโรงเช้า มี ๘ เพลง คือ
๑. ตระสันนิบาต-รัว | ๓. เสมอ-รัว |
๒. เข้าม่าน-ลา | ๔. เชิด |
๕. กลม | ๗. กราวใน |
๖. ชำนาญ (ชำนัญ) | ๘. ชุบ |
๑. กราวใน | ๖. ตะคุกรุกร้น-รัว |
๒. เสมอข้ามสมุทร | ๗. ใช้เรือ-รัว |
๓. เชิด | ๘. ปลูกต้นไม้-รัว |
๔. ชุบ-แล้วลงลา | ๙. ตระสันนิบาต |
๕. กระบองกัน-รัว | ๑๐. เชิด-ปฐม-รัว |
๑. สาธุการ | ๘. เชิด |
๒. ตระ | ๙. กลม |
๓. รัว ๓ ลา | ๑๐. ชำนาญ (ชำนัญ) |
๔. เข้าม่าน | ๑๑. กราวใน |
๕. ปฐม | ๑๒. ต้นเข้าม่านหรือต้นชุบ |
๖. ลา | ๑๓. ลา |
๗. เสมอ (รัวลาเดียว) | ๑๔. วา |
๑. กราวใน | ๖. กระบองกัน-รัว |
๒. เสมอข้ามสมุทร | ๗. ปลูกต้นไม้-รัว |
๓. รัว ๓ ลา | ๘. ใช้เรือ-รัว |
๔. เชิด | ๙. เหาะ-รัว |
๕. ลา | ๑๐. โล้-รัว |
ส่วนการโหมโรงโขนและหนังใหญ่จะเริ่มด้วยเพลงสาธุการทุกครั้ง
ง. โหมโรงเสภา ในสมัยโบราณจะไม่ใช้ปี่พาทย์บรรเลงโหมโรงเสภา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้ทำหน้าพาทย์ในการแสดงกิริยาตัวละครเท่านั้น ต่อมาจึงโปรดเกล้าฯ ให้ร้องอย่างละคร ทำให้โหมโรงเสภาเหมือนกับโหมโรงละคร คือ เริ่มบรรเลงตั้งแต่เพลงตระไปจนถึงกราวใน แล้วลงลาเมื่อจะเริ่มขับเสภา จากนั้นจึงบรรเลงเพลงวา ซึ่งทำให้ช้ามาก จึงได้ตัดเพลงต่าง ๆ ออกหมดเหลือแต่เพลงวาเพลงเดียว ต่อมาเพื่อมิให้เล่นซ้ำอยู่เพลงเดียวจึงหาเพลงอื่นซึ่งเป็นเพลงประเภทเดียวกับเพลงวามาบรรเลง แล้วลงท้ายอย่างเพลงวา
การโหมโรงเสภาในปัจจุบัน ประกอบด้วยเพลง ๒ เพลง คือ
๑. เพลงรัวประลองเสภา ยังไม่ใช่เป็นตัวเพลงโหมโรง เหตุที่ต้องมีรัวขึ้นต้นในการโหมโรงเสภาก็เพื่ออุ่นข้อให้คล่องจะได้บรรเลงเพลงอื่นต่อไปได้สะดวก เพื่อตรวจดูลูกระนาดลูกฆ้องว่าลูกใดติดขัด จะได้แก้ไขให้เรียบร้อย และเพื่อให้ฟังตื่นเต้นเร้าใจ เพลงรัวประลองเสภานี้ตัดมาจากเพลงรัว ๓ ลา โดยตัดเอาเฉพาะลาที่ ๒ มาใช้สำหรับขึ้นต้นนำเพลงโหมโรง
๒. เพลงโหมโรง จะเป็นเพลงเดียว เช่น เพลงไอยเรศ เพลงสะบัดสะบิ้งหรือจะนำ ๒-๓ เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุดสั้น ๆ เช่น เพลงครอบจักรวาลออกม้าย่อง หรือเพลงนางกรายออกสะบัดสะบิ้ง ก็ได้ แต่ต้องไม่ยาวมาก และเมื่อจะจบเพลงโหมโรงต้องลงท้ายแบบเพลงวาเท่านั้น
จ. โหมโรงมโหรี มโหรีเดิมเป็นของผู้หญิงเล่น ผู้ชายเพิ่งจะเล่นเมื่อไม่นานมานี้การโหมโรงมโหรีแต่ก่อนใช้เพลงทะแย ปัจจุบันใช้วิธีเดียวกับโหมโรงเสภา แต่ไม่มีเพลงรัวประลองเสภาขึ้นต้น
ฉ. โหมโรงหุ่นกระบอก การแสดงหุ่นกระบอกนั้น ปี่พาทย์ต้องโหมโรงเป็นชุดเดียวกันกับการแสดงอย่างอื่น เพลงชุดที่ใช้โหมโรงนี้คือ ชุดโหมโรงเย็นที่กล่าวมาข้างต้น ผิดกันแต่ว่าเมื่อจบโหมโรงและลงเพลงวาแล้วร้องและบรรเลงเพลงช้าปี่นอกปีนตลิ่งนอก รัว ๓ ลา เมื่อหุ่นเข้า ซออู้จะบรรเลงเพลงทำนองสังขารา พร้อมเครื่องกำกับจังหวะแบบจีนสำหรับหุ่นกระบอกอีก ๑ เพลง ต่อจากนั้นปี่พาทย์จึงทำเพลงเสมอเพื่อดำเนินเรื่องหุ่นกระบอกต่อไป
ช. โหมโรงหนังใหญ่ ใช้เพลงชุดโหมโรงเย็น แต่บรรเลงทางกลาง (คือใช้ปี่กลางประกอบเพื่อให้เสียงดังเพราะแสดงกลางสนาม) เพลงในชุดโหมโรงเย็นที่นำมาบรรเลงเริ่มตั้งแต่เพลงสาธุการจนถึงเพลงเสมอ ต่อมานั้นจึงดำเนินเรื่องหนังใหญ่เลย